บทที่๑/๓

977 Words
สัภยานั่งขัดสมาธิบนฟูกบางๆ ที่ปูบนแคร่ไม้ไผ่ในเรือนไม้อีกหลังที่มิดชิดกว่าเรือนครัว เรือนไม้เล็กๆ ที่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาของพ่อครูแม่ครูเรียกว่า ‘เรือนศิลปะ’ หากเรือนศิลปะเปรียบเหมือนห้องพักครูและที่เก็บอุปกรณ์การเรียนรู้ ลานดินด้านหน้าซึ่งร่มรื่นด้วยเงาไม้ตลอดทั้งวันก็เปรียบเป็นห้องเรียนกลางแจ้ง ห้องเรียนที่มีนักเรียนหลากหลายวัยแวะเวียนมาขอความรู้ คำชี้แนะและรับรู้ประสบการณ์ของพ่อครูแม่ครูที่มักมีเวลาว่างเล่าขานให้ศิษย์ฟัง เพื่อต่อเติมกำลังใจให้มุมานะในสิ่งที่แสวงหา หากเขามีเวลาว่างตรงกันก็ชอบมานั่งฟังด้วย แม้ทุกครั้งตนเองจะดูเหมือนนักเรียนโข่งเข้าไปทุกที สัภยาใช้เรือนนี้เป็นที่ซุกหัวนอนถ้าต้องการค้างที่นี่ เพราะกลัวเป็นการไม่สมควรหากจะไปพักบนเรือนใหญ่ทั้งที่ทุกคนก็เอ่ยอนุญาต เขาชอบที่นี่แม้จะไม่มีเครื่องปรับอากาศ มีเพียงพัดลมตัวเล็กๆ ก็ช่วยคลายร้อนได้แล้ว อีกทั้งหน้าต่างด้านหน้าที่เปิดรับลมได้ก็มีลมพัดผ่านตลอดเวลา นอกจากช่วยคลายความร้อนให้แล้ว ยังหอบเอากลิ่นหอมของดอกไม้ที่แม่ครูปลูกไว้เข้ามาให้ชื่นใจ เขาหลับสบายทุกครั้งที่สูดกลิ่นไม้หอมเหล่านี้ แต่กลับมีคนหนึ่งบ่นไม่ชอบกลิ่นดอกไม้หอมที่โชยฟุ้งกระจาย ‘เกลียดจริงๆ กลิ่นดอกแก้วนี่ มันเย็นๆ น่าขนลุก’ ‘คิดมากไปนะป้า คนบ้าอะไรไม่ชอบกลิ่นหอมของดอกไม้ หรือเป็นเฉพาะพวกผิดเพศเหมือนป้า’ ‘ไอ้พญาปากเสีย เดี๋ยวแม่ตบปากห้อย’ เธอพูดว่าเดี๋ยว แต่ลงมือพร้อมกันในทันที ซึ่งเขาไม่เคยหลบมือหลบเท้าตีรณาพ้นเลย จนบางครั้งเขาก็แกล้งพูดใส่หน้าด้วยความเจ็บใจที่ตกเป็นเบี้ยล่างตีรณาตลอด ‘ลงไม้ลงมือตลอด เดี๋ยวจับไปลงแขกให้รู้จักเพศตัวเองเสียที’ หลังจากพูดเขาก็โดนยำทั้งมือทั้งเท้าสะบักสะบอมไปเลยทีเดียว ‘กูไม่ใช่ทอม ไอ้บ้า’ ‘ใครจะเชื่อลงว่าป้าไม่ใช่ทอม’ สัภยาอดขันไม่ได้เมื่อนึกถึงคำพูดนี้ เพราะคนร้อยทั้งร้อยที่เห็นตีรณาแวบแรกจะคิดว่าเธอเป็นทอมบอยทั้งนั้น และร้อยทั้งร้อยเหล่านั้นหากได้คลุกคลีและสนิทสนมด้วยจะฟันธงว่า ‘ใช่’ แล้วอย่างนี้จะมีประโยชน์อะไรที่เธอจะแก้ตัว ชายหนุ่มหุบยิ้มเมื่อเผลอนึกถึงเรื่องของตีรณา ก่อนจะลุกขึ้นไปปิดพัดลม เพราะลมด้านนอกหอบกลิ่นดอกไม้เข้ามามากพอเพียงต่อการนอนหลับอย่างสบาย และถือเป็นการประหยัดค่าไฟฟ้าไปในตัว ชายหนุ่มกลับมาทิ้งตัวลงนอนบนฟูกบางๆ ก่ายมือบนหน้าผากอย่างเคยชิน ‘คิดอะไรมากมายนัก นายพญา’ เสียงตีรณาแว่วมาเมื่อเขานอนก่ายหน้าผาก เธอจะบ่นทุกครั้งหากเห็นเขานอนเช่นนี้ เธอบอกว่าโบราณถือ คนที่นอนเอามือก่ายหน้าผากคือคนอมทุกข์ มีเรื่องกังวลต้องขบคิด เพราะฉะนั้นห้ามเขานอนก่ายหน้าผากเด็ดขาดเพราะเธอไม่ชอบเห็นคนอมทุกข์ สุดท้ายเธอก็มีประกาศิตลงมา แล้วเขาก็ต้องทำตาม จนต้องลดมาพาดไว้บนลำตัวแทน เขาไม่รู้ตัวเลยว่าชอบนอนเอามือก่ายหน้าผากมาตั้งแต่เด็กๆ และเมื่อนึกย้อนไป เขาก็คงมีเรื่องให้คิด มีทุกข์ให้อมอย่างที่ตีรณาว่านั่นเอง ครอบครัวเขาน่าจะมีความสุข ฐานะทางบ้านก็ดี มีเงินทองเรียกว่าร่ำรวย การค้าก็เจริญรุ่งเรือง พ่อเขาก็มีลูกแค่สองคน คือเขากับพี่ชาย แต่บ้านกลับไม่มีความสุข ไม่มีรอยยิ้ม นั่นเพราะพ่อเขาเป็นคนเจ้าชู้ ชอบมีเมียเล็กเมียน้อย แต่ดีตรงที่พ่อไม่มีลูกกับใครเพราะทำหมันไปตั้งแต่มีเขา พ่อมีปากเสียงกับแม่มาตลอด แม่เคยตามไปหึงหวงอาละวาดตบตีกับบรรดาผู้หญิงของพ่อ บังคับให้พ่อเลือกระหว่างครอบครัวกับผู้หญิงเหล่านั้น แน่นอนพ่อเลือกครอบครัวแต่ต้องเป็นครอบครัวที่มีผู้หญิงให้ความสุขแก่พ่อได้ พ่อไม่ยอมหย่ากับแม่ แต่ก็ไม่ทิ้งผู้หญิงเหล่านั้น สุดท้ายแม่ก็สุดจะทนยอมจากไปเอง ตอนแม่หนีไปใหม่ๆ เขาสองคนพี่น้องอ้อนวอนให้พ่อตามหาแม่ แล้วพาแม่กลับมาเป็นครอบครัวเช่นเดิม ซึ่งพ่อก็ทำตามคำขอของลูกๆ ตามหาแม่จนพบแต่ไม่อาจพาแม่กลับมาอยู่ด้วยได้ เพราะแม่ตัดขาดทางโลกมุ่งศึกษาพระธรรม แม่บวชเป็นชีในวัดป่าห่างไกลความเจริญในจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคใต้ หรือเขาขาดความอบอุ่นในครอบครัว ถึงชอบขลุกอยู่ที่นี่กับครอบครัวนี้ ทั้งที่ตีรณาและญาณิศาชอบว่ากล่าวเขาด้วยถ้อยคำรุนแรง โดยเฉพาะตีรณาที่เห็นเขาเป็นลูกไล่ แต่เขาไม่เคยคิดอยากไปจากที่นี่เลย แม้บางทีจะกลับไปนอนที่บ้านตนเองบ้างเพราะความเกรงใจ “ตายห่า!” สัภยาเด้งตัวขึ้นนั่งเมื่อนึกขึ้นได้ เขาลืมนัดของพ่อกับพี่ชาย แต่ดึกป่านนี้แล้วคงไม่มีใครรอ “ค่อยไปให้ด่าพรุ่งนี้ก็แล้วกัน” เขาบ่นกับตนเองแล้วทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง ทันทีที่จมดิ่งในห้วงนิทรา หูแว่วเสียงแสกๆ เหมือนวัตถุลากไปบนพื้น ไม่ดังมากจนหนวกหูแต่รู้สึกรำคาญจนนอนไม่หลับ สัภยาลืมตาโพลงอย่างหงุดหงิด ก่อนจะร้องเสียงหลงกับภาพเบื้องหน้า “เฮ้ย!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD