“คุณหนู ถึงแล้วเจ้าค่ะ”
ชิงเว่ยเว่ยลงจากรถม้ามายืนหน้าประตูใหญ่สถาบันเค่อเฉิง สถานที่แห่งนี้คือสถาบันการศึกษาอันดับหนึ่งในแคว้นหมิง บัดนี้ฮ่องเต้ทรงมีพระบรม ราชานุญาตให้เด็กหญิงและสตรีสามารถเข้าศึกษาได้
ระยะแรกก็ยังมีเพียงลูกหลานของขุนนางและผู้มีอันจะกินในเมืองหลวงเท่านั้นที่เข้ามาศึกษาเล่าเรียนต่อมาจึงมีบุตรของผู้มีฐานะดีทั้งหลายถูกส่งเข้ามาจากหัวเมือง ทำให้สถาบันเค่อเฉิงยามนี้เต็มไปด้วยเด็กหญิง เด็กชาย บุรุษและสตรีจำนวนมากเดินกันขวักไขว่ ชิงเว่ยเว่ยปีนี้อายุสิบเอ็ดย่างเข้าสิบสองปี นางผ่านการทดสอบความรู้เบื้องต้นจึงมีโอกาสได้เข้าเรียนพร้อมกับเด็กในช่วงอายุสิบสองปี
“เจ้ากลับเถอะ ส่งกระเป๋ามาให้ข้า”
ในสถานศึกษาแห่งนี้ไม่อนุญาตให้นำบ่าวหรือสาวใช้ติดตามมาด้วย รถม้าของคุณหนูและคุณชายทั้งหลายมาจอดที่หน้าประตูแล้วก็ทยอยกลับไป ฝั่งที่ชิงเว่ยเว่ยมาเรียนนี้เป็นฝั่งของนักเรียนที่อายุยังไม่ถึงสิบห้าปี ส่วนฝั่งขวามือเป็นส่วนสำหรับให้ผู้ที่มีอายุเกินสิบห้า
‘เฮ้อ! ข้าอายุขนาดนี้แล้วกลับต้องมาเรียนหนังสือกับเด็กๆ นี่มิใช่ข้าจะต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กไปหรอกหรือ?’
นางก้าวเท้าอย่างซังกะตาย เดินปะปนไปกับเด็กชายหญิงวัยเดียวกันที่กำลังมุ่งหน้าไปรายงานตัวยังอาคารเรียนเบื้องหน้า อาจารย์ใหญ่เดินออกมากล่าวต้อนรับที่ห้องโถง ก่อนจะแบ่งนักเรียนออกเป็นห้องตามคะแนนที่ทดสอบเข้ามา
“เจ้าชื่อชิงเว่ยเว่ยหรือ?”
สาวน้อยหันไปทางเด็กหญิงที่มีใบหน้ากลมป้อมที่กำลังยิ้มให้นาง
“ใช่! แล้วเจ้าเล่าชื่อแซ่ใด?”
“ข้าชื่อ ซิวลู่ฉิง ข้ามาเรียนพร้อมกับพี่ชายของข้าชื่อ ซิวอี้เซิง พวกเราอยู่ห้องเดียวกับเจ้าด้วยนะ นั่นไง? พี่ชายข้า” นิ้วมือป้อมขาวชี้ไปทางเด็กชายที่รูปร่างอวบท้วมที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก เด็กหญิงตัวอ้วนไม่เปิดโอกาสให้ชิงเว่ยเว่ยได้พูดก็รีบดึงมือนางไปนั่งที่ด้านหน้า “เราต้องรีบจองด้านหน้าไม่เช่นนั้นเวลาเรียนก็จะไม่เข้าใจ”
ซิวอี้เซิงที่เห็นน้องสาวจูงมือเพื่อนใหม่ไปนั่งแถวแรกสุดก็ส่ายหน้า เขาทรุดตัวลงนั่งแถวที่สอง เด็กชายที่นั่งอยู่ก่อนหันหน้ามาเท้าคางจ้องเขาถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
“เจ้าคิดจะนั่งกับข้า ต้องตั้งใจเรียนนะ ท่านแม่ข้าสั่งไว้ว่าหากเพื่อนที่นั่งข้างเป็นคนขี้เกียจให้ไล่ไปไกลๆ เพราะข้าต้องสอบเป็นจอหงวนให้ได้”
“เอ๋? เจ้าคิดไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือ?”
“ก็ใช่น่ะสิ! ท่านพ่อข้าบอกว่าหากคิดทำการใหญ่จะต้องวางแผนให้ดี อย่างน้อยตำแหน่งหนึ่งในสามอันดับแรกข้าก็ไม่ควรพลาด”
“ส่วนข้า ขอแค่ได้ออกจากคฤหาสน์ทุกวันก็สนุกแล้ว อยู่แต่ในเรือนน่าเบื่อจะตายไป” เด็กน้อยตัวอ้วนยักคิ้วให้สหายใหม่ผู้มีสีหน้าเคร่งขรึม “จริงสิ ข้าลืมบอกไป ข้าชื่อ ซิวอี้เซิง แล้วเจ้าล่ะ”
“ข้าแซ่ฉี ชื่อเดียวว่าเหยียน”
“อืม...อาเหยียน เจ้านับว่าเป็นเพื่อนคนแรกที่เค่อเฉิงของข้า เช่นนั้นวันนี้พวกเรากินข้าวกลางวันด้วยกันนะ”
“ยังไม่ทันเรียนคาบแรกเลยนะ เจ้าคิดถึงข้าวกลางวันแล้วหรือ?”
“ก็อาหารกลางวันของข้าที่สาวใช้เตรียมให้น่าอร่อยจะตายไปนี่นา แล้วเจ้าล่ะ ที่บ้านเตรียมอะไรมาให้?”
“ข้าไม่ได้สนใจ มีสิ่งใดก็กินสิ่งนั้นนั่นล่ะ” ฉีเหยียนกวาดสายตาไปมองเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ
ซิวลู่ฉิงตื่นเต้นที่ได้เพื่อนใหม่เพราะสหายในวัยเด็กก็มีแค่ไม่กี่คนที่ครอบครัวของนางไปมาหาสู่ บิดาของนางฝากให้สองพี่น้องไปเรียนอ่านเขียนในบ้านของอาจารย์จ้าว
“ท่านปู่กับท่านย่าของข้านำสินค้าจากแคว้นเหลียนเข้ามาขายในเมืองหลวง สินค้าพวกนั้นล้วนถูกนำขึ้นเรือสำเภามาจากแดนไกล ท่านพ่อของข้าต้องเดินทางรอนแรมไปรับสินค้าและคุมคนให้ขนกลับมาแคว้นหมิงด้วยตนเอง เอาไว้เจ้าไปเที่ยวบ้านข้าเมื่อไหร่ ข้าจะพาไปดูร้านค้าของพวกเราก็แล้วกัน”
ชิงเว่ยเว่ยฟังนางเล่าถึงสินค้าที่มาจากดินแดนอันไกลโพ้นแล้วก็รู้สึกตื่นเต้น “เจ้ามีกล้องส่องทางไกลด้วยหรือ?”
ซิวลู่ฉิงทำเสียงจุ๊ๆ ก่อนจะเอียงหน้ามากระซิบกับสหายคนใหม่ “ใช่! ท่านปู่บอกว่าเป็นของราคาแพงและหายากจึงไม่อนุญาตให้ข้าเอาออกจากคฤหาสน์ด้วย แต่ถ้าเจ้าอยากเห็นล่ะก็ พรุ่งนี้ข้าจะแอบเอามาให้ดูก็แล้วกัน”
ปัง! ปัง!
เสียงแท่งไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะอาจารย์ประจำชั้นดังขึ้น เด็กทุกคนหยุดการพูดคุยแล้วหันขวับไปมองต้นเสียง บุรุษร่างสูงโปร่งมาปรากฏกายที่โต๊ะหน้าห้อง ไม่มีเด็กคนไหนสังเกตเห็นว่าเขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด? และเข้ามาในทางใด?
“ขอแนะนำตัวก่อนก็แล้วกัน อาจารย์ชื่อไต้เส้าจวิน เป็นผู้ดูแลพวกเจ้า”
ชิงเว่ยเว่ยที่นั่งอยู่หน้าสุด เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วตกตะลึง รูปร่างหน้าตาของอาจารย์ไต้จะว่าไปแล้วก็ทั้งสง่างามและคมคายไม่ต่างจากท่านพี่เขยอ๋อง สิบห้าของนางมากนัก
‘ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะมีอาจารย์รูปงามเช่นนี้ เมื่อเช้าอาจารย์ใหญ่หวังต้าจิ้งก็ดูน่าเกรงขามราวกับขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนัก จะว่าไปก็มีส่วนคล้ายท่านพ่อ’
หญิงสาวในคราบเด็กน้อยตกตะลึงในความหล่อเหลาของอาจารย์ที่ปรึกษา นางไม่รู้ว่าเหตุใดตัวเขาถึงได้ดึงดูดนางได้เป็นพิเศษ? ชีวิตของนางตั้งแต่มาอยู่ในจวนสกุลชิงก็พบปะขุนนางใหญ่น้อยที่เข้ามาหาท่านพ่ออยู่ทุกวี่วัน ทั้งยังเข้าเฝ้าท่านอ๋องสิบห้ากับพระชายาชิงหลานอยู่บ่อยๆ เห็นองค์ชายทั้งหลายและเครือญาติราชวงศ์มาจนครบถ้วน ทว่าบุรุษที่รูปร่างงดงามทั้งหลายที่เคยพบเห็นกลับไม่อาจทำให้นางรู้สึกสนใจได้เท่ากับอาจารย์ไต้ผู้นี้
‘ไม่รู้เพราะเหตุใด? ข้าจึงรู้สึกคุ้นเคยกับคนผู้นี้มากเหลือเกิน เหมือนเคยพบเห็นเขาที่ไหนมาก่อน’
ชิงเว่ยเว่ยนั่งตะลึงกระทั่งซิวลู่ฉิงต้องสะกิด “นี่ๆ เว่ยเว่ย เจ้าว่าอาจารย์ของพวกเรารูปงามมากหรือไม่?”
“อา...อืม...”
สาวน้อยทั้งสองเผลอยกมือเท้าคางมองหน้าอาจารย์ที่นั่งอยู่ด้านหน้าห้องด้วยดวงตาลอยๆ ไต้เส้าจวินที่อุตส่าห์ขอมาสอนในชั้นเรียนเบื้องต้นซึ่งมีแต่เด็กๆ รู้สึกสบายที่ไม่ต้องคอยระมัดระวังเด็กสาวที่มองเขาด้วยความหลงใหล ชายหนุ่มมองเด็กหญิงทั้งหลายด้วยความเมตตา เด็กน้อยพวกนี้มองเขาด้วยสายตาชื่นชม ช่างเป็นชั้นเรียนที่ทำให้เขารู้สึกสดชื่นนัก
*****************************