ท่านน่ะหรือคือเจ้าเมือง

2014 Words
จากวันที่หว่าหวาได้ทำทับทิมกรอบและได้กินอย่างสมใจก็ผ่านมาแล้วหกวันและทั้งหกวันนั้นพวกเขาก็ได้ขึ้นเขาไปขุดตังเซียมมาทำตากไว้จะได้ทันการหากว่าท่านหมอจวงต้องการที่จะใช้ ส่วนอาหมงก็ได้พูดคุยกับท่านพ่อแล้วแต่ดูเหมือนอาหมงจะเอาแต่ร้องให้ซะมากกว่า ท่านพ่อได้บอกให้อาหมงไปรับมารดามาอยู่ที่จวนด้วยกันและให้สองคนแม่ลูกพักอยู่ที่เรือนเล็กท้ายจวน ท่านป้ายี่เหมยหรือป้าเหมยท่านแม่ของอาหมงเป็นคนเก่งนางทำกับข้าวได้อร่อยทีเดียว ตอนนี้จวนสกุลไท่เลยมีแม่ครัวโดยสมบูรณ์แล้ว ท่านป้าเหมยกับท่านย่าก็ช่างเข้าขากันดียิ่งนักทั้งสองช่วยกันทำชาสูตรต่างๆ ออกมาไม่เว้นแต่ละวันและแน่นอนชาเจียวกู่หลานและตังเซียมก็อยู่ในนั้นด้วย ส่วนเรื่องค่าแรงของอาหมงกับท่านป้าเหมยหว่าหวาไม่ขอยุ่งจึงเป็นท่านอาคอยจัดการเองทั้งหมด ในอนาคตหว่าหวาคงได้หาพ่อบ้านมาช่วยแบ่งเบางานท่านอาบ้างคงจะดี หนึ่งอาทิตย์ต่อมา..หว่าหวาก็ได้รับจดหมายจากท่านหมอจวงแล้วซึ่งนับว่าไวมากทีเดียว เป็นทหารจากจวนของท่านเจ้าเมืองนำมาส่งให้ หว่าหวามีความสงสัยว่าท่านหมอจวงเกี่ยวข้องอันใดกับจวนเจ้าเมืองนะ แต่ก็ช่างเถอะจากจดหมายที่ส่งถึงนาง สิ่งที่ท่านหมอจวงต้องการคือตังเซียม1,000ชั่งก็ไม่ใช่จำนวนที่มากมายเกินความคาดหมาย แต่ถ้าจำนวนที่สั่งตังเซียมเป็นแบบนี้ตลอดหรืออาจจะเพิ่มขึ้นไปอีกหว่าหวาจึงคิดว่าต้องหาพื้นที่ปลูกตังเซียมเสียแล้ว หากไม่ทำในวันข้างหน้าคงมีไม่พอแก่ความต้องการ แต่ที่หว่าหวาไปขุดมายังไม่ถึงสองในสิบส่วนเลยนะของที่ทำตากไว้ก็ยังเหลืออีกหลายพันชั่ง บุรุษบ้านนี้ทำงานกันแข็งขันมากแทบจะขอนอนบนเขาเพื่อขุดตังเซียมเลยทีเดียวและตอนนี้นางก็มีเมล็ดพันธุ์เยอะมาก น้องเล็กขอเป็นคนจัดการเรื่องเพาะพันธุ์อาหวาและทุกคนก็ไม่ขัด วันนี้แหละอาหวากับท่านอาและอาหมงจะเข้าเมืองไปส่งของกันแล้วนะ... สิบวันก่อนหน้านั้นที่จวนเจ้าเมือง… “ท่านปู่หากต้องการพบหลานทำไมไม่ให้คนมาตามหลานล่ะขอรับ ไม่เห็นจะต้องลำบากมาเองเลย” “ปู่เอาของมาให้เจ้าดูและจะขอม้าเร็วของเจ้าส่งสิ่งนี้ไปยังเมืองหลวง จะต้องส่งให้ถึงพระหัตถ์ของฝ่าบาทโดยตรงนะอาฟง” “แล้วคนของท่านปู่ไปไหนหมดขอรับทำไมไม่ใช้ล่ะ” ฟงอวี้คือผู้ที่มารับตำแหน่งเจ้าเมืองหมาดๆ ยื่นมือรับหีบใบเล็กจากท่านปู่เพื่อเปิดดู “คนของปู่ไม่ว่าง” จวงซุนตอบหลานชายเพียงผ่านๆ “ท่านปู่ไหนว่าไม่มีโสมพอที่จะทำยาพวกนี้ยังไงล่ะขอรับแล้วนี่อะไรกัน ยาเหล่านี้จำเป็นต้องใช้โสมเป็นส่วนผสมทั้งนั้น” เจ้าเมืองหนุ่มถามปู่ของตนเองอย่างข้องใจ… “นี่แหละเหตุผลที่ปู่ต้องใช้ม้าเร็วส่งของให้ถึงเมืองหลวง ก่อนที่จะมีการทำสัญญาซื้อขายโสมจากต่างแคว้น เจ้าก็รู้ว่ามันสำคัญมากหากว่าเราไม่ต้องซื้อโสมจากต่างแคว้นเราก็ไม่ต้องเกรงใจแคว้นใดๆ อีก” หากมีการต่อรองทำสัญญาครั้งนี้ยังไงแคว้นเถียนซานก็ต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่ๆ หนูหว่าหวาเจ้าช่วยแคว้นของเราไว้ได้จริงๆ เวลาปัจจุบัน… ตอนนี้หว่าหวา ท่านอาและอาหมงได้เข้ามาถึงในเมืองแล้ว ผ่านประตูเมืองมาได้เราก็รีบตรงดิ่งไปที่ร้านสมุนไพรทันที… “ท่านหมอจวงอยู่มั้ยเจ้าคะ” “เอ่อ..คุณหนูท่านนี้มาหาท่านหมอหรือเจ้าคะ” ‘โอ..ทำยังไงดีท่านปู่ก็ไม่อยู่ แล้วเขาก็อยู่นี่’ ฟางเซียนถูกไหว้วานจากท่านปู่ให้มาอยู่เฝ้าร้านชั่วคราว ไม่คิดเลยแค่มาเฝ้าร้านวันเดียวกลับต้องมาเจอเขาอีกจนได้ นางทำตัวไม่ถูกจริงๆ เลย สาวน้อยฟางเซียนไหนเลยจะคิดว่าจะต้องมาเจอกับชายหนุ่มที่ตนแอบหมายปองอยู่… “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้านำของมาส่งท่านหมอน่ะ” แม่นางท่านนี้ท่าทาง โอ..นี่นางมีใจให้ท่านอาหรอกหรือเนี่ย..มิน่าล่ะนางถึงได้มีท่าทางเขินอายขนาดนี้ ขออภัยนะแม่นางข้าไม่ได้ตั้งใจล้วงความลับของท่านนะ “แม่นางเถียนเจ้าไม่ได้ทำงานที่ร้านขายแพรพรรณหรอกหรือ” ไท่หยุนเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าและเห็นแล้วว่านางมีท่าทางที่ประหม่าเอามากๆ คงเพิ่งจะมาทำงานที่นี่ครั้งแรกกระมังด้วยความเป็นเอกบุรุษของเขาคงต้องชวนนางคุยเสียแล้วกระมังนางจะได้คุ้นเคยยิ่งขึ้น ‘อะไรกันท่านอาช่างคิดไปได้ คนประหม่าหน้าแดงเป็นลูกตำลึงมีที่ไหนกันเล่า’ หว่าหวาขบขันความคิดของไท่หยุนอยู่ในใจ “คุณชายข้าไม่ได้ทำงานที่นี่หรอกเจ้าค่ะ แค่..แค่มาเฝ้าร้าน” “อาหยุน แม่หนูหว่าหวามากันแล้วหรือ” ‘เป้ง!! ระฆังช่วยท่านแล้วแม่นางนับว่าโชคดีที่ท่านหมอจวงมาได้ทันเวลาพอดี’ “ท่านหมอจวงสวัสดีเจ้าค่ะ/ขอรับ” “ข้าเอาของมาส่งแล้วเจ้าค่ะ” “รวดเร็วดีจริงๆ เอาเข้ามาเลยสิ” พอท่านหมอจวงอนุญาตท่านอากับอาหมงก็ได้ไปขนของลงจากรถม้า เสร็จสิ้นแล้วอาหมงจึงได้เป็นคนเอารถม้าไปดูแลเอง “รากใหญ่ดีจริงๆ พวกเจ้าตากได้แห้งดีมากเลย แม่หนูหว่าหวาเจ้าคิดว่าข้าควรจะจ่ายให้เจ้าเท่าไหร่ดี” “แล้วมันใช้งานได้ดีมั้ยล่ะเจ้าคะ ท่านควรให้ราคาข้าเจ้าค่ะจะให้ข้าเอ่ยเอาตามใจได้อย่างไรกัน” “ข้าใช้งานมันได้ดีเชียวล่ะแต่ก็ต้องใช้ในปริมาณที่มากกว่าโสมทีเดียว ตังเซียมของเจ้าหากเทียบกับโสมชั้นดีหนึ่งต้นคงต้องใช้ถึงสิบชั่งข้าให้เจ้าชั่งละหนึ่งตำลึงทองเจ้าพอใจหรือไม่” “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะหากมันต้องใช้ในปริมาณที่มากกว่าโสมในการปรุงยาท่านหมอให้ข้าที่หนึ่งตำลึงทองต่อหนึ่งชั่งก็ถือว่ามากแล้วเช่นนั้นข้าให้ท่าน 1,100 ชั่งต่อ 1,000 ตำลึงทองท่านว่าดีหรือไม่เจ้าคะ ชาวบ้านจะได้มีโอกาสใช้ยาที่ท่านปรุงในราคาที่ถูกลงยังไงล่ะเจ้าคะท่านหมอ” “ดีๆ แม่หนูหว่าหวาเจ้าช่างคิดเพื่อผู้อื่นและหากข้าคิดไม่ผิดเจ้าคงคิดเผื่อวันข้างหน้าไว้แล้วอย่างนั้นสินะ ใช่หรือไม่ล่ะ” แม่หนูคนนี้ช่างไม่มีความโลภเลยสักนิดและมีน้ำใจจริงๆ ช่างน่าสนใจ หึๆ “แน่นอนเจ้าค่ะข้าคิดจะปลูกโสมคนจนนี้ให้เป็นสินค้าขึ้นชื่อของเมืองเถียนเลยล่ะท่านหมอ ท่านว่าความคิดของข้าดีมั้ยเจ้าคะ” สินค้าโอทอปของเมืองเถียนก็มา ฮิฮิ.. ช่างเป็นความคิดที่บรรเจิดหว่าหวาคิด “เป็นความคิดที่ไม่เลวข้าชอบความคิดของเจ้า อย่าลืมเอาความคิดนี้ไปปรึกษากับเจ้าเมืองด้วยล่ะ” “เจ้าค่ะวันนี้ข้าก็คิดว่าจะไปยังจวนเจ้าเมืองพอดีเลย” “มาคิดเงินกันเถอะเจ้าจะได้ไปทำอย่างอื่นต่อ ทั้งหมดคือ 1,000 ตำลึงทองอีกสิบวันเจ้าคงต้องเตรียมของให้ข้าหลายพันชั่ง หากว่าเจ้ามีของมากพอ แล้วอย่าลืมอีก 100 ชั่งด้วยล่ะ” “มีพอแน่นอนเจ้าค่ะท่านวางใจได้ รอบหน้าข้าจะนำชาดีๆ มาฝากท่านด้วยเจ้าค่ะ” ท่านหมอและหว่าหวาคุยกันจนหลงลืมคนรอบข้างไปแล้วกระมัง “ท่านอา ท่านอา ท่านอาเจ้าคะ หลับหรือเจ้าคะคิกๆ ข้าก็นึกว่าท่านอาหลับเห็นเงียบไปนาน” “นั่นน่ะสิ ฟางเออร์เจ้าก็หลับด้วยหรือ” “เอ่อ..ไม่เจ้าค่ะ/ข้าไม่ได้หลับ” ไท่หยุนและฟางเซียนพูดขึ้นพร้อมกันคล้ายกับจะแย่งกันตอบ “ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่หลับก็ไม่หลับสิจะมาอายจนหน้าแดงกันไปทำไม” ท่านหมออดเหย้าแหย่ไม่ได้กับท่าทางของคนทั้งสอง ‘ไม่ใช่ว่าข้าจะได้หลานเขยแล้วหรอกนะไม่เลวเป็นสกุลไท่ก็ไม่เลวเลย หึๆ’ “อาหวาเรากลับกันเถอะ ท่านหมอจวง แม่นางเถียนข้าลาแล้ว” กล่าวลาเสร็จท่านอาของหว่าหวาก็พุ่งตัวออกจากร้านโดยไม่รอใคร “เช่นนั้นข้าลาท่านหมอและแม่นางเถียนเจ้าค่ะ” กว่าจะก้าวพ้นจากร้านสมุนไพรก็กินเวลาไม่น้อยออกมาก็เจออาหมงเอารถม้ามารออยู่แล้ว หว่าหวาจึงขอให้ท่านอาพาไปเอาเย่จึก่อนแล้วค่อยไปทำธุระต่อที่จวนเจ้าเมือง ที่จวนเจ้าเมือง…พอมาถึงที่หมายท่านอาก็บอกว่าเจ้าเมืองคนนี้เพิ่งจะมาประจำที่เมืองเถียนได้ไม่นาน ท่านอาก็ยังไม่เคยได้เห็นหน้าท่านเจ้าเมืองคนนี้เลย นางก็หวังอยู่ในใจลึกๆ ว่าท่านเจ้าเมืองจะเป็นคนดีและพูดคุยง่าย “พวกเรามาขอพบท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ” หว่าหวาเอ่ยกับทหารยามที่เฝ้าประตูจวน “รอสักครู่นะขอรับ” เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพียงไม่นานทหารคนเดิมก็ออกมาพร้อมกับเชิญพวกเขาเข้าไปข้างใน ช่างรวดเร็วดีแท้ ที่ห้องทำงานของท่านเจ้าเมือง... “สวัสดีเจ้าค่ะ/ขอรับ” พวกเรามาขอพบท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ" เป็นหว่าหวาที่เอ่ยกับบุรุษผู้หนึ่งที่ดูยังไงอายุก็ไม่น่าจะเกินยี่สิบปี คงเป็นผู้ช่วยกระมังหว่าหวาคิด “แล้วเจ้ามีเรื่องอะไรอยากคุยกับเจ้าเมืองล่ะแม่นาง” ฟงอวี้จำนางได้ สตรีที่กินบะหมี่แบบไม่เขินอายช่างผิดแปลกไปจากสตรีที่เขาเคยรู้จักนางงดงามเป็นธรรมชาติโดยไม่มีเครื่องประดับสักชิ้นนอกจากกิ๊บติดผมสองอัน ใบหน้าหรือก็ไม่แต่งแต้มสีสันเลยสักนิดแต่กลับน่ามองยิ่งนักโดยเฉพาะริมฝีปากอวบอิ่มนั่นให้มองทั้งวันก็ไม่มีเบื่อ ฟงอี้กำลังพิจารณารูปลักษณ์ของอิสตรีอยู่หรือนี่พูดไปใครจะเชื่อหากสหายของเขามาได้ยินความคิดนี้คงได้อ้าปากค้างเป็นแน่ “ข้าขอคุยกับเจ้าเมืองได้หรือไม่เจ้าคะ” “งั้นก็คุยสิ ข้านี่แหละเจ้าเมือง” “ห๊าาา..ท่านนี่นะเจ้าเมือง ท่านต้องล้อข้าเล่นแล้ว” ‘ไม่เนียนเลยนะพ่อหนุ่มรูปงามเจ้าเมืองที่ไหนจะเด็กปานนี้ช่างโกหกได้หน้าไม่อาย ถ้าเป็นโลกเก่าของข้าเจ้ายังเรียนไม่จบเลยเหอะ’ หว่าหวาคิดแย้งในใจ “จริง ข้าหาได้โกหกเจ้าไม่” “ท่านแน่ใจนะเจ้าคะว่าท่านคือเจ้าเมืองตัวจริง” หว่าหวายังคงกังขาและไม่มีทางเชื่อง่ายๆ “หึหึ เจ้ายังสงสัยในตัวข้าหรือ ข้ามีส่วนใดที่ไม่เหมือนเจ้าเมืองกันล่ะแม่สาวน้อย” เถียนฟงอวี้ เห็นท่าทางของเด็กสาวเหวอไป พลันก็คิดอยากจะกลั่นแกล้งนางขึ้นมาทันที ‘โห! แม่สาวน้อยเลยรึ’ “ก็ท่านยังเด็กอยู่เลยนี่เจ้าคะ ไม่เห็นจะเหมือนเจ้าเมืองสักนิด” ก็เด็กจริงๆ นี่นา เจ้าเมืองที่ไหนกันจะหน้าละอ่อนปานนี้เล่า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD