บทที่ 1 ตอนที่ 2

1558 Words
การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักเป็นเรื่องที่ยากจะทำใจได้ ยิ่งเป็นเหตุกะทันหัน ก็ยิ่งไม่อาจยอมรับได้ง่ายๆ ว่ามันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ความเจ็บปวดนั้นไม่อาจบรรยายได้ด้วยคำพูดแม้จะสักกี่แสนล้านคำก็ตาม “สรวง... ผมขอโทษที่ปล่อยให้คุณอยู่คนเดียว...”   ความเศร้าเสียใจเกาะกุมจิตวิญญาณหนักหน่วง เมื่องานมงคลที่เฝ้ารอ กลับต้องมากลายเป็นงานไว้อาลัยครั้งสุดท้าย การันต์พร่ำรำพัน เฝ้าโทษตัวเองอยู่อย่างนั้น ที่ละเลย ปล่อยให้ว่าที่เจ้าสาวห่างสายตา จนทำให้เกิดเรื่องร้ายแรงที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เช่นนี้                             รัมภาดาไม่มีวันกลับมาให้เขากอดดั่งเช่นวันวานอีกแล้ว... เธอจากไป... ด้วยข้อสันนิษฐานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเกิดจากอุบัติเหตุ เพราะไม่มีหลักฐานเกี่ยวโยงในประเด็นอื่น เขาต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักในช่วงวันก่อนเข้าพิธีวิวาห์เพียงวันเดียว พร้อมกับลูกน้อยในครรภ์วัยสามเดือน โดยที่ข้อสงสัยหลายอย่างยังคาใจ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับด่วนสรุปง่ายๆ แล้วเขาจะสงบใจได้อย่างไร ชายหนุ่มไม่เชื่อเลยว่าการเสียชีวิตของรัมภาดาจะเป็นอุบัติเหตุจริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นมันคาใจเขาเหลือเกิน เริ่มตั้งแต่การที่เธอหายตัวไปจากโรงแรมโดยไม่ได้บอกกล่าวกับใครๆ ทั้งที่กำลังลองชุดอยู่กับครอบครัวและเพื่อนๆ อย่างมีความสุข ไม่มีใครรู้เสียด้วยซ้ำว่าเธอแอบขับรถออกไปจากโรงแรมตอนไหน แม้แต่ตอนที่หญิงสาวหายตัวไป ทุกคนต่างก็คิดว่าเธออยู่กับเขาในห้องพักอีกห้องหนึ่ง ประการที่สอง... รัมภาดาเสียชีวิตในเรือนหอที่ยังสร้างไม่เสร็จ เธอไปทำอะไรที่นั่น... เดิมกำหนดการแต่งงานจะถูกจัดขึ้นหลังจากเรือนหอหลังนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่หญิงสาวเกิดตั้งครรภ์เสียก่อน เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาในสังคม จึงต้องเลื่อนพิธีการให้เร็วที่สุดด้วยความเห็นชอบจากทั้งสองฝ่าย ทุกคนต่างยินดีกับวันที่ทั้งเขาและเธอเฝ้ารอมานาน หลังจากที่ได้หมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก                                                                          อีกอย่าง การที่ข้าวของบางส่วนภายในบ้าน มีการล้มระเนนระนาด มันเกิดจากอะไรกันแน่... จริงอยู่ที่รัมภาดาอาจเดินสะเปะสะปะไปชนเข้าหลังจากที่ไฟดับ แต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากการต่อสู้ขัดขืน หรือการวิ่งหนีเอาตัวรอดไม่ใช่หรือ และประการสุดท้าย... ทำไมการที่กระแสไฟฟ้าภายในบ้านเกิดช็อตจนไฟดับหมดทั้งหลัง จะต้องจำเพาะมาเกิดขึ้นในคืนนั้นด้วย “ใกล้เวลาพระสวดแล้วนะครับคุณกันต์... คุณรพีตามหาคุณอยู่นะ” สิงหา ทนายคนสนิทของครอบครัวหญิงสาวผู้ล่วงลับ เข้ามายืนใกล้ๆ ทำให้เขาได้สติและหันไปมอง อีกฝ่ายก็ยิ้มอย่างให้กำลังใจ “ผมนึกว่าคุณสิงหากลับไปแล้วเสียอีก” ร่างสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรในชุดสูทสีดำยืนขึ้น ทนายหนุ่มใหญ่ที่มีอายุมากกว่าเกือบรอบ และมีรูปร่างไล่เลี่ยกัน หลบให้เขาเดินนำหน้าไปก่อน “คืนนี้เป็นคืนสุดท้าย คงอยู่จนพระสวดเสร็จครับ เพราะพรุ่งนี้ผมติดธุระด่วน คงมาร่วมพิธีเผาไม่ได้” “คุณลุงไม่ได้บอกคุณเหรอว่าเราจะทำแค่เผาหลอก... แล้วเก็บศพสรวงไว้จนกว่าจะสืบรู้ความจริง” เขาหันไปถาม เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นไปไม่ได้ที่รพี พ่อของรัมภาดา จะไม่ได้บอกทนายอย่างสิงหา เพราะโดยปกติก็ต้องปรึกษาหารือกันทุกอย่างอยู่แล้ว “ยังไม่ได้บอกครับ คุณรพีคงลืม... ขนาดข้าวปลายังกินไม่ลงเลย ส่วนผมก็ติดงานเรื่องตามความคืบหน้าของคดีนี่แหละ ยังไม่ได้คุยอะไรกับคุณรพีเป็นงานเป็นการเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง อะไรที่พอจะทำได้ผมก็ทำ ส่วนอันไหนที่ต้องให้คุณรพีตัดสินใจก็ต้องรอไปก่อน” “นั่นสินะ...” เขาพยักหน้าแล้วเดินต่อไปยังศาลาสวดพระอภิธรรม ซึ่งบัดนี้ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงของผู้ล่วงลับต่างก็มาร่วมฟังพระสวดส่งวิญญาณครั้งสุดท้าย “ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยเหรอ เรื่องคดี...” “มืดไปหมดครับ... คงต้องใช้เวลาสักพัก เพราะหากมีคนวางแผนฆ่าคุณสรวงจริงๆ มันก็ต้องรอบคอบมาก ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรให้สาวถึงตัวได้เลย แล้วก็... คนรอบตัวก็ไม่มีเหตุจูงใจอะไรด้วย แม้แต่...” “วาปีงั้นเหรอ... แม่นั่นอยู่กับสรวงเป็นคนสุดท้าย ทั้งๆ ที่เห็นว่าสรวงขับรถออกไปจากโรงแรม เป็นคนวิ่งตามรถไป แต่กลับไม่ยอมบอกใคร ถ้าไม่มีกล้องวงจรปิดจับภาพไว้เป็นหลักฐานก็คงไม่ยอมรับ แล้วทำไมถึงไม่มีใครสงสัยอะไรบ้างเลยหรือ” พูดถึงผู้หญิงคนนี้ทีไร ใจของเขาก็ร้อนรุ่มปั่นป่วนไปหมด ผู้หญิงร้ายกาจ ขี้อิจฉา ในคราบสาวน้อยใสซื่อที่ทุกคนก็เอ็นดู สงสาร... จริงๆ แล้วเธอมันน่ารังเกียจเกินกว่าที่ใครๆ จะคาดคิด และการจากไปของรัมภาดาในครั้งนี้ เขาเชื่อเต็มร้อยว่าวาปีจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน “หนูวาวคงกลัวคุณสรวงดุ ก็เลยไม่ได้บอกใครตอนแรก พอรู้ว่า  คุณสรวงเสียแล้วก็เลยตกใจ ถึงเพิ่งจะมาบอกเอาตอนที่ถูกตำรวจสอบสวน แต่หนูวาวก็รู้แค่ว่าคุณสรวงขับรถออกจากโรงแรมไปคนเดียว” ทนายสิงหาถอนหายใจพลางกล่าว เหมือนกับที่ทุกคนรอบตัวก็ลงความเห็นเช่นนั้น                                                                                 ชายหนุ่มไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับทนายสิงหาอีก รุดไปนั่งตรงเก้าอี้ไม้แกะสลักด้านหน้าสุดสำหรับเจ้าภาพ เขาพูดคุยกับบิดามารดาของตัวเองและของหญิงสาวผู้ล่วงลับเล็กน้อย ก่อนจะนั่งมองรูปถ่ายหน้าหีบบรรจุร่างไร้วิญญาณด้วยอาการเหม่อลอยเหมือนเคย เจ็ดวันแล้ว... คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายสำหรับพิธีกรรมทางศาสนา เขายังทำใจให้ยอมรับไม่ได้เลยว่ารัมภาดาจากไปแล้วจริงๆ “คุณลุงครับ... ผมได้ขอไว้แล้วนี่ครับว่าไม่อยากให้วาวมาวุ่นวายในงาน” การันต์พูดกับรพี วงศ์รวี บิดาของคนรัก เมื่อเห็นใครบางคนที่เขาไม่อยากเห็นที่สุดในงานส่งดวงวิญญาณของคนรักคืนสุดท้าย แล้วอย่างนี้... รัมภาดาจะไปสู่สุคติได้อย่างไร ในเมื่อคนที่พยายามแทนที่เธอทุกอย่างครั้งยังมีชีวิตอยู่ ซ้ำยังมีความคลุมเครือว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเธอ มาเดินลอยชายอยู่ในงานเช่นนี้ ทั้งที่เขาเคยขอกับทางครอบครัวของหญิงสาวเอาไว้แล้วแท้ๆ “คืนนี้สวดคืนสุดท้าย... ยังไงวาวก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกับเรานะกันต์” “...” ชายหนุ่มกัดฟันกรอด ไม่แม้แต่จะมองหน้าคู่สนทนา สายตาคมกล้าละจากร่างเล็กในชุดดำที่กำลังช่วยเสิร์ฟน้ำให้แขกเหรื่อ หันไปจ้องแต่รูปถ่ายหน้าหีบศพท่ามกลางดอกไม้สีขาวที่ถูกจัดวางโดยรอบด้วยความพิถีพิถัน ใจของเขาเต้นเร่าด้วยความโกรธแค้นแทบจะลุกเป็นไฟ แต่จำต้องข่มเอาไว้ไม่ให้ปะทุออกมาในเวลานี้ นั่นก็เพราะข้อกังขาทั้งหลายของเขายังสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง แต่ไม่นานหรอก... อีกไม่นานความเจ็บปวดที่กำลังกลัดหนองอยู่ทุกขณะจิตนี้ จะต้องได้รับการปลอบประโลมอย่างสาสม วาปีเดินมาเสิร์ฟเครื่องดื่มให้แก่กลุ่มเจ้าภาพ แต่เลี่ยงที่จะเดินมาใกล้เขา... การันต์ไม่ได้ตั้งใจอยากจะมอง แต่ก็อดใจไม่ได้ หากหญิงสาวยังมาป้วนเปี้ยนอยู่อย่างนี้ เห็นทีจะได้จองศาลาต่อให้เธอเป็นรายถัดไปในไม่ช้า เขาหันมองเลขาคนสนิทที่ยืนสนทนาอยู่กับแขกคนหนึ่งในงาน เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าเป็นสัญญาณเรียก จึงตรงเข้ามาหา... อีกไม่กี่นาทีพระก็จะขึ้นสวดแล้ว ทุกอย่างในงานจะต้องปลอดโปร่ง ไร้ตำหนิ เพื่อให้ดวงวิญญาณของรัมภาดาและลูกได้สู่สุคติอย่างไม่ขุ่นข้องหมองใจ “ฉันไม่อยากเห็นเด็กนั่นเดินเอ้อระเหยอยู่ในศาลาคืนนี้... ช่วยจัดการแทนด้วย” “ครับคุณกันต์...” เลขาหนุ่มในชุดสูทสีดำรับคำ แล้วเลี่ยงเดินออกไปสมทบกับลูกน้องคนอื่นๆ ที่มาช่วยอำนวยความสะดวกในงาน หลังจากนั้น กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำก็เข้าไปล้อมหญิงสาวร่างเล็ก พูดคุย และผลักดันให้เธอออกไปพ้นจากศาลาที่ตั้งสวดพระอภิธรรมเงียบๆ ไม่ได้โจ่งแจ้งจนเป็นที่สังเกตมากนัก                                              เธอหันมองเขาด้วยแววตาเศร้าปนตัดพ้อ แต่สิ่งที่ได้ตอบกลับคือความรอยยิ้มเหยียดหยัน ไร้ความเห็นอกเห็นใจ ว่าเธอก็เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวผู้วายชนม์เช่นกัน ย่อมอยากจะอยู่ร่วมในงานไว้อาลัยคืนสุดท้ายนี้... 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD