บทที่๓
ข้าวผัดใส่ไข่ช้อนพูนยื่นมาจ่อปาก คนกำลังขับรถชายตามองพร้อมกลืนสิ่งที่เคี้ยวอยู่ลงคอ ก่อนอ้าปากรับข้าวคำใหม่ที่พูนจนแทบจะล้นปากออกมา เคี้ยวกร้วมจนเม็ดข้าวแหลกพอเปิดปากพูดได้ แต่ไม่ทันจะเอ่ยปาก ข้าวคำใหม่ก็ยื่นมาอีกแล้ว แต่เขาไม่อ้าปากรับเสียอย่างคนป้อนก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตวาดแว้ดดังคับรถ
“เอ้า! อ้าปากสิ กินให้มันไวๆ ฉันจะได้กินมั่ง ป้อนนายอยู่นี่ไม่ต้องกงต้องกินกันพอดี” ตีรณาบ่นเสียงดังลั่นรถ
วันนี้ทั้งคู่ออกจากบ้านแต่เช้า เพราะคนที่กำลังถูกดุบอกว่าพี่ชายโทร.มาหาให้ไปพบตอนเช้า ระยะทางไกลพอสมควรเช่นนี้จึงต้องออกจากบ้านเช้า และต้องจัดอาหารเช้ามากินบนรถ วันนี้แม่ทำข้าวผัดไข่เจียวเตรียมไว้ให้ เมื่อสัภยาทำหน้าที่สารถี เธอก็ต้องป้อนข้าวเขาอีกครั้งซึ่งเป็นเรื่องปกติ และจะมีปากเสียงกันตลอดกับการป้อนข้าวแบบเร่งรีบให้เคี้ยวของตน
“ป้าครับ คำมันใหญ่มาก ขีดเส้นใต้ว่าใหญ่มาก แล้วป้าจะให้เคี้ยวไวๆ ได้ยังไง”
“ก็ฉันหิวจะกินบ้างนิ” ตีรณาเถียงเสียงอ้อมแอ้ม เพราะจำนนต่อหลักฐานที่คามืออยู่
สัภยาละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัย ดึงช้อนไปจากมือแล้วจ่อปากตีรณาลักษณะจับยัด จนเธอไม่อาจปฏิเสธได้ สัภยามองยิ้มๆ เมื่อหญิงสาวทำท่าเคี้ยวอย่างยากลำบาก ก่อนจะฝืนกลืนลงไป แล้วสิ่งที่เขาคาดไว้ก็ตามมา เธอด่ากลับทันที
“ไอ้บ้า จับยัดมาได้ เกือบติดคอตาย”
“เห็นผลหรือยังว่าป้าเกือบทำผมตายมากี่รอบแล้ว”
ชายหนุ่มเอ่ยแค่นี้ก็รู้ว่าเธอเข้าใจและคงคิดได้ เพราะเธอไม่เถียงและข้าวคำต่อมาก็เล็กลงเกือบครึ่ง สัภยาอ้าปากรับไปเคี้ยวกร้วมๆ รู้สึกว่าคำนี้อร่อยกว่าทุกคำ และเมื่อกลืนลงคอแล้วเขาก็บอกกับคนที่หิวเหมือนกัน
“ป้าก็กินไปด้วยสิ ป้อนผมคำ กินเองคำ ไม่เห็นต้องรอให้ผมอิ่มเลย” เขาบอกแล้วชายตาไปมอง เหมือนเธอจะอึ้งไปเล็กน้อยแต่ยังไม่พูดอะไร สัภยาจึงถามกลับแฝงความน้อยใจ
“หรือป้ารังเกียจผม ไม่กล้ากินช้อนเดียวกับผม”
“เปล่า” ตีรณาตอบทันควันเหมือนเป็นความรู้สึกจากใจที่เผยออกไปโดยไม่ต้องตริตรอง และสัภยาก็คงสัมผัสได้เขาจึงหันมายิ้มยินดี รอยยิ้มเขาช่างดูสดใสน่ามองเสียจนเธอเผลอไผลตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนได้สติ รีบดึงตนเองกลับมาด้วยการบังคับเขาเสียงกระเง้ากระงอด
“เอาๆ กินเข้าไป แล้วดูทางดีๆ อย่าพาฉันหลงอีกนะ เบื่อที่จะต้องย้อนไปย้อนมากับนายตลอด” เธอยื่นช้อนใส่ข้าวผัดคำใหม่ไปตรงปากเขาอีกครั้ง สัภยายังไม่อ้าปากรับในทันที แต่แย้มยิ้มกว้างขึ้นแล้วถามเสียงนุ่ม
“ป้าเบื่อที่จะหลงทางไปกับผมแล้วหรือ”
‘เสียงมันนุ่มไป แววตาก็กรุ้มกริ่มจนแปลกไป มันกำลังทำให้ฉันใจแกว่ง’
“หลงทางมันเสียเวลา เปลืองน้ำมันแกก็รู้ ใครจะอยากหลงละ เอ้า! อ้าปากรับ” เธอใช้เสียงแข็งๆ ปกปิดหัวใจที่แกว่งไกว
“ป้าก็กินด้วยกันเลยนะ” สัภยาบอกแล้วรับข้าวเข้าปาก ก่อนชายตามองแล้วอมยิ้มแก้มตุ่ยเมื่อตีรณาตักข้าวเข้าปากตนเอง กินไปพร้อมกันกับเขาโดยไม่ต้องรอให้ป้อนเขาเสร็จเหมือนทุกครั้ง
สายตาหลังแว่นกันแดดสีดำกวาดมองด้วยความสนใจ ผืนนาร้างกับบ้านไม้แทบจะพังครืนอยู่รอมร่อคือสิ่งที่สัภยาพามาดู และว่าจ้างให้ถ่ายรูปเก็บไว้ ด้วยอัตราค่าจ้างตามที่เธอรับงานทั่วไป เพราะเขาบอกว่าจะไปเบิกค่าจ้างมาให้จากพี่ชายอีกที ตีรณาถอดแว่นกันแดดออก มองผ่านแสงเจิดจ้าแห่งวันอีกครั้ง ความรู้สึกแรกบอกเธอว่าน่าอยู่มาก
สองคนมาถึงก่อนพี่ชายของสัภยากับช่างที่นัดไว จึงเดินดูไปเรื่อยๆ พร้อมถ่ายรูปเก็บไว้ จนมาถึงท่าน้ำ
“ท่าน้ำนี่ต้องมีสะพานยื่นลงไป มีศาลาตรงนี้ แล้วฉันก็ไปยืนตรงนั้นแล้วพูดว่า คุณเมืองเทพขา ฉันมายืนรอคุณตรงนี้ทุกค่ำคืน”
“เฮ้อป้า บ้าไปแล้วเล่นอะไรขนลุก แล้วเมืองเทพไหนละ ต้องพี่มากสิ” สัภยาทั้งขันทั้งสยองที่ตีรณาทำท่าล้อหนังดัง แต่ก็แปลกใจกับชื่อตัวละครที่เธอเอ่ยออกมา แปลกหูก็จริง แต่กลับคุ้นเคย
“อะไร ก็ฉันพูดชื่อพี่มากนี่นา” ตีรณาถามกลับงุนงง “แล้วเมืองเทพอะไรของแก”
“เอ๊ะ ผมได้ยินป้าพูดชื่อเมืองเทพนะ” สัภยาโต้แย้ง เพราะมั่นใจว่าหูไม่ฝาดแน่ ตีรณามองเขาสายตาเชือดเฉือนอย่างไม่ยอมรับ ก่อนเธอจะส่ายหน้าย้ำ
“ฉันไม่ได้พูด”
“พูด” สัภยายังย้ำ เพราะเขามั่นใจว่าหูไม่ฝาด
“เอ๊ะ! ไอ้นี่ บอกว่าไม่ได้พูด”
สิ้นเสียงตวาด ร่างผอมบางก็ถูกกระชากเข้าใกล้ร่างผอมสูงของหนุ่มผมยาวฟูที่วันนี้มัดหางม้าไว้ท้ายทอย ปลายผมฟูฟ่องเป็นพู่เชียร์กีฬา เขากอดรัดเธอเต็มวงแขน ตีรณาตกใจระคนวาบหวิว รีบดันอกเขาออกห่างพร้อมเบือนหน้าหนี กลัวเขาจะทำเหมือนพระเอกละครน้ำเน่า ก่อนหลับตาแน่นเมื่อสัภยาลดใบหน้าลงมาจริงๆ
‘ว้าย! มันจะจูบฉัน’ มันชวนให้คิดอย่างนี้จริงๆ
“บอกว่าพูด ก็พูดสิ ป้านี่รั้นจริง” สัภยาพูดใส่หน้าคนที่หลับตาแน่น ก่อนคลายวงแขน ขยับออกห่างแต่มือสองข้างยังประคองอยู่ตรงบ่าของอีกฝ่าย กันร่างตีรณาเซซวน
‘มันไม่จูบ ฮึ! เอ๊ะ ยายตี นี่เธอกำลังเคืองที่นายพญาไม่จูบเธอเหรอ คิดอะไรอยู่นะ’
‘คิดที่จะแย่งผัวกูนะสิ’
ตีรณาลืมตาพึ่บกับเสียงที่ได้ยิน ชัดเจนใกล้หู จนต้องเหลียวหาเมื่อลืมตาแล้วมองไม่เห็นสาวเจ้าของเสียง