สามวันต่อมา องค์หญิงหงลี่ก็ส่งแม่สื่อมาที่จวนตระกูลจ้าวตามที่ได้รับปากเอาไว้จริงๆ อีกทั้งยังมีรายการสินสอดมาอีกหนึ่งฉบับ ฮูหยินหลิวอิ๋งมองดูรายการสินสอดที่เขียนเอาไว้บนแผ่นกระดาษ ก็รู้สึกตกใจไม่น้อย
เหตุใดจึงมากมายถึงเพียงนี้!
เพราะนางเติบโตมาในตระกูลชนบท อีกทั้งตระกูลสามีก็เป็นเพียงพ่อค้าร้านอาหารเล็กๆในเมืองหลวงเพียงเท่านั้น นางเองมิได้มีใจโลภละโมบในสมบัติของผู้อื่น แม้จะไม่สบายใจเท่าใดนัก แต่ก็ทำได้เพียงยิ้มแย้มต้อนรับแม่สื่อไปตามมรรยาท นางรู้ดีว่าอย่างไรเสียคงมิอาจตัดไมตรีที่องค์หญิงหงลี่มอบให้ได้เป็นอันขาด
หลังจากที่แม่สื่อกลับไปแล้ว ฮูหยินหลิวอิ๋งก็ให้สาวใช้ไปเรียกจ้าวไป๋ลู่มาพบที่เรือนใหญ่ จ้าวไป๋ลู่ที่กำลังนอนแผ่หราอ่านตำราอาหารอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงรีบวางตำราในมือลง ก่อนจะรีบไปพบมารดาของตนทันที
"คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ"
"นั่งลงเถิด"
เมื่อมาถึงเรือนใหญ่ นางก็ทำความเคารพผู้เป็นมารดา ฮูหยินหลิวอิ๋งพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยกับบุตรสาวด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม
"จวนโหวส่งใบรายการสินสอดมาแล้ว อีกสองวันจะสั่งให้คนมาตัดเย็บชุดเจ้าสาวให้เจ้า เตรียมตัวให้ดี นับแต่วันนี้ไปข้าเป็นคนจะสั่งสอนเรื่องต่างๆกับเจ้า รวมถึงเรื่องที่ต้องประพฤติตนเป็นภรรยาที่ดีด้วย"
จ้าวไป๋ลู่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกไม่น้อย นางรีบเอ่ยขึ้นมาทันที
"ท่านแม่ ข้าเพียงพลัดตกน้ำกับเขาเท่านั้น ยังมิได้กระทำสิ่งใดเกินเลยแม้แต่น้อย เหตุใดจึงต้องรีบร้อนแต่งด้วยเจ้าคะ"
"เจ้าไม่ต้องมาเอ่ยปากถามข้า เป็นเจ้าเองที่ก่อเรื่อง เจ้าจะต้องรับผิดชอบ"
"ท่านแม่ จอมมารหลี่มีคนรักอยู่แล้วนะเจ้าคะ จะให้ลูกแย่งคนรักของผู้อื่นมาเป็นสามีของตนหรือเจ้าคะ!!"
"เจ้าเรียกซื่อจื่อว่าอย่างไรนะ!!"
"จอมมารหลี่เจ้าค่ะ!!!"
"ไป๋ไป๋!! เห็นทีข้าคงต้องอบรมสั่งสอนเจ้าให้มากกว่านี้ วาจาเช่นนี้อย่าให้ข้าได้ยินจากปากของเจ้าอีก มิเช่นนั้นข้าจะตบปากเจ้าเสีย!!!"
"ท่านแม่!!"
"หุบปาก เดี๋ยวนี้!!!"
เมื่อถูกมารดาตะคอกใส่ด้วยความโมโห จ้าวไป๋ลู่จึงทำได้เพียงก้มหน้าลงมิเอ่ยวาจาใดออกมาอีก
"กลับไปเตรียมตัวให้พร้อม นับแต่วันนี้ห้ามก้าวออกจากจวนแม้เพียงก้าวเดียว ตั้งใจศึกษากฏระเบียบของสตรีชั้นสูงให้เคร่งครัด อย่าทำให้ข้าขายหน้าอีกเป็นครั้งที่สอง!!"
"ท่านแม่ก็ห่วงแต่หน้าตนเอง"
"ไป๋ไป๋!!! กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!! ผู้ใดสั่งสอนให้เจ้าเดินหนีข้าเช่นนี้!! เด็กคนนี้นี่!"
จ้าวไป๋ลู่เบื่อที่จะต้องฟังมารดาก่นด่าอีกแล้ว นางจึงก้าวออกจากเรือนใหญ่โดยไม่สนใจเสียงเรียกของมารดาอีก ก่อนจะสั่งให้พ่อบ้านเตรียมรถม้า และมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารของท่านปู่กับท่านย่าทันที
ไปหาของอร่อยกินยังดีเสียกว่า!!!
ร้านอาหารจ้าวเลิศรส
จ้าวไป๋ลู่แหงนหน้ามองป้ายหน้าร้านก่อนจะยกยิ้มตาหยี นี่เป็นร้านอาหารของท่านปู่ท่านย่าของนางเอง อีกทั้งยังเป็นที่พักหลับนอนอีกด้วย ตระกูลอื่นๆนั้น อาจจะให้ผู้อาวุโสไปพักอาศัยร่วมกันที่จวนใหญ่ แต่ทว่าท่านปู่กับท่านย่าของนางมิคิดเช่นนั้น อาจเพราะเป็นเพียงตระกูลสามัญชนทั่วไป จึงมิได้มีพิธีรีตองมากเท่าใดนัก อีกทั้งท่านปู่ท่านย่ายังชอบการค้าขาย จึงออกมาอยู่กันเพียงลำพัง อีกทั้งยังคิดจะทำงานไปตลอดชีวิตจนกว่าจะไม่มีแรงทำ เพราะไม่อยากเป็นภาระของลูกหลานในตระกูล
"ท่านปู่ท่านย่า!!!"
"ไป๋ไป๋!!"
เมื่อได้ยินเสียงหวานใสของหลานสาวเอ่ยทักทาย ชายหญิงชราที่กำลังวุ่นวายกับการเก็บถ้วยชามก็รีบวางมือลง ก่อนจะเดินเข้ามากอดผู้เป็นหลานสาวด้วยความรักใคร่ จ้าวไป๋ลู่กอดตอบผู้อาวุโสทั้งสองอย่างอบอุ่นใจ ตั้งแต่นางข้ามกาลเวลามาอยู่ในร่างนี้ ท่านปู่ท่านย่าดีกับนางเป็นอย่างมาก
"เหตุใดจึงออกมาคนเดียว พ่อแม่ของเจ้าเล่า"
ท่านปู่เอ่ยถามนางด้วยความห่วงใย ก่อนจะยกชามแป้งทอดต้นหอมซอยใส่เนื้อมาวางตรงหน้านาง จ้าวไป๋ลู่ยิ้มตาหยี ก่อนจะใช้ตะเกียบคีบแป้งทอดต้นหอม ที่ถูกทอดจนเป็นสีเหลืองทองขึ้นมากัดกินด้วยความเอร็ดอร่อย
โอวว รสชาติ ไม่เลว!!!
"ไป๋ไป๋ เจ้าตอบย่ามาก่อนเถิด เหตุใดจึงออกมาเพียงลำพังเช่นนี้"
"ข้าเบื่อน่ะเจ้าค่ะ เลยอยากออกมาหาท่านปู่ท่านย่า"
จ้าวไป๋ลู่เอ่ยตอบทั้งที่ในปากยังคงเคี้ยวแป้งทอดต้นหอมอยู่ ท่าทางน่ารักน่าชังของนางทำให้ผู้เป็นปู่กับย่าเอ็นดูรักใคร่ไม่น้อย
"รสชาติเยี่ยมมากเจ้าค่ะ"
"ฮ่า ๆๆ เพราะได้สูตรลับจากเจ้า ร้านของปู่จึงขายดีเช่นนี้"
"จริงหรือเจ้าคะ วันนี้หลานมีเมนูใหม่มานำเสนอด้วยนะเจ้าคะ"
"เมนูใดหรือ?"
"กระดูกหมูตุ๋นมันฝรั่งเจ้าค่ะ"
"เอ๋?"
สองชายหญิงชราจ้องมองหลานสาวด้วยความสงสัย จ้าวไป๋ลู่ส่งเสียงหัวเราะคิกคักก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
"ไม่ยากเจ้าค่ะ ข้าเขียนวิธีทำลงในกระดาษใบนี้หมดแล้ว เลือกวัตถุดิบสดใหม่เสียหน่อย ลูกค้าย่อมติดใจแน่นอนเจ้าค่ะ"
"ไป๋ไป๋ของพวกเราฉลาดที่สุด!!!"
เมื่อได้ยินคำยกยอชมอย่างไม่ขาดปากเช่นนี้ จ้าวไป๋ลู่ก็ส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมาอย่างอารมณ์ดี
ทางอีกด้านหนึ่งของฝั่งตลาด กำลังมีบุรุษผู้หนึ่งควบม้าห้อตะบึงเข้ามายังใจกลางตลาด ก่อนจะมุ่งหน้ามาที่ร้านอาหารตระกูลจ้าว
ฮี้!!!
เสียงฝีเท้าม้าหยุดลงพร้อมกับเศษฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจายเต็มพื้นถนน บุรุษผู้นั้นกระโดดลงมาจากหลังม้า เขาสวมชุดเกราะเช่นแม่ทัพผู้องอาจ ก่อนจะก้าวเดินเข้ามาในร้าน ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมาอย่างชื่นชม
จ้าวไป๋ลู่ละสายตาจากอาหารตรงหน้า ก่อนจะหันไปมองบุรุษผู้ที่ก้าวเข้ามาในร้าน ก่อนจะมีสีหน้าที่ดีใจไม่น้อย
"พี่ชาย!!!!"
"ไม่เจอกันเพียงสองปี ไป๋ไป๋ยังคงตละกละมิเปลี่ยนแปลง!!"
บุรุษผู้นั้นเอ่ยวาจาหยอกเย้าจ้าวไป๋ลู่ด้วยรอยยิ้ม เผยให้เห็นลักยิ้มสองข้างแก้มของเขา ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาแฝงด้วยอำนาจและบารมี แต่ยามที่มองสตรีน้อยตรงหน้ากลับเอ็นดูรักใคร่ยิ่งนัก
บุรุษผู้นี้มีนามว่า เซียวถง ปีนี้อายุยี่สิบปีเต็มแล้ว เขามีตำแหน่งเป็นแม่ทัพรักษาชายแดนทางทิศเหนือ ยามนี้สงครามสงบ เหล่าราษฏรมีหนทางทำกิน ศัตรูยอมศิโรราบ เขาจึงได้กลับมาเมืองหลวงตามรับสั่งของฝ่าบาท
จวนของเขาอยู่ใกล้กับจวนตระกูลจ้าว ครั้งแรกที่เขาได้พบกับจ้าวไป๋ลู่คือสามปีก่อน ยามนั้นเขากำลังเดินพักผ่อนอยู่ที่ท้ายจวน กลับเห็นสตรีน้อยนางหนึ่งกำลังยื่นมือมาขโมยผลส้มในสวนของเขา
เป็นจ้าวไป๋ลู่
แทนที่นางจะเกรงกลัวกลับแลบลิ้นใส่เขา และยังรีบยัดส้มที่ขโมยไปเข้าปากอย่างหน้าไม่อายอีกต่างหาก นับแต่นั้นเขากับนางก็พบเจอกันบ่อยครั้ง เขาเอ็นดูนางมากนับแต่นั้นจึงมักนำผลไม้ในจวนไปฝากนางที่จวนตระกูลจ้าวเสมอ
เขาประทับใจนางตั้งแต่ครานั้น จนกลับกลายเป็นรักแรกพบ จะว่าเขาแปลกก็ได้ บางคราเขาอาจจะชอบของแปลกกระมัง
จ้าวไป๋ลู่ที่ได้ยินเขาเอ่ยวาจาเหน็บแนมนางเช่นนี้ก็เบ้ปากคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
"พี่ชายก็เช่นกันนะเจ้าคะ หายไปนานถึงสองปี เดิมทีคิดว่าจะหล่อเหลาขึ้น ที่ไหนได้กลับขี้เหร่ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก"
"ไป๋ไป๋ เจ้าอย่าทำให้พี่ชายโกรธเชียวนะ"
"เข้ามาสิ ข้าจะพ่นต้นหอมในปากข้าใส่หน้าท่านเดี๋ยวนี้!!!!!"
เซียวถง "......"