ทนายคอนเนอร์จองไฟลท์เครื่องบินจากลอนดอนสู่แมนเชสเตอร์ไว้ตั้งแต่เมื่อคืนวานหลังแจ้งจุดประสงค์กับพ่อบ้านประจำคฤหาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าทายาทคนสุดท้ายของตระกูลโจนส์จะไปอาศัยอยู่ที่นั่น ด้วยเหตุนี้เอง โจชัวจึงต้องรีบเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นเป็นการด่วนด้วยทนายคอนเนอร์ได้จองเที่ยวบินช่วงเช้ามืดเอาไว้ เวลาเพียงน้อยนิดทำให้ชายหนุ่มเลือกเอาข้าวของดูต่างหน้าของแม่กับเสื้อผ้าเพียงสองสามชุดติดตัวมา ทิ้งให้ทนายคอนเนอร์จัดการจัดส่งส่วนที่เหลือตามไปในภายหลัง
และตอนนี้ก็ได้เวลาที่ทั้งคู่โบกมือลากรุงลอนดอนเพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองแมนเชสเตอร์ ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้บนเครื่องบินที่จองไว้ด้วยท่าทางเหนื่อยล้า ทำเอาชายวัยกลางคนซึ่งทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เอ่ยทักอย่างล้อเลียน
“อพาร์ตเม้นต์หรูๆ ในลอนดอนมีไม่เอา ไปเอาคฤหาสน์เก่าๆ ก็ต้องเหนื่อยอย่างนี้หน่อยนะครับ”
โจชัวเพียงชำเลืองหางตามองด้วยความว่างเปล่า ไม่มีถ้อยคำใดๆ หลุดออกจากปากก่อนพยักหน้ารับเล็กน้อยเป็นเชิงว่าขานรับ เรียกเสียงหัวเราะในท่าทางของเขาจากทนายคอนเนอร์ได้ทันใด
“ไม่แปลกหรอกครับถ้าจะเหนื่อยขนาดนี้ เมื่อวานก็วุ่นวายกับงานศพคุณแม่ของคุณมาทั้งวัน ไหนจะวุ่นวายเรื่องหาที่อยู่ใหม่อีก อย่างนี้นี่พอไปถึงคฤหาสน์เมื่อไหร่ ผมว่าคงหลับเป็นตายแน่”
“ถ้าคุณไม่วิตกกลัวนักข่าวจะเอาผมไปเขียนข่าวซุบซิบให้คุณเสียหน้าล่ะก็ ป่านนี้ผมคงยังนอนซุกอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ ล่ะมั้ง”
โจชัวว่าเนือยๆ แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะจากคนข้างๆ ได้ไม่น้อยทีเดียว
“เอาน่า ตอนคุณเจคอบยังมีชีวิตอยู่ เขาก็เดินทางบ่อยจนไม่ได้พักผ่อนเป็นประจำเหมือนกันครับ อย่างที่เขาว่ากัน พ่อลูกยังไงก็เชื้อไม่ทิ้งแถว ต่างกันนิดเดียวตรงที่คุณเจคอบเป็นคนชอบสังคม ต่างจากคุณที่ดูเหมือน...”
“เก็บตัว...”
โจชัวต่อประโยคให้โดยอัตโนมัติ ดวงตาคู่สวยจับจ้องไปยังใบหน้าเหี่ยวย่นของชายวัยกลางคนด้วยความรู้สึกที่เขาไม่สามารถรู้ได้ว่าคนตรงหน้ามีอะไรอยู่ในใจกันแน่ มันแลดูเศร้า โดดเดี่ยวและเจ็บปวดจนไม่อาจจะสรุปแน่ชัดออกมาได้ว่ามันเป็นความรู้สึกใด
“อีกอย่าง... ผมไม่เหมือนกับพ่อผม ไม่เหมือนเลยสักนิด...”
โจชัวว่าเสริม ทนายคอนเนอร์เงียบไปด้วยรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกของชายหนุ่มนั้นเป็นเช่นไร เขารู้สึกผิดเล็กน้อยที่ไปพูดเปรียบเทียบอย่างนั้น ทำให้บรรยากาศโดยรอบของการสนทนาตึงเครียดไปในนาทีนั้น ความเงียบเข้ามาปกคลุกทั้งสอง แทนที่ด้วยเสียงใสของแอร์โฮสเตสสาวที่กำลังสาธิตเครื่องชูชีพต่างๆ ก่อนเครื่องจะขึ้นบิน ทว่าเพียงครู่เดียว ทนายคอนเนอร์ก็เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง
“เออ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีใครคนหนึ่งอยากแนะนำให้คุณรู้จัก” ว่าแล้วก็ค้นกระเป๋าเอกสารครู่หนึ่งก่อนจะหยิบรูปถ่ายออกมาส่งให้ชายหนุ่ม
“นี่ครับ พ่อบ้านประจำคฤหาสน์ ชื่อไบรอัน มัวร์ ครอบครัวของคุณมัวร์ดูแลคฤหาสน์นี้มาหลายชั่วอายุคนแล้ว ถ้าหากมีอะไรสงสัยหรือต้องการอะไรเพิ่มเติม ก็สอบถามได้โดยตรงเลยนะครับ เขาคงจะให้ข้อมูลที่คุณต้องการได้มากกว่าผม”
โจชัวรับภาพถ่ายนั้นมาดู มันเป็นภาพถ่ายขาวดำของชายชราวัยเจ็ดสิบกว่าปีในชุดทักซิโด้ สีหน้าบนใบหน้าเหี่ยวย่นแลดูราบเรียบดุดันราวกับว่าเป็นคนเจ้าระเบียบมากคนหนึ่ง หางตาและมุมปากตกลงนั้น ทำให้เขาดูดุอย่างบอกไม่ถูก โจชัวดูรูปถ่ายนั้นได้ครู่เดียวก็หันไปถามทนายคอนเนอร์ นับเป็นประโยคแรกที่หลุดออกจากริมฝีปากบางเฉียบของชายหนุ่มตั้งแต่ขึ้นเครื่องมาเลยก็ว่าได้
“มีเขาดูแลอยู่คนเดียวหรือครับ”
“ไม่หรอกครับ ยังมีผู้ช่วยและเจ้าหน้าที่ดูแลเด็กที่คุณเจคอบจ้างมาอยู่ด้วยอีกหลายคน ไม่ต้องห่วงหรอกครับ คฤหาสน์นั้นไม่เคยเงียบเหงาหรอก”
โจชัวไม่รู้เลยว่าที่ทนายคอนเนอร์พูดว่า ‘คฤหาสน์นั้นไม่เคยเงียบเหงา’ นั้นมีความหมายว่าอย่างไร ได้แต่พยักหน้ารับและเงียบตลอดการเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองแมนเชสเตอร์
ไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง ไฟลท์บินของทนายมือฉมังและเศรษฐีหน้าใหม่ก็มาถึงยังจุดหมาย ทันทีที่ถึงอาคารผู้โดยสารขาเขา ทนายคอนเนอร์ก็กวาดสายตามองหาใครบางคนซึ่งได้นัดหมายให้มารับตั้งแต่เมื่อคืนวาน กระทั่งเสียงทุ้มแหบของชายหนุ่มดังขึ้นไม่ไกลนัก เรียกให้เขาหันไปยังผู้เป็นเจ้าของเสียงทันที
“คุณคอนเนอร์ครับ! ทางนี้ครับ ทางนี้!”
ชายหนุ่มชาวเอเชียผิวสีแทนโบกไม้โบกมือเรียกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขาใส่เสื้อลายสก็อตทับด้วยชุดเอี๊ยมและรองเท้าบูทยาง บ่งบอกตัวตนของเขาว่าเขานั้นเป็นชาวไร่เต็มตัว ทนายคอนเนอร์เห็นก็พลันร้องทักอย่างคุ้นเคย
“สวัสดี อเล็กซิสต์ ไม่ได้เจอกันนาน สบายดีนะ”
“ครับ ผมสบายดี ดูคุณสิ หล่อขึ้นเป็นกองเลย”
โจชัวมองผู้มาใหม่อย่างพินิจ ดูแล้วชายที่ชื่ออเล็กซิสต์จะเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีไม่น้อย ท่าทางเขาจะค่อนข้างสนิทสนมกับทนายคอนเนอร์เสียด้วย ดูจากใบหน้าแล้ว คาดว่าอายุอานามก็คงไม่น่าจะห่างจากตนเท่าไหร่นัก
โจชัวมองทั้งคู่สนทนาทักทายกันครู่หนึ่ง ก่อนทนายคอนเนอร์จะหันมาแนะนำเขาให้อเล็กซิสต์รู้จัก
“เอ้อ นี่คุณโจชัว โจนส์ ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลโจนส์ที่ฉันบอกจะพามาน่ะ ทำความรู้จักไว้สิ”
“สวัสดีครับคุณโจนส์ ผมอเล็กซิสต์ครับ”
“สวัสดีครับ เรียกโจชัวเฉยๆ ก็ได้ ผมไม่ถือ”
โจชัวตอบรับไปพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ก่อนยื่นมือไปจับทักทาย แม้ใบหน้าจะยิ้ม กระนั้นอเล็กซิสต์ก็สัมผัสได้ว่ามันเศร้าเพียงใด หากแต่เขาไม่ใส่ใจนักเพราะพอรู้ประวัติของชายตรงหน้าคร่าวๆ จากทนายคอนเนอร์แล้วว่าโจชัวผ่านเรื่องอะไรมาบ้าง นอกจากยิ้มกว้างจนตาหยี ผูกพันธไมตรีอย่างธรรมชาติ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“อเล็กซิสต์เป็นเด็กในดูแลของคุณมัวร์ครับ จะเรียกว่าเป็นผู้ช่วยพ่อบ้านก็ได้ นี่ก็เป็นอีกคนที่คุณโจชัวสามารถถามข้อมูลเกี่ยวกับคฤหาสน์ได้ เขารู้ข้อมูลดีพอๆ กับคุณมัวร์เลยครับ”
ทนายคอนเนอร์เสริม พร้อมตบบ่าอเล็กซิสต์ โจชัวพยักหน้ารับ
“ขอฝากตัวด้วยนะครับ”
“ได้ครับ ผมยินดีเสมอ แต่ผมว่าตอนนี้เราไปกันเลยดีกว่า ขืนมัวชักช้า เราอาจไปถึงที่คฤหาสน์ค่ำแล้วคุณโจชัวจะอดชมตัวคฤหาสน์ก่อนมืดเอานะครับ จากสนามบินไปที่นั่นก็ใช้เวลานานเหมือนกัน เกือบจะพอๆ กับนั่งเครื่องบินจากลอนดอนมาที่แมนเชสเตอร์นี่เลย” อเล็กซิสต์ว่าติดตลกเพราะเห็นว่าทนายคอนเนอร์คุยไม่เลิก
“นั่นน่ะสิ งั้นเราไปกันเถอะ อ่ะ นี่กระเป๋าของคุณโจชัว ฝากด้วยนะอเล็กซิสต์”
ทนายคอนเนอร์ถือวิสาสะคว้ากระเป๋าสัมภาระของโจชัวส่งให้อเล็กซิสต์จัดการนำไปยังรถ ก่อนเขาจะบรรทุกเข้าท้ายอย่างรู้งาน แล้วกลับมาบริการเปิดประตูให้ราวกับโจชัวนั้นเป็นเจ้าชายก็ไม่ปาน ทนายคอนเนอร์คงจะคุ้นชินกับการบริการสุดแสนจะธรรมดาอย่างนี้ คงมีแต่โจชัวล่ะมั้งที่อึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เขาได้แต่หวังว่าที่คฤหาสน์นั้นคงจะไม่มีคนมาคอยทำให้ทุกอย่างเหมือนกับในละครช่วงหัวค่ำที่เขาเคยดูผ่านๆ หรอกนะ
เป็นจริงอย่างที่ทนายคอนเนอร์ว่าว่าคฤหาสน์เก่าประจำตระกูลนั้นอยู่ในที่สงบ ไม่มีคนพลุกพล่าน เพราะมันอยู่ไกลออกไปจากตัวเมืองตั้งหลายสิบกิโลเมตร ยิ่งอเล็กซิสต์ขับรถมุ่งหน้าสู่คฤหาสน์นั้นเท่าไหร่ ต้นไม้และป่าข้างทางก็ปรากฏให้เห็นมากขึ้นเท่านั้นจนกระทั่งบ้านเรือนสักหลังก็แทบไม่เห็น ฟังว่าคฤหาสน์นั้นตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้านโบราณที่ปัจจุบันนั้นรกร้างไปแล้ว มีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่ยังอยู่อาศัยเป็นบางครั้ง นานๆ ก็กลับมาทำการเกษตรกันไปเรื่อยเปื่อยสักที อย่างที่ว่ากันว่าเมื่อใดที่ความเป็นเมืองเติบโตขึ้น เมื่อนั้นวิถีความเป็นชนบทก็ลดถอยลงนั่นแหละ