Chapter 4 : Lucky or Unluckyวันนี้เป็นอีกวันที่ปลายฟ้ามาทำงานด้วยสีหน้าแจ่มใส ออกจากมากขึ้นทุกวันด้วย ทุกอย่างที่เธอกังวลเริ่มเลือนหาย ชาวบ้านในระแวงนี้ให้การต้อนรับเธอกันยกใหญ่ ทำเอาคุณหมอสาวรู้สึกดีใจที่ได้รับความเอ็นดูจากลุงๆ ป้าๆ ทั้งหลาย บ้างก็เป็นคนไข้ที่มารักษา บ้างก็เป็นชาวบ้านบ้านใกล้เรือนเคียงที่บอกต่อๆ กันว่ามีคุณหมอคนใหม่มาจากเมืองกรุงอย่างคุณยายศรีออน หญิงสูงวัยผู้มีศักดิ์เป็นยายของวิศรุตที่มักจะทำกับข้าวมาเผื่อเธอเสมอตั้งแต่ที่รู้จากหลานชายว่ามีคุณหมอสาวคนใหม่ย้ายมาประจำที่โรงพยาบาลในอำเภอ“หมอฟ้า ยายเอาข้าวตอนมาหื้อเน้อ” เสียงหญิงสูงวัยดังขึ้นหลังจากประตูห้องตรวจถูกเคาะสามทีเพื่อเป็นการขออนุญาต“ยายศรี สวัสดีค่ะ ฟ้าเกรงใจจังเลยค่ะ ยายทำกับข้าวเผื่อฟ้าทุกมื้อเลย” เธอรู้สึกเช่นเดียวกับที่พูดจริงๆ ก็ยายศรีออนเล่นเอาข้าวปลามาให้เธอเกือบทุกวัน แทนที่จะเอามาให้แค่หลานชายเพียงคนเดียวอย่างวิศรุต“บ่เป็นหยังดอก ยายเต็มใจ๋ ไหนๆ ยายก็ต้องเอาข้าวมาหื้อเจ้าวิตมันอยู่แล้ว”“ขอบคุณนะคะยาย ยายทานด้วยกันมั้ยคะ”“ยายกิ๋นแล้ว ลำก๊ะ”“ลำแต๊ๆ จ้ะ” เธอตอบหลังจากตักข้าวซอยเข้าปาก ในทุกๆ วันยายศรีออนก็จะเปลี่ยนเมนูอาหารไปเรื่อยๆ จนคุณหมอสาวได้ลิ้มลองอาหารเหนือมากมายแถมยังอร่อยถูกปากเธออีกต่างหาก“อ้าว แม่อุ้ย เอาข้าวมาหื้อหมอฟ้าอีกแล้วก๊ะ” วิศรุตหลังจากตรวจคนไข้เสร็จจึงจะมาชวนปลายฟ้าไปทานข้าวกลางวันเสียหน่อยกลับต้องล้มเลิกความคิด เมื่อเห็นยายของตัวเองนั่งยิ้มมีความสุขที่เห็นคุณหมอสาวกินอาหารฝีมือตัวเองไม่ขาดปาก“จ้ะ มีอะหยังกะเจ้าวิต”“โหหห อุ้ยเอามาหื้อเปิ้นกิ๋นกุ๊มื้อแบบนี้ เปิ้นจะได้พาคุณหมอออกไปกิ๋นข้าวกันสองคนเมื่อใดล่ะเนี่ย”“แหม่ๆ ละอ่อนเอยถามเปิ้นแล้วก๊ะ หมอฟ้า จะไปกับเปิ้นก่อ” เมื่อเห็นท่าทางของหมอหนุ่ม ยายศรีออนก็อดแซวไม่ได้“เอ่อ...กินกับข้าวยายก็อร่อยดีนะคะหมอ” ปลายฟ้าตอบแบบรักษาน้ำใจ ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าวิศรุตคิดยังไงกับเธอ ตั้งแต่ที่เธอมาอยู่ที่นี่ก็เข้าอาทิตย์ที่สามแล้ว เขาก็ยังคอยไปรับไปส่งที่โรงพยาบาลที่บ้านพัก จนเธอทำเรื่องขอรถยนต์ไว้ใช้เองส่วนตัว ด้วยความที่เกรงใจและไม่อยากรบกวนใครเหมือนฟ้าจะโปรดก่อนที่จะมีใครผู้อะไรออกมาเสียงโทรศัพท์ของคุณหมอสาวก็ดังขึ้น มือเรียวหยิบมันออกมาจากกระเป๋าเสื้อกาวน์ เผยให้เห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา ‘ม่านหมอก’“ฟ้าขอตัวก่อนนะคะ อาหารอร่อยมากขอบคุณนะคะยาย” เธอเอ่ยก่อนรีบออกมาจากห้องตรวจ เดินตรงไปยังสนามหญ้าข้างโรงพยาบาล ก้นงามหย่อนลงนั่งบนชิงช้าเล็กๆ ที่เวลาเลิกงานเธอก็มักจะมานั่งเพื่อสูดบรรยากาศยามเย็นก่อนจะขับรถจิ๊บสีขาวที่เพิ่งได้มากลับบ้านพักไป“ว่ายังไงจ๊ะน้องสาว”‘คิดถึงพี่ฟ้าจัง นี่พักเที่ยงอยู่ใช่มั้ยคะ’“ใช่ กำลังกินข้าวอยู่น่ะ หมอกมีอะไรรึเปล่า ปกติโทรมาตอนค่ำๆ ไม่ใช่เหรอ”‘เอ่อ...หลายวันมานี้หมอกเวียนหัวและก็หน้ามืดอีกแล้วพี่ฟ้า’ น้ำเสียงจากคนในโทรศัพท์ดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจที่ตัวเองผิดปกติ ออกจะนิ่งเรียบเอนไปทางตื่นเต้นที่จะได้บอกบางอย่างกับเธอมากกว่า“อื้ม ประจำเดือนมารึเปล่า เอ๊ะทำไมอาการคุ้นๆ หรือว่าหมอกจะท้อง! ใช่มั้ยยัยหมอก”‘ค่ะ หมอกท้อง เพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลก็รีบโทรบอกพี่ฟ้าเลย’ ปลายสายยิ่งตื่นเต้นเมื่อได้บอกข่าวดีออกไป ทำเอาคนฟังตื่นเต้นตามที่ตัวเองจะได้มีหลานเพิ่มขึ้นอีกคนสองพี่น้องคุยกันอยู่พักใหญ่กว่าจะวางสายกันไป ปลายฟ้ายกข้อมือเพื่อดูนาฬิกา เข็มยาวเกือบจะชี้เลขสิบสองและถ้าหากมันชี้แล้ว นั่นคือเวลาเริ่มงานช่วงบ่ายของเธอ ร่างโปร่งสูดหายใจเฮือกใหญ่เข้าสู่ปอดเตรียมรับมือคนไข้รายใหม่ของวันก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปในโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่งสองอาทิตย์ต่อมาลมหนาวของเช้าวันใหม่เริ่มโชยเข้าห้องนอนของคุณหมอสาวขึ้นทุกวัน พัดลมตั้งพื้นที่มีมาอยู่แล้วกับตัวบ้านแทบจะไม่ต้องใช้มันเลย เนื่องจากเธอจะเปิดหน้าต่างเอาไว้ในตอนกลางคืนเพื่อรับลม บวกกับฤดูหนาวปลายปีที่กำลังจะเริ่มในอีกไม่นาน จึงทำให้ร่างโปร่งคลุกตัวอยู่ในผ้าห่มหนาเหมือนกับหนอนผีเสื้อที่กำลังรอเวลาเติบโตเป็นผีเสื้อเต็มวัยอย่างไงอย่างงั้นแสงแดดเริ่มแยงตา ตะวันสูงขึ้นกว่าทุกวันที่เธอตื่นมาเห็น วันนี้ถือเป็นวันดีเพราะเธอได้โควตาหยุดถึงสามวัน เนื่องจากมีหมอคนใหม่เข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลของเธอ และจะเป็นการสลับเวรกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ เนื่องจากมีห้องตรวจเพียงแค่สองห้องแต่คนรักษากลับมีถึงสาม‘หมอฟ้านี่หมอแป้งครับ เธอเป็นรุ่นน้องสมัยเรียนของผมเองเพิ่งเรียนจบน่ะครับ’‘ยินดีที่ได้รู้จักนะคะพี่หมอฟ้า’‘ยินดีที่ได้รู้จักค่ะน้องหมอแป้ง’ถ้าเป็นก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่ เมื่อเห็นว่ามีคนมาแทนเธอแล้ว ปลายฟ้าคงจองตั๋วเครื่องบินกลับโดยเร็วด้วยความคิดถึงบ้าน แต่ตอนนี้เธอกลับไม่อยากไปจากที่แห่งนี้เลย คงเป็นเพราะมันยังเร็วเกินไปที่จะล่ำลาผู้คนที่นี่ เธอยังอยากซึมซับบรรยากาศที่แสนสงบสุขไม่วุ่นวายเหมือนในเมืองกรุงที่เธอเคยสัมผัสกับมันมาตลอดชีวิต“อื้ออออ สดชื่นจริงๆ โห สิบชั่วโมงนอนหรือซ้อมตายหื้มไอ้ฟ้า” ร่างโปร่งลืมตาขึ้นมองนาฬิกาที่หัวเตียง นานมากแล้วที่เธอได้นอนเต็มอิ่มเช่นนี้ นั่งทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างอยู่สักพัก คุณหมอสาวก็เข้าไปล้างหน้าล้างตาทำธุระส่วนตัวจนเสร็จเรียบร้อยในห้องน้ำก่อนจะทำแซนด์วิชแฮมของโปรดง่ายๆ ทาน จากขนมปังที่ซื้อเก็บเอาไว้เมื่ออาทิตย์ก่อน“ไปไหว้พระก่อนแล้วกัน” ไม่นานนักรถจิ๊บคันขาวก็เคลื่อนตัวออกจากบ้านพักไปโดยเจ้าของของมันและเธอไม่ลืมที่จะพกกระเป๋าแพทย์เคลื่อนที่ติดตัวมาด้วยรถจิ๊บขับไปตามทางเรื่อยๆ เข้าวันนั้นออกวันนี้จนหมดวัน ร่างโปร่งเดินเข้าบ้านด้วยสีหน้าอิ่มบุญแต่ร่างกายต้องการอาหารอย่างมาก มือเรียวเอื้อมไปเปิดตู้เย็นก่อนจะหยิบวัตถุดิบเพื่อทำอาหารจานโปรดออกมา...ซุปน่องไก่ ของโปรดตั้งแต่เด็กๆ ที่นภารัตน์แม่ของเธอทำให้กินเป็นประจำ ด้วยความที่ฝึกฝนมานานหลายปีถึงจะรสมือยังไม่เท่าผู้เป็นแม่แต่ก็พอไปวัดไปวาได้อยู่บ้างเช้าวันต่อมาวันนี้โปรแกรมทัวร์ของคุณหมอสาวจะมิใช่การไปไหว้พระทำบุญเหมือนเช่นเมื่อวาน แต่จะเป็นการขับรถไปรอบๆ อำเภอเมืองจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยการที่เธอพอจะรู้มาบ้างว่าในจังหวัดนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่หลายแห่ง ปลายฟ้าจัดการหาสถานที่เที่ยวเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแถมจดรายละเอียดเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และไม่ลืมที่จะเอาชุดสำรองติดไป เผื่อจะต้องไปค้างที่ไหนสักที่ คงน่าสนุกดีเหมือนกันร่างโปร่งในชุดลำลองต่างจากภาพคุณหมอสาวสิ้นเชิง เสื้อยืดทรงดีสีขาวพับแขนขึ้นเล็กน้อยให้ดูทะมัดทะแมง เข้าคู่กับกางเกงสีเขียวไข่กา บวกกับรองเท้าหุ้มส้นสีน้ำตาลเข้ม เช่นเดียวกับสีผมของเธอที่ถูกแบ่งแสกกลางก่อนจะรวบเก็บไว้เป็นหางม้าอย่างสวยงามไร่ชาพฤกษ์พิรุณ“ป้ามาศ ผมจะเข้าไปทำธุระในเมืองสักหน่อยฝากดูหนูมนด้วยนะครับ” ปฐวีพูดขณะที่กำลังใส่รองเท้าอยู่หน้าบ้าน“ไม่ต้องห่วงหรอกพ่อวี รีบไปรีบกลับล่ะ ฝนทำท่าจะตกนะ ขับรถระวังๆ ด้วยลูก”“ครับป้า พ่อไปนะคะหนูมนเป็นเด็กดีนะ เดี๋ยวพ่อรีบกลับนะคะ” เขาเอ่ยก่อนจะหอมไปที่แก้มของลูกน้อยเมื่อเห็นว่าปริชมนพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดรถกระบะสีดำเคลื่อนตัวออกจากไร่ตรงไปยังตัวเมืองของจังหวัดอย่างรวดเร็วแข่งกับฝนที่ทำท่าจะตกลงมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความที่ชำนาญเส้นทางทำให้ปฐวีไปถึงจุดหมายภายในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษๆท้องฟ้าสีฟ้าได้เปลี่ยนเป็นสีครามขึ้นเรื่อยๆ แสงแดดคล้อยลงเกือบหมด ฝนเริ่มซาลงเบาๆ ปฐวีใช้เวลาทำธุระไม่นาน รถกระบะคันดำก็เคลื่อนตัวออกอีกรอบ ระหว่างทางจากที่เป็นละอองเม็ดเล็กๆ กลับเป็นลูกใหญ่ขึ้นตามความแรงของน้ำฝนที่โปรยปรายลงมา โชคดีที่บนถนนณ เวลานี้ไม่ค่อยมีรถ ปฐวีจึงไม่กังวลมากว่าจะเกิดอุบัติเหตุกับตัวเองสักเท่าไหร่แต่เขาก็ไม่ประมาทพอที่จะลืมคาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้เสมอฝนตกหนักขึ้นจนเกือบมองทางไม่เห็น แต่สายตาของพ่อเลี้ยงกลับเหลือบไปเห็นรถคันข้างหน้าของเขา ที่จอดอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่อย่างไม่เรียบร้อยนัก เพราะปกติถ้าจะจอดข้างทางก็คงจะจอดเรียบไปกับต้นไม้ แต่รถคันนี้กลับจอดตรงเข้าหาต้นไม้ซะอย่างนั้น“อุบัติเหตุเหรอวะ...คุณครับเป็นอะไรมั้..ย...”ปฐวีจอดรถกระบะของเขาเอาไว้หน้ารถคันนั้นก่อนจะฝ่าฝนลงไปดู เมื่อเขาเปิดประตูรถออกและเรียกคนๆ นั้นให้มีสติ กลับเป็นเขาเองที่สติล่องลอยหายไปกลับสายฝนที่โดนพัดไปตามแรงลม‘ไม่จริง นาถ ทำไมเหมือนกันอย่างนี้’เขาได้แต่นิ่ง อึ้ง กับภาพที่เห็นตรงหน้า หญิงสาวที่หน้าตาละม้ายคล้ายคนรักเก่าที่จากไปแบบไม่หวนคืน ก่อนที่สติจะกลับมาเพราะเสียงฟ้าที่ผ่าลงมาอย่างจัง“คุณ...คุณ เอาไงดีวะพาไปหลบฝนที่ไร่ก่อนก็แล้วกัน” เขาคิดอย่างรวดเร็วก่อนจะอุ้มเธอขึ้นและสายตาคู่เดิมของเขาก็หันไปเห็นกระเป๋าเสื้อผ้ากับกล่องสีดำบางอย่างพอดี มือหนาเอื้อมไปหยิบมันติดมาด้วยเผื่อว่าจะต้องใช้ เพราะดูๆ แล้วเธอไม่น่าจะใช้คนแถวนี้แต่เหมือนพวกคุณหนูในเมืองกรุงเสียมากกว่า ผิวพรรณขาวใส เสื้อผ้า ผมเผ้าดูยังไงก็ไม่ใช่คนเมืองนี้