ตีรณากำลังจะล้มตัวลงนอนหลังจากปิดไฟเรียบร้อยแล้ว แต่เสียงโทรศัพท์มือถือกลับดังขึ้น หญิงสาวรีบหยิบมาดูชื่อคนที่บังอาจโทร.มารบกวนในยามดึกดื่นเช่นนี้ เมื่อเห็นชื่อคนโทร.เธอก็ตัดสายแล้วเดินไปเปิดไฟในห้องทันที ก่อนจะเดินออกจากห้องลงไปชั้นล่าง เปิดประตูหน้าบ้านออกไปมองอย่างสงสัย พร้อมถามสั้นๆ
“มีอะไร”
สัภยาซึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้วยิ้มประจบรับหน้างอของหญิงสาว ก่อนบอกอย่างเกรงใจ “ผมหาซองเอกสารไม่เจอ คิดว่าคงตกในรถป้า”
“เอกสารอะไร” ตีรณาถามกลับอย่างงุนงง ความง่วงอาจทำให้เธอคิดช้าลง
“ก็ซองที่พี่ข่าให้มายังไงป้า รูปเก่าๆ กับนิตยสารที่ลงประวัติบ้านหลังนั้น”
“แล้วรีบอ่านหรือยังไง”
“เปล่าหรอกป้า แค่อยากหาให้พบจะได้มั่นใจว่าไม่ได้หายไปไหน”
“แสดงว่าเมื่อเจอแล้ว แกก็จะนอนเลย ใช่มั้ย”
“ครับ..โอ๊ย! ตบอีกแล้ว” สัภยาร้องเสียงหลงเมื่อฝ่ามือของหญิงสาวฟาดศีรษะแบบเฉี่ยวๆ
“แกก็ไม่ได้รีบร้อนจะดู แล้วบังอาจมาปลุกฉันนะ นายพญา” ตีรณาเงื้อมือเหมือนจะทำร้ายเขาอีกครั้ง ครานี้ชายหนุ่มกระโดดหลบไปเสียไกล ก่อนเถียง
“ก็ผมเห็นอยู่ว่าป้ายังไม่นอน ห้องยังเปิดไฟ”
“ฉันปิดจะนอนแล้ว”
“แค่จะนอนเอง นะๆ ป้า ขอกุญแจรถหน่อย จะได้รู้ว่าอยู่ในรถหรือลืมไว้ที่อื่น นะครับ” หลังเถียงเสียงแข็ง ท้ายประโยคเขาก็ออดอ้อน ตีรณาไม่อยากต่อล้อต่อเถียงนานจึงเดินกลับไปหยิบกุญแจรถส่งให้
“เอา แล้วไม่ต้องมาทำเสียงอ้อนแบบนี้อีก ไม่ชอบ”
“ไม่ชอบหรือสยิวกิ้ว หวั่นไหวละเส่” สัภยาเย้า ก่อนเผ่นหนีเมื่อหญิงสาวเงื้อมือ ชายหนุ่มหัวเราะร่วนยังไม่หยุดเย้า
“ป้ารู้ตัวหรือเปล่า เวลาป้าอายแก้มแดงน่ารักชะมัด เสียอย่างเดียวมือไวแล้วมือหนักไปหน่อย ระวังป้าจะตบแฟนคอหักนะ”
“ไอ้บ้า ปากเสีย”
‘ฉันยังไม่มีแฟน’
คำว่าแฟนหรือคู่รักสะกิดใจ เพราะจนป่านนี้ก็ยังไม่มีคนให้ใช้คำนี้ แต่เธอไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตขาด หรือรอคอยใครเหมือนที่เพื่อนบางคนเคยบอกว่า ชีวิตเขาเหมือนรอใครสักคนจนได้พบเจอกับคนที่ใช่ ความรู้สึกบอกว่าใช่เมื่อไร การรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อนั้น
สัภยาเริ่มคิดว่าตนเองเป็นโรคจิตเข้าไปทุกขณะ ที่ชาชินกับการถูกตีรณาดุด่าและลงไม้ลงมือ วันไหนไม่ถูกเธอตวาดใส่หรือทำร้ายร่างกายแม้เพียงเล็กน้อย ชีวิตวันนั้นของเขาจะรู้สึกถึงคำว่าอยู่ไปวันๆ ทันที
ทันทีที่เขาเปิดประตูตอนหลังของรถ กลิ่นสาบโคลนก็พวยพุ่งฉุนจมูก ตลบอบอวลวนเวียนรอบตัวจนผงะ ก่อนจะถอยหลังสองสามก้าวเพื่อตั้งหลัก ตีรณามองอยู่ตรงประตูบ้านเห็นชัดก็แปลกใจ
“เป็นอะไรแก” เธอตะโกนถามแล้วสาวเท้าเข้าไปใกล้ แตะไหล่ร่างสูงกว่าที่กำลังนิ่งขึง สัภยาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันมาบอก
“รถป้าเหม็นมาก ไม่ดูดฝุ่นมากี่ปีแล้วนี่” เขาหัวเราะกลบเกลื่อน เพราะคิดว่ามันไร้สาระเกินไปหากจะบอกว่าเหม็นกลิ่นโคลนที่พุ่งออกมาจากในรถ
“ไอ้บ้า” ตีรณาตีไหล่เผียะ ค้อนปะหลับปะเหลือกก่อนถามต่อ “เจอไหม หาดูซิ”
“ครับๆ” สัภยารับคำ แล้วก้มตัวลงไปมองหาในรถ กลิ่นดังกล่าวหายไปหมดแล้วอย่างน่าประหลาด เวลานี้มีเพียงกลิ่นน้ำหอมปรับอากาศกลิ่นคุ้นเคยเท่านั้น ซองสีน้ำตาลที่เขาหาวางอยู่บนพื้นรถหน้าที่นั่งตอนหลัง สัภยาก้มตัวแล้วยืดแขนไปอีกนิดเพื่อหยิบมันขึ้นมา ทว่าหางตายามก้มสะท้อนแสงวาววามอย่างหนึ่งเข้า เขาจึงเหลียวไปมองให้ชัด
เขาเห็นข้อเท้าที่สวมกำไลอีกแล้ว
สัภยากะพริบตาก่อนมองอีกครั้ง เห็นแค่ขาขาวเท้าเรียวยาวที่สวมรองเท้าแตะของตีรณาเท่านั้น ตาฝาดอีกแล้ว เขาคงต้องบอกตัวเองแบบนี้ ก่อนจะหยิบซองดังกล่าวแล้วถอยออกมานอกรถ ส่งให้ตีรณาดูว่าเจอแล้ว ก่อนจะปิดประตูรถ กดรีโมตล็อก แล้วชวนเธอ
“ไปนอนกันเถอะป้า”
แวบแรกเขาเห็นหญิงสาวยิ้มเอียงอาย แต่เมื่อกะพริบตามองอีกครั้งกลับเห็นใบหน้างอ ประกอบเสียงเข้มที่ดังขึ้น
“ไอ้ลามก”
“ป้าแหละคิดมาก แค่หมดธุระแล้ว ก็ชวนไปนอน ต่างคนต่างนอนไงครับ แหมๆ หรือป้าคิดอะไรกับผม วันก่อนก็เข้าไปจะลักหลับผมนี่นา เอางี้นะป้า ถ้าอยากทำแบบนั้นจริงๆ แค่บอกมาตรงๆ นายพญาจะพลีกายให้ป้าเชยชมทันที”
“ไอ้บ้า เด็กผี แกตาย” ตีรณาวิ่งไล่ทุบชายหนุ่ม ที่กำลังหัวเราะร่วนยามวิ่งซิกแซ็กไปมาเพื่อหลบหนีการประทุษร้ายของเธอ ปากก็พูดกลั้วหัวเราะ
“ป้า ผมพูดจริงๆ นะ จะยอมพลีกายให้ป้าเชยชมจริงๆ ถ้าป้าเลิกเป็นทอม”
“ไอ้พญา ไอ้บ้า” ตีรณาใช้แรงฮึดพุ่งเข้าใส่แผ่นหลังสัภยา ชายหนุ่มเสียหลักจนหน้าคะมำล้มลงไปบนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้านพอดิบพอดี โดยมีร่างบางล้มทับไปบนตัว แรงกระแทกจึงบวกเป็นสองเท่า
“โอ๊ะ!” สัภยาจุกจนร้องไม่ออก นอนนิ่งรองรับน้ำหนักหญิงสาวอยู่ชั่วครู่ รู้สึกว่าคนบนหลังไม่กระตือรือร้นที่จะขยับออกไปเพื่อผ่อนน้ำหนักให้เขา แต่เขาต้องยอมรับว่าเกิดความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาดมากกว่าความอึดอัดหนักอึ้งที่ควรจะเป็น ชายหนุ่มลอบยิ้มยินดีดึงมือที่พาดยาวไปบนแคร่มาหนุนคาง ตะแคงหน้าไปด้านหนึ่งเพื่อผ่อนคลาย ก่อนจะตกใจร้องเสียงหลง
“เฮ้ย!”