“ต่อให้มันนำทางพวกเจ้าได้ พวกเจ้าก็ออกไปไม่ได้เพราะทางเดินบนพื้นจะแปรเปลี่ยนไปตลอดทุกครั้งที่เจ้าก้าวเท้า”
“เอ๋?”
“เอาเถอะอธิบายตอนนี้ก็คงไม่เข้าใจ รีบออกจากป่านี้ไปให้ก่อนตะวันตกดินจะดีกว่า แสงแดดใกล้จะหมดแล้ว เวลาก็ใกล้จะหมดแล้วเช่นกัน” อาจารย์ใหญ่หวังเดินนำขบวน เด็กทั้งสี่คนเดินตามหลังและปิดท้ายด้วยอาจารย์ไต้และอาจารย์จง
ไต้เส้าจวินคิดจะตำหนิพวกเขาทั้งสี่แต่ยามนี้คงจะไม่เหมาะ เขาจึงได้แต่คิดว่าเอาไว้วันหน้าค่อยเรียกมาอบรมกันใหม่ ชายหนุ่มสังเกตฝีเท้าของหวังต้าจิ้งที่ก้าวเร็วอย่างเร่งร้อน รอบข้างเริ่มสลัว ม่านหมอกกำลังโรยตัวแต่ยังไม่หนานัก
“รีบเดินเร็ว! หากปล่อยให้หมอกหนากว่านี้อาจจะพลัดหลงกันได้”
อาจารย์หนุ่มที่คิดจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงของป่ารอบข้างเริ่มมองไม่ค่อยเห็น เขาไม่รู้ว่าหวังต้าจิ้งใช้วิธีใดจึงทำให้รู้ทิศทางที่จะออกจากป่า ช่างน่าเสียดายนัก เขาเคยเข้ามาที่นี่เมื่อตอนพิธีจบการศึกษา ครั้งนั้นหลังจากที่เขาค้นพบกล่องสมบัติของหมิงฮ่องเต้แล้ว อาจารย์ใหญ่หวังก็ใช้วิธีคลายค่ายกลทำให้ทุกคนออกจากป่าได้ง่าย แต่ครั้งนี้หวังต้าจิ้งกลับบอกว่าทำลายค่ายกลไม่ได้ เห็นทีป่าแห่งนี้คงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในช่วงหลายปีที่เขาจากไป
“อาจารย์ใหญ่หวังขอรับ เดินช้าลงอีกหน่อยได้หรือไม่? ข้าเดินไม่ทันแล้วขอรับ!” ฉีเหยียนเริ่มปวดขาจนต้องโอดครวญ
“มาขี่หลังข้าก็แล้วกัน” ไต้เส้าจวินรีบบอก แล้วสั่งให้เด็กที่เหลือเดินต่อ
“ข้าก็ปวดขาเหมือนกันนะเจ้าคะ” ซิวลู่ฉิงรีบประท้วง
จงกว้านซีมองร่างอวบท้วมของเด็กหญิงแล้วกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ
“เส้าจวิน เจ้าแบกซิวลู่ฉิงก็แล้วกัน ข้าจะแบกฉีเหยียนเอง”
อาจารย์จงเป็นหนุ่มบอบบางเจ้าสำอาง แม้จะพอมีวิทยายุทธ์แต่ก็ไม่แข็งแกร่งเท่าไต้เส้าจวิน เขาจึงไม่กล้าจะแบกเด็กหญิงร่างท้วมเพราะเกรงว่าตนเองจะไม่อาจพานางผ่านออกจากป่านี้ได้
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าแบกนางเอง”
ชิงเว่ยเว่ยมองดูแผ่นหลังของร่างสูงใหญ่ข้างหน้า อาจารย์ใหญ่หวังผู้นี้วิทยายุทธ์สูงล้ำ ฝีเท้าทั้งเบาและว่องไวผิดกับอายุ ซ้ำยังก้าวเดินราวกับไม่มีโอกาสจะชนกับต้นไม้ นางพอจะรู้แล้วว่านี่คือคนเดียวในกลุ่มที่สามารถจะนำพาออกจากค่ายกลได้ เดินยังไม่ถึงสองเค่อพวกเขาก็ทะลุชายป่า
“นี่มัน....ทางที่พวกเราเดินเข้านี่นา” ซิวอี้เซิงที่แอบบากชื่อสกุลของตนเองไว้ที่ลำต้นของต้นไม้ร้องเอะอะขึ้น
ชิงเว่ยเว่ยมองตามแล้วเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจเพราะอาจารย์ใหญ่หวังไม่ยอมอธิบาย เอาแต่เดินดุ่มๆ นำหน้า อาจารย์ไต้ที่เดินตามมารีบบอก
“ลงเขาก่อนเถอะ ตะวันจะลับขอบฟ้าแล้ว ไม่รู้ว่าทุ่งหญ้านี้จะแปรเปลี่ยนรูปร่างไปหรือไม่?”
คำเตือนของไต้เส้าจวินทำเอาชิงเว่ยเว่ยสะดุ้ง ขณะที่ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาเดินลงเขานางแอบเหลือบไปมองด้านหลัง ทุ่งหน้าค่อยๆ กลายเป็นป่าไล่ตามมา
ชิงเว่ยเว่ยไม่กล้าพูดสิ่งใดให้คนในขบวนต้องเป็นกังวลเพราะลำแสงสุดท้ายกำลังจะลับทิวไม้แล้ว ขณะนั้นพวกเขาก็กำลังเดินจะถึงลานด้านหลังหอสมุดพอดี
“คุณชายน้อย!”
“คุณหนู!”
เสียงร้องเรียกของพวกบ่าวและสาวใช้ที่รอคอยเด็กทั้งสี่อยู่ข้างห้องสมุดเต็มไปด้วยความยินดี ตอนที่ถึงเวลานัดหมายพวกเขาไม่เห็นเจ้านายน้อยของตนกลับมาก็รีบไปแจ้งอาจารย์ที่อยู่อาคารหอสมุด จึงมีคนผู้หนึ่งบอกว่าอาจารย์ใหญ่หวังขึ้นไปตามเด็กๆ ให้แล้วและห้ามไม่ให้พวกเขาตามขึ้นไปเพราะแสงแดดใกล้จะหมดแล้วอันตรายยิ่งนัก คนทั้งหมดจึงได้แต่ร้อนใจรอคอยอย่างกระสับกระส่าย
“ข้าปวดขาแทบแย่ เหงื่อก็ออกเต็มตัว เห็นทีผื่นคงขึ้นเต็มแล้วล่ะ” ฉีเหยียนรีบบอกให้จิงหานสาวใช้พี่เลี้ยงของตนเองได้ทราบ
“เรารีบกลับกันเถอะคุณชายจะได้รีบทายานะเจ้าคะ” จิงหานหันไปกล่าวขอบคุณอาจารย์ทั้งสามแล้วรีบพาคุณชายน้อยกลับ
“พวกเจ้าไปได้แล้ว นี่ก็มืดค่ำเต็มทีบิดามารดาคงห่วงกันแย่”
“เจ้าค่ะ/ขอรับ!”
ครั้นเด็กทั้งหมดขึ้นรถม้าไปแล้ว อาจารย์ใหญ่หวังก็ขมวดคิ้ว
“ไต้เส้าจวิน เจ้ารู้สึกถึงความผิดปกติของเขาไข่มังกรหรือไม่?”
“อย่างไรขอรับ?”
“ไม่พบสัตว์สักตัว ไม่มีแม้แต่แมลงร้อง”
“ต้นไม้ที่มีขนาดเดียวกันก็เหมือนกันไปหมดขอรับ”
“อืม...เห็นทีคงมีใครสักคนเข้าไปพยายามเปลี่ยนแปลงค่ายกลแน่ นี่หากว่าเด็กพวกนี้ไม่หลงเข้าไปข้าก็คงไม่รู้ เรื่องในวันนี้พวกเจ้าสองคนอย่าแพร่งพรายออกไป เอาไว้วันที่เด็กพวกนั้นมาเรียนต้องรีบกำชับให้ดี นอกจากเรื่องหลงป่าแล้วอย่าให้พวกเขาพูดถึงสิ่งที่เกี่ยวกับป่านี้เด็ดขาด!”
“ขอรับ!”
“พวกเจ้าคอยจับตามองคนในสถาบันเค่อเฉิงให้ดี ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนแฝงกายเข้ามาเพื่อหวังทำบางสิ่งหรือหาบางอย่างก็ได้”
ไต้เส้าจวินฟังแล้วยิ่งแปลกใจแต่ก็ก้มหน้ารับคำ อาจารย์ใหญ่หวังเดินกลับไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ ดีที่ฝั่งชั้นระดับกลางและระดับสูงกลับไปตั้งแต่หลังเที่ยงจึงไม่รู้เรื่องที่เด็กชั้นเบื้องต้นแอบขึ้นไปบนเขาไข่มังกร ไม่เช่นนั้นคงมีคนอยากขึ้นไปตามหาช่วยเป็นแน่
“เส้าจวิน ป่ามันเปลี่ยนไปเยอะจริงอย่างที่อาจารย์ใหญ่หวังบอก ข้าเองก็รู้สึกแปลกๆ ไม่มีแม้แมลงสักตัว”
“ต้นไม้ใบหญ้า ทางเดิน ล้วนแล้วแต่แปลกหูแปลกตาไปหมด ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังอย่างที่อาจารย์ใหญ่หวังว่า เพียงแต่คนที่ทำต้องการสิ่งใด?”
“หรือว่าในป่านี้แท้จริงยังมีความลับที่เราไม่เคยรู้...ซ่อนอยู่ อาจจะเป็นที่ซ่อนของมีค่าบางอย่างหรือมีอะไรมากกว่านั้น?”
“ข้าเองก็สงสัยเหมือนเจ้า แต่เราไม่อาจจะเข้าออกได้ตามใจ คงต้องรอให้อาจารย์ใหญ่พาเราเข้าไป น่าเสียดายนักที่จวิ้นอ๋องไปอยู่แคว้นจิน ไม่เช่นนั้นหากหาโอกาสไปทูลถามพระองค์ได้ พระองค์น่าจะหาคำตอบให้ได้”
“เจ้าลืมคนผู้หนึ่งไปแล้วหรือไร? คนที่ชอบค่ายกลเช่นเดียวกับจวิ้นอ๋อง”
“เอ๋?”
“จินวั่งซูอย่างไรเล่า? ญาติผู้พี่ของจวิ้นอ๋องผู้เก่งกาจด้านการแก้ค่ายกล”
“อืม...จริงสิ! ข้าลืมคนผู้นี้ไปเสียสนิท คุณชายจินชอบเรื่องท้าทาย สอดรู้สอดเห็น วิชาตัวเบาเป็นเลิศ และยังแก้ค่ายกลได้เก่งกาจ แต่เราจะข้ามหน้าข้ามตาอาจารย์ใหญ่หวังไม่ได้ คงต้องรอให้ผู้อาวุโสออกปากก่อน”
จงกว้านซีผงกศีรษะเห็นด้วยกับความคิดเห็นของไต้เส้าจวิน “เช่นนั้นพวกเราสองคนควรเริ่มจากการค้นหาความจริงที่ว่า...เค่อเฉิงแห่งนี้มีเรื่องผิดปกติอะไรเกิดขึ้นบ้าง?”
**************************