บทที่ 5 รับสืบทอดอุดมการณ์ [1.2]

1189 Words
เวลาช่างผ่านไปเร็วนัก เผลอแป็บเดียวก็สี่ปี ตระกูลอัครวัชรโยธินและตระกูลทรัพย์โภคิน ก็มีสมาชิกเป็นร้อยตำรวจตรีในที่สุด ลำธารมองช่อดอกไม้สองช่อที่ตนตั้งใจและลงทำด้วยตัวเอง เธอฝึกฝนอย่างเอาจริงเอาจังนานกว่าสามเดือน ก็เพื่อสำหรับสองช่อนี้ในวันพรุ่งนี้ มันไม่ได้สวยเลิศเลอเทียบเท่าของมืออาชีพ แต่จากที่มองด้วยสายตาของเด็กหญิงที่เปลี่ยนมาเป็นเด็กสาวหมาดๆ มันก็ไม่ทำให้พี่ๆ ทั้งสองของเธอต้องอับอายยามที่ได้รับมัน “ไปนอนได้แล้วพรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้านะ” เสียงของแม่ที่ทำให้ลำธารต้องเข้านอนได้แล้วเพราะพรุ่งนี้พวกเธอต้องไปร่วมยินดีในพิธีเขารับพระราชทานกระบี่ของธาราและหัสวีร์ ?????? ?????? ลำธารกวาดสายตามองภายในงานที่วันนี้ผู้คนมากมาย เหล่าญาติๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดีล้วนแล้วแต่มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสกับวันดีๆ เธออดไม่ได้ที่จะหันไปยิ้มกับแม่ ลำธารอยู่ในชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนเส้นผมยาวสลวยถูกมัดไว้ครึ่งศีรษะเผยใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาน่ารักน่าเอ็นดูตามวัยสิบห้าปี ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ความสดใสน่ารักของเธอไม่อาจเลี่ยงเหล่าว่าที่นายร้อยตำรวจและนักเรียนนายร้อยมากมายที่ได้เห็นต้องหันหลังกลับมองเธออย่างไม่วางตา แต่สายตาของสาวน้อยกลับมองไม่เห็นบรรยากาศเหล่านี้ เธอกวาดตามองหาคนที่เธอนัดไว้ยังสถานที่นัดหมายเท่านั้น “พี่หัส พี่ธารา” หญิงสาวตื่นเต้นยินดีมือหนึ่งอดไม่ได้ที่จะชูขึ้นสูงเมื่อเห็นพวกเขา สองคนที่กำลังร่วมถ่ายรูปกับเพื่อนๆ หันมาตามเสียงเรียกและทั้งสองก็ขอตัวและรีบเดินมาหาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หัสวีร์มองภาพเด็กสาวในชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนอย่างตะลึง นานแล้วที่เขาไม่ได้เจอกับเธอจะว่าไปก็กว่าแปดเดือนเลย ลำธารโตขึ้นมาก เธอสูงขึ้นด้วย ผมเธอก็ยาวมากขึ้นด้วยทุกอย่างของการเปลี่ยนแปลงในตัวหญิงสาวล้วนแล้วแต่เป็นในทางที่ดีขึ้น “ยินดีด้วยนะคะ” ลำธารยื่นช่อดอกไม้ที่ตนถือมาส่งให้หัสวีร์ และไปรับอีกช่อที่แม่ช่วยถือส่งให้ธารา “ทำไมดอกไม้ของพวกพี่ถึงเยอะนักละคะ” ทั้งหัสวีร์และธาราไม่ได้ตอบ ต่างก็มองหน้ายิ้มกันเจื่อนๆ จะบอกว่าเหล่าสาวๆ ให้มาได้เหรอถึงแม้มันจะเป็นเรื่องจริงก็ตามที และนี่ที่ว่าเยอะมันก็แค่สองช่อเท่านั้นที่พวกเขายังไม่มีโอกาสจัดการมันไปอย่างไม่น่าเกลียดเหมือนหลายๆ ช่อก่อนนี้ที่มันถูกจัดการไปแล้วในห้องน้ำชาย แต่ก่อนที่จะถ่ายรูปทั้งสองก็จัดการวางดอกไม้สองช่อนั้นไว้บนม้านั่งและเหลือเพียงคนละหนึ่งช่อในมือที่น้องสาวเป็นผู้มอบให้ “สวยดีนะ” หัสวีร์เอ่ยชมเพราะเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้ว่าช่อดอกไม้นี้ต้องเป็นฝีมือของลำธารอย่างไม่ต้องสงสัย จากวันที่ได้พวงมาลัยก้อนขยุ้มและช่อดอกไม้นี้ มันผ่านมาก็หกปีแล้ว และในคำชมนั้นของเขาหาใช่แค่ชมดอกไม้อย่างเดียวเท่านั้น ภาพถ่ายพร้อมหน้าครอบครัวและภาพคู่ของทั้งสี่คนช่างมากมาย ถ่ายเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกว่าเหนื่อยว่าอยากหยุดอยากพอ จนกระทั่ง... “ตาหัส” เสียงหนึ่งก็เอ่ยขึ้นท่ามกลางรอยยิ้มและความสุข ซึ่งในฉับพลันนั้นธาราที่ยืนอยู่ข้างกายเพื่อนรับรู้ถึงกระแสบางอย่างจากเพื่อน เขามีหรือจะไม่เข้าใจความคิดของเพื่อนว่ากำลังวิตกอะไร การหนีไม่ใช่หนทางออกของชีวิต [นายต้องพร้อมที่จะเผชิญหน้า นายในวันนี้ไม่ใช่นายในวันที่เมื่อหกปีก่อน] เสียงของเพื่อนที่เคยบอกเขาไว้ก้องสะท้อนในห้วงคำนึง จะมีใครเล่าที่จะเหมือนเขามั้ยที่ต่างก็ต้องการให้วันนี้มาถึงอย่างใจจดใจจ่อ แต่หัสวีร์อยากจะดึงให้มันช้าที่สุด นั่นเพียงเพราะเขากลัวว่าเวลาอิสระของตัวเองกำลังจะจบลง เขาอาจจะต้องกลับเข้าสู่กรงทองด้วยคำว่าลูกกตัญญู หัสวีร์ค่อยๆ หันไปมอง ไม่ใช่แค่คุณแม่ คุณพ่อก็มาด้วยซึ่งดูจากสีหน้าคุณพ่อแล้วคงจำใจมาเสียมากกว่า แต่ดีที่พวกเขาเป็นผู้มีหน้ามีตาในสังคมคุณพ่ออาจจะไม่สนใจหรือรู้สึกภาคภูมิใจอะไรนักแต่ก็มาเพื่อไม่เป็นขี้ปากต่อไป ส่วนคุณแม่มาก็แค่อยากได้เห็นหน้าเขาสักครั้งในรอบหกปีก็เท่านั้นกระมัง “ลูกแม่โตจนแม่แทบจะจำไม่ได้เลย” คุณแขไขเข้าไปโอบจับลูกชาย ที่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปมากอย่างไม่อยากเชื่อ ลูกชายเธอหล่อเหลาเอาการจริงๆ หาญรัชเองก็อดไม่ได้ที่จะมองสำรวจลูกชายที่ไม่เห็นตัวเป็นเป็นๆ มาตลอดหกปี เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าหัสวีร์จะทำสำเร็จได้ เขาปรามาสลูกคนนี้มาโดยตลอดเขาตั้งหน้าตั้งตารอให้ลูกชายซมซานกลับบ้าน แต่วันแล้ววันเล่ามันก็ไม่เกิดขึ้นสักที จนมีวันนี้จนได้ และสายตาก็พลันไปมองสามแม่ลูกที่เขารู้ดีว่าใครเป็นใคร ด้วยวิธีใช้นักสืบหาใช่เข้าไปทำความรู้จักมักจี่ แต่หาญรัชหารู้ไม่ว่าผลการสืบของเขาที่เขาเอาไปฟาดใส่หน้าภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายนั้น ซึ่งแขไขทันทีที่ทราบเรื่องถึงสาเหตุที่ลูกชายไม่ยอมกลับบ้านมาหาเธอ และผู้หญิงนิสัยอย่างแขไขมีหรือว่าจะไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย แต่เรื่องนี้คนที่รับและรู้กลับมีเพียงทับทิมกับธาราเท่านั้น ในตอนนั้นสองแม่ลูกแอบคุยกันเรื่องที่คุณแขไขก่อกวนพวกเขาตลอดสี่ปีที่ผ่านมา แม้มาไม่บ่อยแต่ก็ไม่ละพยายามที่จะมาย้ำเตือนไม่ให้พวกเขาลืมชาติกำเนิดของตัวเอง ที่พยายามจะตีตัวเสมอลูกชายอันประเสิร์ฐของเธอ “แม่ไม่เป็นไรนะครับ” “ไม่เลย เขาก็แค่มาใช้คำพูดที่ไม่น่าฟังเท่านั้น ไม่ได้ลงไม้ลงมืออะไร ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูดก็อย่าไปถือสาเลย ลูกก็ด้วยนะ และอย่าให้เรื่องนี้รู้ถึงหัสนะลูก เด็กคนนี้น่าสงสารเหลือเกิน” ธาราขานรับอย่างแข็งขันโดยที่หัสวีร์ไม่รู้หรือระแคะระคายเรื่องนี้เลยสักนิดตลอดเวลาสี่ปีที่ผ่านมา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD