ตอนที่ 6
ปรากฏตัว
ร่างกายสูงโปร่ง ใบหน้างดงาม ดวงตาสีเขียวอ่อนเป็นประกาย ขนตางอนยาว ริมฝีปากบางสีชมพู เส้นผมสีน้ำตาลนุ่มลื่นพลิ้วไหว ดูยังไงจะหญิงก็ไม่เชิงจะชายก็ไม่เหมือน
ลักษณะเคะไม่ใช่เรอะ!? ฉันมองตามผู้ชายหน้าสวยไปอย่างไม่ละสายตาด้วยความรู้สึกหลงใหล แต่ก็ต้องหยุดชะงักไปเมื่อผู้ชายหน้าสวยไปควงแขนผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่งเข้าไปในโรงแรมใกล้ๆ ......เคะจริงๆ ด้วย
ฉันมองหาคนใหม่ทันที ฉันจะเขียนนิยายแนวสืบสวนแฟนตาซีไม่ใช่นิยายแนววาย!
การค้นหาคนที่ตรงตามความต้องการเป็นเรื่องที่ยากมาก ฉันลองแวะเข้าสถานีตำรวจแล้ว แต่ก็ไม่มีคนที่น่าสนใจสักคนโดยเฉพาะเป้าหมายในชีวิต มันจืดชืดจนไร้รสชาติเลยทีเดียว
ฉันจึงคิดอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ หากไม่มีตำรวจที่น่าสนใจก็ไปหานักสืบซะสิ! นักสืบเอกชนที่ไม่ขึ้นตรงต่อใคร เป็นพวกที่สอดรู้ แค่ก! หมายถึงอยากรู้อย่างเห็นกับคดีที่เกิดขึ้นมากที่สุด ฉันอยากตามหาคนที่เหมือนตัวละครเอกการ์ตูนเรื่องนั้นไง เรื่องนั้น!
เมื่อตัดสินใจได้แล้วฉันก็ตามหาสำนักงานนักสืบเอกชน เนื่องจากสำนักงานนักสืบมีมากมายหลายแห่งฉันจึงต้องตรวจสอบประวัติของคนพวกนั้นอย่างละเอียดเพื่อจะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ทั้งความคิด เป้าหมายในชีวิต คติประจำตัว ทั้งความชอบและไม่ชอบ เรื่องบุคลิกนิสัยก็สำคัญเพราะจะได้คำนวณการตัดสินใจของตัวละครว่าจะเป็นยังไงหากเจอเรื่องราวต่างๆ
สภาพแวดล้อมด้วย การกระทำของตัวละครรอบด้านจะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของตัวละครอย่างมาก หรืออาจจะเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางนิสัยด้วย
ฉันร่อนเร่ไปในเมืองมิลเลอร์ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่และคึกคักที่สุด ที่นี่จึงไม่เคยเงียบสงบแม้จะเป็นยามกลางคืนก็ตาม อีกไม่นานก็เที่ยงคืน นักสืบที่ฉันแวะไปหาก็พากันหลับกันหมด ก็แน่ล่ะสิ ใครจะยังมาทำงานอีกล่ะ พวกเขาเป็นพวกทำงานอิสระไม่มีเวลาทำงานที่แท้จริงหรอก
แต่ความพยายามอยู่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น ใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงในที่สุดฉันก็พบกับคนที่ใช่ ในสำนักงานนักสืบเล็ก ๆ แห่งหนึ่งฉันพบกับชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะอย่างขะมักเขม้น
ชายหนุ่มนาม ซีโร่ ริคเกอร์ ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารซึ่งเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง เขากวาดสายอ่านตาอย่างรวดเร็วแต่เก็บทุกรายละเอียดไม่ให้หลุดรอดสายตาไป ปลายนิ้วเรียวหยิบปากกาขึ้นมาและเริ่มเขียนสิ่งที่ตัวเองได้คาดเดาไว้ หากการคำนวณของเขาถูกต้องมันต้องมีหลักฐาน เขาเริ่มต้นค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมผ่านหนังสือพิมพ์และอินเทอร์เน็ตเพื่อเสริมสิ่งที่ได้คิดคำนวณไว้ เขาคือนักสืบ งานของเขาคือการไขความจริงที่เป็นปริศนา เขาจะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องราวปริศนาค้างคาจนกว่าทุกอย่างจะกระจ่าง!
พวกที่มุ่งมั่นกับงานสินะ จากที่ดูในประวัติ เขาชื่อ ซีโร่ ริคเกอร์ ตามที่กล่าวไว้ เขาทำงานเป็นนักสืบเอกชนอย่างที่เห็น พลังจิตของเขาคือแปลงร่าง เขามุ่งมั่นในงานนี้ก็เพราะพ่อของเขาเป็นตำรวจหน่วยสืบสวน เขาชอบพ่อที่เป็นแบบนั้นแต่เขาเลือกที่จะเป็นนักสืบเอกชนเพราะอิสระกว่า และไม่อยากเจอเรื่องอย่างที่พ่อเขาเจอ
เรื่องราวของคดีที่ถูกบิดเบือนไปจากความจริงยังไงล่ะ มันก็ต้องมีพวกที่ไม่อยากให้ความจริงที่ถูกซ่อนถูกเปิดเผยออกมาจนยอมใช้เงินจ่ายหรืออาจจะฆ่าปิดปาก มันไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่โดนป้ายสีเอาซะเลย
สิ่งที่เขามุ่งมั่นอยากจะทำให้ได้ก็คือ การเปิดเผยความจริงทุกอย่างที่พบ เขาเหมาะสมที่จะเป็นตัวละครเอกมากทีเดียว นิสัยก็เป็นพวกจริงจัง สุภาพ ส่วนจิตใจความอ่อนโยนนั้น........เป็นศูนย์
ฉันยิ้มแห้งๆ เมื่อเห็นข้อมูล ดูเหมือนเขาจริงจังและมุ่งมั่นเกินไปจึงไม่รู้จักว่าความอ่อนโยนเป็นยังไง คงเป็นพวกจิตใจแข็งกระด้าง แต่ก็ไม่ได้เลวร้าย แต่ดูแล้วหากมีคดีเกิดขึ้นเขาคงจะเข้าไปตรวจศพอย่างกระตือรือร้นโดยไม่สนคนที่ร้องไห้อยู่ข้างๆ ศพแน่ ไม่มีการเห็นใจหรือสงสาร เขาจะแค่ทำหน้าที่หาความจริงเท่านั้น
ปลอบใครไม่เป็นแน่ ๆ แต่ก็เอาเถอะ คนแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ จะให้เพียบพร้อมตามต้องการทั้งหมดก็ไม่ได้ล่ะนะ
ส่วนรูปร่างหน้าตาของเขาก็เป็นพระเอกได้เลยล่ะ ส่วนสูงประมาณร้อยแปดสิบ ร่างกายสมบูรณ์มีกล้ามเนื้อ หน้าตาหล่อเหลาผมสีน้ำตาลอ่อน และดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ทุกอย่างถือว่า ดีมาก
ฉันจึงกดรับเขาเป็นตัวละครเอกนิยายเรื่อง...เอ่อ ฉันยังไม่ได้คิดชื่อเรื่องเลยนี่นา งั้นเป็น นักสืบยอดนักแปลงร่าง! มาจากอาชีพและความสามารถไง ฮ่าฮ่า แต่ฉันก็ไม่คิดที่จะใช้จริงหรอกนะ มันดูตลกเกินไป...
เมื่อได้ตัวละครมาแล้วฉันจึงคิดว่าวันนี้ควรพอแค่นั้น ตอนนี้ดึกมากแล้วการเขียนบทนำค่อยเริ่มทีหลังก็ไม่สาย ซีโร่ที่เป็นตัวละครหลักตอนนี้เองก็ได้นั่งสัปหงกเตรียมเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ตลอดเวลา ฉันคิดว่าน่าจะเปิดตัวเขาตอนที่ไขคดีหรือไม่ก็ตอนตามหาหลักฐานในสถานที่จริง มันจะดีกว่ามาเปิดตัวบนโต๊ะเอกสาร
มันคงไม่เท่เลยหากบรรยายว่าพระเอกกำลังนั่งสัปหงกบนโต๊ะเอกสารตั้งแต่เริ่มเรื่อง...
“นะ นี่มันอะไรกันเนี่ย!” ฉันกรีดร้องออกมาอย่างตกใจ
เมื่อถึงร้านอาหารที่คีอาร์พักฉันก็ต้องตกใจอ้าปากค้างเพราะร้านอาหารของโคลว์ในตอนนี้เสียหายหนักเหมือนเพิ่งโดนพายุทอร์นาโดโจมตี ฉันนึกเป็นห่วงคีอาร์ขึ้นมาก่อนใคร แต่ยังไม่ทันที่จะได้ตามหาฉันก็พบเขาอยู่ไม่ไกลจากร้าน เขากำลังโดนล้อมโดยโคลว์ เควินและตำรวจอีกสองคนที่มาพร้อมกับเควิน
คีอาร์ปล่อยบอลสีดำที่ชื่อว่าชูบี้ออกมาและให้มันไล่กัดทุกคน ฉันมึนงงหนักว่าทำไมคีอาร์ถึงทำแบบนั้น
“คีอาร์กลับไปนอนต่อเถอะนะ” โคลว์พูดเกลี้ยกล่อมคีอาร์อย่างอ่อนโยนขณะที่ปัดชูบี้ปลิวด้วยมือเปล่า
“ไม่! ผมจะต้องตามหา!” คีอาร์ส่ายหัวอย่างแรงอย่างเอาแต่ใจ
“คีอาร์เธอจะไปตามหาอะไรกันแน่?” โคลว์ขมวดคิ้ว “ตอนนี้ดึกแล้วค่อยตามหาพรุ่งนี้เช้าก็ได้นี่นา ผมช่วยหาก็ได้นะ” เขายิ้มอ่อนให้กับคีอาร์
“เด็กไม่ควรออกข้างนอกตอนกลางคืนนะ” เควินเอ่ยเสียงเข้มเพื่อดุคีอาร์ แต่มันไม่ได้ผลกับคีอาร์เพราะเด็กน้อยของฉันดันอาละวาดหนักกว่าเดิม
“คุณไม่มีทางหาเจอ! ผมเท่านั้นที่ทำได้” คีอาร์ตะโกนออกมาแล้ววิ่งหนีพวกโคลว์แต่เขาก็โดนดักไว้ทุกทางจนไร้ทางหนี
ฉันคิดว่าฉันควรเข้าไปพูดให้คีอาร์สงบ ไม่รู้หรอกนะว่าเขาเป็นอะไรแต่ให้มาอาละวาดตอนกลางดึกแบบนี้คงไม่ดี
“คีอาร์” ฉันเรียกเขาขณะที่เดินด้วยขาไปหาเขา ทันทีที่คีอาร์เห็นฉันเขาก็เบิกตากว้าง ชูบี้ทั้งหมดหายไปแทบจะทันที
“เลย์!” เขาตะโกนเรียกฉันอย่างดีใจและโล่งอก ขณะเดียวกันก็กระโดดกอดฉันราวกับกลัวว่าฉันจะหายไป ฉันถึงกับแข็งค้างเพราะเขาทำมันต่อหน้าพวกโคลว์ พวกเขาต้องสงสัยแน่ ว่าคีอาร์กอดอะไร ฉันรีบทำให้ร่างของตัวเองไม่สามารถสัมผัสได้ทันที คีอาร์ที่กอดฉันอยู่จึงทะลุร่างของฉันและล้มหน้าคว่ำไป
“อ๊ะ ขอโทษ” ฉันยิ้มแห้งๆ และเอ่ยขอโทษอย่างรู้สึกผิด แต่ก็ไม่ได้ไปประคองคีอาร์ให้ลุกขึ้นแต่อย่างใด เขาจึงเงยหน้าขึ้นมาเองแล้วมองฉันด้วยสายตาคาดโทษ “ลุกไหวไหม?” ฉันถาม คีอาร์จึงลุกขึ้นยืนเงียบๆ
“เลย์ ทำไมถึงหายไป ผมคิดว่าเลย์จะไปอีกแล้ว” คีอาร์เอ่ยเสียงสั่นเครือ
“อย่าห่วงไปเลยคีอาร์ พี่สาวไม่หายไปไหนโดยไม่บอกเธอแน่”
“เลย์ต้องอยู่กับผมนะ” เขากางแขนจะกอดฉันอีกครั้งแต่ก็ทะลุไปเหมือนเดิมจนเขาเกือบจะล้มไปอีกรอบ “เลย์! ให้ผมกอดหน่อยสิ!” คีอาร์ตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ฉันถึงกับสะดุ้งกับใบหน้าแมวขู่ของคีอาร์
“คีอาร์คุยอยู่กับใครครับ?” โคลว์เดินเข้ามาถามด้วยสีหน้าอ่อนโยนไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทางฉันกลับหน้าซีดหนัก เขาเดินเข้ามาใกล้ฉันมากเรื่อย ๆ เนื่องจากคีอาร์อยู่ข้างหลังฉัน
“อย่าเข้าใกล้เลย์นะ!” ไม่รู้ว่าคีอาร์คิดอะไรเขามายืนขวางระหว่างฉันและโคลว์
“หือ?...มีใครบางคนอยู่ตรงนั้นสินะ” โคลว์ยิ้มหวานอย่างน่ากลัว อย่างน้อยก็สำหรับฉัน “คุณ...เลย์ใช้รึเปล่า?” เขามองมาที่อากาศว่างเปล่าและถามเสียงสุภาพ ฉันเห็นสายตาของเขามองไปไกลมากกว่าจะมองมาที่ฉัน
เขามองไม่เห็นและไม่ได้ยินแล้วยังจะพยายามพูดคุยกับฉันอีกเหรอ? มั่นใจมากสินะ
เมื่อไม่มีใครตอบ โคลว์ก็ได้เชื่อแล้วว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น เขาจึงละสายตาออกไปแล้วหันไปพูดคุยกับคีอาร์ตามเดิม เขาเชื่อว่าคนที่คีอาร์คุยด้วยก็คือคนในจินตนาการของเด็กเท่านั้น ที่เขาทักทายออกไปก็เพราะต้องการทำความเข้าใจในบุคคลที่เด็กจินตนาการขึ้นมาเพื่อหยุดยั้งไม่ให้คีอาร์ปฏิบัติตัวมีปัญหาเช่นนี้อีก หลังจากนั้นเขาก็กลับไปซ่อมร้านและอยู่กับคีอาร์อย่างสงบสุข อากาศก็คืออากาศต่อไป...
มันเป็นอย่างที่บรรยายก็ดีสิ! ความจริงยังอยู่ โคลว์จ้องมองอากาศว่างเปล่าอย่างฉันไม่ละสายตา คีอาร์ยกมือขึ้นมาบังสายตาของโคลว์ไม่ให้มองฉัน แต่มันก็ไม่ได้ผลเพราะตัวของเขานั้นเตี้ยเกินกว่าที่จะบังสายตาคนตัวสูงอย่างโคลว์ได้
“ฮึ่ม!” คีอาร์ส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ ใบหน้าน่ารักบูดบึ้ง
ฉันถอนหายใจเพราะดูเหมือนโคลว์จะไม่เลิกราง่ายๆ เขาสงสัยตัวตนของฉันมานานแล้วนี่นา พลังหูวิเศษของเขาคงทำให้เขาได้ยินสิ่งที่ฉันพูดคุยกับคีอาร์ทุกคืน ถึงแม้ฝ่ายเขาจะได้ยินคีอาร์พูดคุยอยู่ฝ่ายเดียวก็เถอะ ฉันคิดหนักว่าจะเปิดตัวดีไหม โคลว์ดูเป็นพวกระวังตัวมากจนหาทางจับผิดฉันมาตลอด
หากให้มันค้างคาต่อไปมันอาจจะไม่ดีต่อคีอาร์ในหลายๆ อย่าง
“คีอาร์ พี่สาวคิดว่าคงต้องเปิดเผยตัวตนแล้วล่ะ” คีอาร์ชะงักเมื่อได้ยินแบบนั้น เขาส่ายหัวรัวๆ “บอกไปเลยว่าพี่คือวิญญาณพี่สาวของเธอที่ตายไปแล้ว ไม่สิ เป็นพี่สาวที่รู้จักกันก่อนหน้านี้ดีกว่า” ฉันไม่สนท่าทางปฏิเสธของคีอาร์และจัดแจงหาตำแหน่งและฐานะให้ตัวเองทันที ที่ฉันให้เขาบอกโคลว์ว่าเป็นพี่สาวที่รู้จักกันก็เพราะหากโคลว์ไปสืบประวัติของคีอาร์แล้วพบว่าคีอาร์ไม่มีพี่สาวมันจะทำให้เขาสงสัยกว่าเดิม
“เลย์ อย่านะ ผมขอโทษที่ทำให้ตาลุงนี่รู้เรื่องของเลย์” ตาลุงที่คีอาร์กล่าวถึงคิ้วกระตุก “แต่อย่าปรากฏตัวให้ใครเห็นนอกจากผมนะ” คีอาร์ทำหน้าขอร้องออกมา
“ไม่เป็นไรหรอกน่า คีอาร์เป็นคนเดียวที่สามารถสัมผัสตัวพี่สาวได้เหมือนเดิม” ฉันเข้าใจท่าทางหวงแบบนี้ของคีอาร์จึงลูบหัวปลอบเขา เด็กก็เป็นอย่างนี้ล่ะนะ
คีอาร์กัดปากตัวเองและก้มหน้าลง ท่าทางของเขาบ่งบอกว่าพยายามยอมรับด้วยความรู้สึกที่ไม่เต็มใจอย่างมาก
“พี่สาวไม่ปรากฏตัวให้เขาเห็นบ่อย ๆ หรอก แค่จะทำให้เขารู้ว่ามีพี่สาวอยู่ตรงนี้ เขาจะได้เลิกหวาดระแวงสักที” ฉันอธิบายกับคีอาร์ เขาเป็นเด็กดีและเชื่อฟังจึงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเหมือนต้องกลืนผักขม
ฉันอมยิ้มเอ็นดูคีอาร์ก่อนจะเปิดโหมดสร้างร่างกายสำหรับปรากฏตัวในต่างโลก ร่างนี้มันมีไว้ให้นักเขียนได้ใช้ตอนอยู่ในต่างโลก แม้คนจากต่างโลกที่ไม่ได้ทำสัญญาเป็นตัวละครเอกของฉันพวกเขาก็ยังเห็นฉันเป็นปกติ และฉันสามารถใช้ร่างที่สร้างมากินอาหารหรือหยิบจับของได้ตามปกติเหมือนเป็นร่างกายของตัวเอง
ซึ่งการที่จะทำอย่างนี้ได้ต้องใช้เหรียญทองจำนวนมากเพื่อแลกร่างกายมา โชคดีที่ฉันเก็บสะสมเหรียญไว้จนท่วมหัวจึงไม่เสียดายที่ซื้อร่างกาย
ความจริงการปรากฏตัวในต่างโลกมีสี่แบบ แบบที่หนึ่งคือการปรากฏให้เห็นเฉพาะตัวละครเอก อย่างที่รู้ร่างนั้นก็แค่ร่างวิญญาณเท่านั้น จะหยิบจับอะไรก็มีขีดจำกัด
แบบที่สองคือการสร้างร่างกายให้ทุกคนในโลกสามารถเห็น สัมผัส และสื่อสารกับฉันได้เหมือนฉันเป็นคนในโลกนั้นจริงๆ แต่ยังไงประวัติการมีอยู่ของฉันในต่างโลกก็ไม่มี หากถูกจับได้ก็เหมือนจะกลายเป็นต่างด้าวทันที
แบบที่สามคือการสิงร่างของบุคคลที่มีตัวตนในต่างโลก วิธีนี้ต้องระวังมาก เมื่อสิงร่าง เจ้าของร่างจะแค่หลับไปเท่านั้น หากเราออกจากร่าง เจ้าของร่างจะได้ความทรงจำในตอนที่เราสิงร่างไปด้วย ถ้าหากเราเผลอไปทำอะไรแปลกๆ ที่ไม่ใช่ตัวตนของคนที่ตัวเองสิงร่าง เจ้าของร่างก็อาจจะสงสัยเอาได้
แบบที่สี่คือสร้างทั้งร่างสร้างทั้งตัวตน อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ หากฉันสร้างร่างแบบที่สี่ฉันก็จะมีตัวตนและประวัติในต่างโลกจริงๆ หากฉันออกจากร่างก็เท่ากับว่าร่างในต่างโลกนั่นจะตายไปด้วย
อย่างสุดท้ายนี้มีเพื่อให้นักเขียนที่ต้องการกำหนดทิศทางของเรื่องราวในนิยายได้ใช้งาน หากมีบทบาทในตัวตนของคนบนโลกนั้นจะไม่ถือว่าเป็นการทำลายกฎของนักเขียนที่ว่าห้ามใช้ตัวตนนักเขียนเปลี่ยนแปลงเรื่องราวของโลกอื่น ส่วนแบบที่สามก็แค่ใช้ตอนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
“หืม?” โคลว์มีปฏิกิริยาเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างกายของฉันค่อยๆ ปรากฏขึ้นเป็นรูปเป็นร่างในโลกแห่งนี้
เมื่อได้ร่างกายมาอย่างสมบูรณ์ฉันก็ลองขยับร่างกายดู พวกมันขยับได้ปกติทุกอย่าง ไม่สามารถลอยและทะลุสิ่งของได้เหมือนร่างจิตอีกแล้ว นี่เป็นเหตุผลที่ฉันไม่อยากใช้มันล่ะนะ
“สวัสดี เป็นครั้งแรกที่เราพบกันแบบนี้ ฉันชื่อเลล่า เป็นวิญญาณที่ติดตามคีอาร์มาน่ะ” ฉันแนะนำตัวอย่างเสร็จสรรพ
“งั้นเหรอครับ” โคลว์ยิ้มอ่อนโยนที่ไร้ความหมายออกมา ปฏิกิริยาของเขามีไม่มาก แต่ฉันรู้ว่าเขาเคลือบแคลงในตัวของฉันเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ฉันไม่น่าสงสัยหรอกนะคะ ฉันเป็นพี่สาวที่เคยรู้จักกับคีอาร์ก่อนหน้านี้ แต่น่าเศร้าที่ฉันตายไปก่อน แต่ด้วยพลังที่ฉันมีทำให้ฉันยังคงสามารถอยู่บนโลกนี้ได้ และด้วยขีดจำกัดที่มีจึงทำให้ฉันสามารถปรากฏตัวให้คีอาร์เห็นได้แค่คนเดียว” พูดแล้วก็แสร้งยกมือขึ้นมาซับน้ำตาอย่างแนบเนียน ที่จริงอยากแต่งเรื่องให้เศร้ากว่านี้อยู่หรอกนะ แต่มันจะกลายเป็นนิยายชีวิตเกินไปหากเล่าต่อ “คุณไม่จำเป็นต้องสงสัยฉันหรอกนะ สิ่งที่ฉันจะทำก็มีเพียงดูแลคีอาร์จนกว่าเขาจะเติบโตเท่านั้น”
ฉันพูดออกมาด้วยสีหน้าและแววตาจริงจัง โคลว์หรี่ตาลงและจ้องมองฉันเขม็ง
“ผมเชื่อคุณได้งั้นเหรอ?” เขาถามออกมา ฉันพยักหน้ารัวๆ “เพื่อความไว้วางใจคุณจะปรากฏตัวให้ผมเห็นตลอดได้ไหม?” โคลว์เอ่ยขึ้นมาและแน่นอนคำตอบของฉันชัดเจนอยู่แล้ว...
“ไม่ได้!”
ฉันและโคลว์ชะงักเพราะคนที่ตอบไม่ใช่ฉันแต่เป็นคีอาร์ น้ำเสียงของเขาฟังดูก้าวร้าวมาก ๆ
“แฮ่ม ฉันคงทำไม่ได้ หากทำแบบนั้นจะทำให้ฉันหายไปจากโลกเร็วขึ้น ออมพลังเท่าที่จะทำได้ดีกว่า” ฉันพูดอย่างมีเหตุผล ท่าทางของโคลว์ดูอ่อนลงเล็กน้อย “แต่เพื่อความสบายใจของคุณฉันจะทำให้คุณรับรู้ถึงตัวตนของฉันโดยการขยับของรอบ ๆ ตัวของคุณแล้วกัน” ฉันบอกแบบนั้นเขาก็ยอมพยักหน้าช้า ๆ
“งั้นคงไม่มีอะไรแล้วสินะ” เควินที่เงียบมาตลอดพูดขึ้นมา “งั้นวันนี้ฉันขอตัวกลับก่อนล่ะ” เขาบอกก่อนจะหมุนตัวเดินไปที่รถคันหนึ่งที่ขับมาจอดอยู่ไม่ไกล พวกที่มากับเควินมองมาที่พวกฉันก่อนจะเดินตามเควินได้ไป ขณะเดียวกันฉันก็เห็นกระจกโปร่งใสโดยรอบที่ไม่เคยรู้ตัวว่ามีอยู่ได้แตกสลายและหายไป
“พลังจิตแบบหนึ่งน่ะ” โคลว์คงเห็นฉันทำหน้าสงสัยจึงพูดออกมา ฉันพยักหน้าช้า ๆ ถึงว่าล่ะ คีอาร์อาละวาดขนาดนี้แต่กลับไม่มีใครออกมาดูเลย
พวกเรากลับไปที่ร้านอาหารของโคลว์ เมื่อเห็นสภาพเละเทะของร้านแล้วโคลว์ก็ตีหน้าขรึมขึ้นมา ฉันและคีอาร์หันหน้าหนีไปทางอื่นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
มันไม่เกี่ยวกับฉันเลยสักนิด!
ด้วยเหตุนี้เองทำให้ร้านอาหารโคลเวอร์ถูกปิดถึงสองวันเต็มเพื่อซ่อมแซม ซึ่งโคลว์ก็เสียเงินไปจำนวนมากเลยทีเดียว