2
หนีเสือปะจระเข้
ภายในห้องพักมืดสนิทจนสามารถมองเห็นได้อย่างเลือนราง สรรพสิ่งทั้งหลายราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
แผ่นหลังของนางสัมผัสเข้ากับอกแกร่ง แม้จะไม่ใหญ่โตเทอะทะแต่ก็เต็มไปด้วยหมัดกล้าม อ้อมแขนแข็งแกร่งกอดกระชับเข้าที่เอวคอด เรือนผมสีน้ำตาลของหนิงเทียนเปียกชุ่มแนบลงกับอกเปลือยเปล่าที่ร้อนจัดจนนางรู้สึกได้
ความเงียบปกคลุมเนิ่นนานหลายอึดใจ เสียงของน้ำที่เคลื่อนไหวอยู่ในถังไม้เป็นสิ่งเดียวที่ตอกย้ำให้นางรู้ว่าเวลายังคงดำเนินไปอย่างมิหยุดนิ่ง
“ออกไป” เสียงเข้มแหบพร่าดังขึ้นข้างใบหูเล็ก ความเด็ดขาดและประกายข่มขู่กดดันในน้ำเสียง บ่งบอกถึงบารมีที่ไม่ธรรมดา
อ้อมแขนที่กอดรัดนางกระชับแน่นขึ้นจนรู้สึกอึดอัด เจ้าของเสียงไม่ได้เอ่ยปากไล่นาง แต่เป็นหม่าจิวหูต่างหาก
แม้จะแคลงใจ ทว่าหนิงเทียนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากไหลตามน้ำ รีบหันใบหน้ากลับไปซบเข้ากับอกแกร่งอย่างสนิทสนมทั้งที่เป็นคนแปลกหน้า
ความใกล้ชิดอันไม่คุ้นชินส่งผลให้ใบหน้าหวานเห่อแดงมากขึ้น เมื่อได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายเต้นแข่งกับก้อนเนื้อในอกตนก็ยิ่งทำให้ตัวพลันร้อนจัดยิ่งกว่าน้ำร้อนที่แช่อยู่
เรือนผมสีน้ำตาลปกปิดใบหน้าของหญิงสาวไปมากกว่าครึ่ง ด้วยเหตุนี้หม่าจิวหูซึ่งยืนอยู่ไกลออกไปจึงมองได้ไม่ถนัด เมื่อเห็นอากัปกิริยาและความใกล้ชิดของคนในถังน้ำ ชายหนุ่มจึงตระหนักว่าได้เข้ามาขัดจังหวะของคู่รักเข้าเสียแล้ว
ความกระดากอายของผู้ไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องพรรคนี้ ทำให้เจ้าตัวรีบเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“ขะ...ขออภัยด้วย” กล่าวจบก็กวาดตามองห้องมืดแห่งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อไม่พบคนที่ตามหาจึงหันหลังเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูลง
ครั้นเห็นว่าผู้ที่ตามล่านางออกจากห้องไปแล้วจริงๆ หนิงเทียนจึงผละใบหน้าออกอย่างรวดเร็ว ทว่าความตั้งใจที่จะหลบหนีออกไปบ้างก็หายไปมิต่างจากหมอกควัน เมื่ออ้อมแขนประหนึ่งคีมเหล็กกลับรัดเอวของนางแน่นมิยอมปล่อย
“คุณชาย ขอบคุณที่ช่วยข้าไว้ แต่หากท่านยังเอาเปรียบข้ามิยอมเลิกราเช่นนี้ มันจะเปลี่ยนจากความซาบซึ้งเป็นสิ่งอื่นเอาได้” นางกล่าวเสียงหวานโดยไม่หันกลับไปมองหน้าเขา
ชายหนุ่มได้ยินวาจากล้าหาญปราศจากความเกรงกลัวก็เลิกคิ้วขึ้น นัยน์ตาพราวระยิบอย่างถูกใจ
เขาส่งเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอ นางตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบแท้ๆ ยังคงท่าทีสุขุมอยู่ได้...นับว่าไม่เลวเลย
อกแกร่งกระเพื่อมไหวตามจังหวะการหัวเราะ ส่งผลให้อะไรต่อมิอะไรสะเทือนโดนร่างสะคราญจนใบหน้าหนิงเทียนแดงก่ำมากกว่าเดิม
ประเสริฐยิ่งนัก...นางดันหนีเสือปะจระเข้เสียได้!
“ข้าเพียงสงสัยว่าสตรีใดกัน ที่ทำให้ท่านรองแม่ทัพหม่าแห่งแคว้นหยางต้องเดินทางมาไกลเพื่อตามหาตัวเช่นนี้”
ผู้ฟังชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกลับเป็นปกติ
คนผู้นี้รู้จักหม่าจิวหู เห็นทีว่าคงมีฐานะที่มิธรรมดา!
ด้วยความใคร่รู้ หนิงเทียนจึงรวมรวบความกล้าเพื่อหันกลับไป ครั้งดวงตากลมโตสบเข้ากับนัยน์ตาเรียวทรงอำนาจก็เป็นจังหวะเดียวกับที่บานประตูเปิดออกพอดี
แสงสว่างจากโคมไฟตรงระเบียงโถงทางเดินสอดส่องเข้ามาภายใน ส่งผลให้ทั้งสองมองเห็นใบหน้าของกันและกันชัดเจนเป็นครั้งแรก
หญิงสาวจ้องมองอีกฝ่ายอย่างตะลึงงันไปชั่วขณะ บุรุษตรงหน้าดูแล้วอายุน่าจะประมาณยี่สิบสี่ถึงยี่สิบห้าปี ผิวสีน้ำผึ้งสวย ดวงตาเรียวคมเข้าได้ดีกับใบหน้าคมเข้ม คิ้วเรียวดกดำชี้สูงขึ้นเล็กน้อยในขณะที่จมูกนั้นโด่งสวยอย่างไร้ที่ติ
ยิ่งเมื่อเขามีหยดน้ำเกาะอยู่ตามใบหน้า เรือนผมสีรัตติกาลเปียกชื้นคลอเคลียอยู่เหนือแผ่นอกเปลือยเปล่า กลับยิ่งทำให้บุรุษผู้นี้มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ!
นางพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่มองต่ำลงไป ขณะเดียวกันนั้น อ้อมแขนแข็งแกร่งที่รัดนางเอาไว้กลับกระชับแน่นขึ้นกว่าเดิม!
‘งดงาม...’
นี่คือสิ่งแรกที่ผุดขึ้นในห้วงคิดของคนมอง ชั่วชีวิตของเขาผ่านอิสตรีที่สวยงามมามากมาย แต่พวกนางสามารถดึงดูดความสนใจของเขาเพียงประเดี๋ยวประด๋าว
นี่เป็นครั้งแรก ที่เขารู้สึกว่าความงดงามนี้ช่างพิเศษมากกว่าหญิงสาวทั้งหลายที่ตนเคยพบเห็น
ดวงตาของนางกลมโตอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะขนตางอนยาวจึงทำให้ดวงตาที่ช้อนมองเขาแลดูอ่อนหวาน ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น แสงไฟที่สาดเข้ามาส่งผลให้เขาเห็นประกายสีเขียวในดวงตาคู่งาม นางกัดริมฝีปากล่างเล็กน้อยเหมือนกำลังข่มอาการประหม่า กลับทำให้ชายหนุ่มรู้สึกราวกับจิตวิญญาณถูกฉุดกระชากเข้าอย่างแรง
เรือนผมสีน้ำตาลเข้มเปียกชื้นคลอเคลียใบหน้าหวานราวกับจะล่อลวงเขาให้สูญเสียการควบคุม และเมื่อเขาใช้อ้อมกอดรัดร่างนุ่มนิ่มไว้แน่น เนินอกภายใต้ชุดผืนบางที่นางสวมใส่ก็เบียดเสียดแผงอกกว้าง จนเขาหายใจได้ไม่ทั่วท้อง
คนทั้งสองตกอยู่ในห้วงพะวังจนลืมเลือนทุกสิ่งไปชั่วครู่ กระทั่งเสียงของผู้มาใหม่ดึงดูดความสนใจของพวกเขาให้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง
“นายท่าน พวกเรามีข่าว...” ซือเหยาเอ่ยออกมาเพียงเท่านั้นก็หยุดไป เมื่อสังเกตเห็นเจ้านายของตนไม่ได้อยู่คนเดียวก็ทั้งประหลาดใจและสงสัย “นายท่าน! สตรีผู้นี้....”
‘อา...นายท่านช่างร้อนแรงเหลือเกิน พวกเราเพิ่งจะมาถึงหมู่บ้านตงเจียงแท้ๆ ก็ได้ครอบครองสาวงามเสียแล้ว’
ชายหนุ่มเจ้าของผิวสีแทนคิดพลางหัวเราะ พร้อมกับใช้ศอกกระทุ้งแขนคนตัวสูงกว่า
หานลู่กลับเมินเฉยต่อเพื่อนร่วมงานโดยสิ้นเชิง ดวงตาเฉื่อยชาจ้องตรงไปยังสตรีแปลกหน้าอย่างครุ่นคิด ผิดกับหนิงเทียนที่หันขวับมามองพวกเขาอย่างตกตะลึง ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ
หนีเสือปะจระเข้จริงๆ เสียด้วย!
นางจดจำใบหน้าของผู้มาใหม่ได้อย่างแม่นยำ คนที่ตัวเล็กกว่าที่แต่งกายในชุดสีเทาหม่นคือ ‘ซือเหยา’ มือซ้ายคนสนิทของท่านอ๋องห้าแห่งแคว้นอู๋ เพิ่งได้รับบรรดาศักดิ์เป็นท่านโหว[1]อย่างเป็นทางการเมื่อห้าเดือนก่อน
ส่วนคนตัวสูงโย่งในชุดสีน้ำเงินคือ ‘หานลู่’ ราชองครักษ์คู่ใจที่รับใช้ท่านอ๋องห้ามาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
คนทั้งสองเคยปรากฏกายและสร้างชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ในสนามรบ สังหารเหี้ยมโหดไร้ความปราณี
ความจริงที่ได้รับรู้ส่งผลให้นางลอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ตลอดเวลาที่ผ่านมานางมักจะพบพวกเขาในระยะที่ไกลพอสมควร จึงไม่เคยมีโอกาสได้เห็นฮั่วหลิงหวาง พระอนุชาขององค์ฮ่องเต้แห่งแคว้นอู๋มาก่อนว่าหน้าตาเป็นเช่นไร
ว่ากันว่าเมื่อใดที่ท่านอ๋องห้าแห่งแคว้นอู๋ออกศึก ในสนามรบจะไม่มีเสียงกรีดร้องหรือร้องได้โอดครวญให้ได้ยินเนื่องจากพวกเขาถูกดับลมหายใจจนหมดสิ้นโดยที่มิทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ
ทั้งเหี้ยมโหดและเฉียบขาด จนคนใต้หล้าต่างก็พากันหวั่นเกรง...
ในเมื่อคนสนิทคู่ใจทั้งสองนายปรากฏกายอยู่ที่นี่ อีกทั้งซือเหยายังเรียกเขาว่า ‘นายท่าน’
เห็นทีว่าคนที่กอดนางไว้ในอ้อมแขนคงเป็นใครไม่ได้อีก นอกเสียจากฮั่วหลิงหวางตัวจริงเสียจริง!
แม้สิ่งที่รับรู้จะสร้างความตกใจเป็นอย่างมาก ทว่าใบหน้าหวานยังคงท่าทีนิ่งสงบประหนึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราว
คนเหล่านี้ไม่รู้จักนาง...
“ขะ...ข้า” หญิงสาวแสร้งอายม้วน ฉวยโอกาสที่อ้อมแขนแข็งแกร่งคลายออก รีบกระถดตัวออกห่างพร้อมกับปีนออกจากถังไม้โดยไม่สนใจเลยว่าผ้าเนื้อบางที่เปียกน้ำจะแนบกายของนางมากเพียงใด “ข้าไปก่อนนะ”
กล่าวจบก็วิ่งจากห้องพร้อมกับปิดประตูให้เสร็จสรรพ ทิ้งเพียงความเงียบสงัดที่น่าอึดอัดให้กับคนที่เหลือ
ซือเหยารีบยกมือเช็ดเลือดกำเดาที่ไหลออกจมูก รูปร่างของสตรีผู้นั้นช่างมีอนุภาพทำลายล้างที่รุนแรงยิ่ง ฝ่ายผู้เป็นนายที่ตกอยู่ในภวังค์ก็คืนสติ ออกคำสั่งกับองครักษ์ประจำตัว
“จับตัวนางมาให้ข้า” น้ำเสียงของฮั่วหลิงหวางเฉียบขาดยิ่ง!
“พ่ะย่ะค่ะ” หานลู่รับคำสั่งเสียจนเคยตัว จึงเผลอใช้คำราชาศัพท์ออกมา ทว่าชายร่างสูงที่พลั้งปากก็มิเสียเวลาแก้ตัว รีบใช้วิชาตัวเบาพุ่งตามหญิงสาวออกไปทันที!
บานประตูที่ปิดลงเป็นคราที่สอง ส่งผลให้คนในห้องพักลดลงไปอีกหนึ่ง ขณะที่ผู้อยู่ในถังน้ำเสยผมที่เปียกชื้นของตนขึ้น แค่ดรุณีน้อยเพียงคนเดียวคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงสำหรับยอดฝีมืออย่างหานลู่
ความงามก็ส่วนหนึ่ง แต่เหตุผลสำคัญที่เขาต้องการตัวนางเป็นเพราะเขาอยากทราบเหตุผลที่ทำให้ผู้มีตำแหน่งสูงอย่างรองแม่ทัพต้องมาตามจับตัวหญิงสาวด้วยตนเองต่างหาก
หากเป็นคนรักหรือคนคุ้นเคย หม่าจิวหูก็น่าจะจำนางได้ ต่อให้เอาผมปิดใบหน้าและซ่อนตัวอยู่ในถังไม้ก็ตามที
ทว่าอีกฝ่ายกลับจำโฉมสะคราญผู้นั้นมิได้ เพราะฉะนั้นข้อสันนิษฐานทั้งสองจึงถูกตัดทิ้งไปโดยปริยาย
น้อยครั้งนักที่จะมีสิ่งใดดึงดูดความสนใจจากเขาได้ และเมื่อสนใจแล้ว เขาก็ไม่มีวันปล่อยไปมันง่ายๆ
ดวงตาคมกริบเบือนไปยังชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าซึ่งพยายามอย่างยิ่งที่จะห้ามเลือดกำเดาที่ไหลออกมา น้ำเสียงที่เปล่งนั้นนิ่งเรียบทว่ากลับให้ความรู้สึกที่หนาวยะเยือกไปถึงขั้วกระดูก “รายงานมา”
“ขะ...ขอรับ!” ซือเหยาตอบรับด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรเลือดกำเดาก็ไม่ยอมหยุดไหล สุดท้ายจึงต้องฉีกชายเสื้อของตนเองแล้วยัดจมูกทั้งสองข้างเอาไว้ แลดูเป็นภาพที่น่าอเนจอนาถยิ่งแล้ว
เชื่อเถิดว่าหากมีผู้อื่นเข้ามาในห้องเวลานี้ล่ะก็ ชื่อเสียงของมือซ้ายคนสนิทแห่งท่านอ๋องที่สั่งสมมานานหลายปีคงดำดิ่งลงไปจนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ชนิดที่แม้แต่ไส้เดือนที่ชอนไชให้ดินร่วนซุยสำหรับการเพาะปลูกยังดูมีคุณค่ายิ่งกว่า
บุรุษร่างสูงภายในถังน้ำมองสภาพของผู้ใต้บังคับบัญชาแล้วส่งเสียงหัวเราะที่สยดสยองออกมาในลำคอ หากไม่ติดว่าคนหนุ่มผู้นี้มีทักษะทางการต่อสู้ที่ดีล่ะก็ ป่านนี้คงถูกลดขั้นไปเลี้ยงม้าที่คอกนานแล้ว!
“หากเจ้ายังชักช้า เบี้ยเลี้ยงของเจ้าจะลดลงครึ่งหนึ่ง”
เพียงเท่านี้ก็มากพอที่จะทำให้ซือเหยาสะดุ้ง เนื่องจากมีของอุดจมูกไว้ เสียงที่เอ่ยจึงอู้อี้ “ข่าวสารที่ได้มามีอยู่ว่า...”
[1] โหว (*) ในภาษาจีนแปลว่า ‘พระยา’