ช่วงสายของวันถัดมา เรือยังคงแล่นไปในท้องสมุทรอันดามันท่ามกลางคลื่นลมอันเงียบสงบ ทว่าใจของคนกลับไม่สงบดังดินฟ้าอากาศ ร่างใหญ่นั่งเอนหลัง พิงเก้าอี้เหล็กดัดสไตล์ยุโรปอยู่บนชั้นดาดฟ้า บนโต๊ะด้านหน้ามีเครื่องดื่มสีอำพัน ไม่ผสมสิ่งใดแม้แต่น้ำแข็ง วางอยู่ สายตาของเขาทอดมองไกลออกไปอย่างไร้จุดหมาย
“ที่อุตส่าห์หอบหิ้วพาขึ้นเรือมาก็เพราะแบบนี้หรอกหรือครับ” หมอเชนเปิดประตูชั้นดาดฟ้า แล้วแสยะยิ้ม เดินมานั่งฝั่งตรงข้าม มองหน้าคู่สนทนาที่ดูจะไม่ยี่หระเท่าไหร่ ไม่ปรายตามองผู้มาเยือนด้วยซ้ำ “แล้วคุณจะเอายังไงต่อ เราจะเทียบท่าในอีกไม่กี่ชั่วโมงแล้วนะ”
“ก็เอาไปด้วย...” คนตอบยกแก้ววิสกี้ขึ้นดื่ม รสชาติเพียวๆ ของน้ำเมาชั้นดีทำให้เขานิ่วหน้าเล็กน้อย
“ไม่ได้นะคุณกันต์ นี่มันก็เกินเลยมามากแล้ว คุณไม่ใช่เจ้าชีวิตเธอ ถ้าเธอกับพี่ชายทำผิดจริงๆ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกฎหมายเถอะ ตอนแรกก็บอกแค่ว่าจะจับมาขู่เอาความจริง แล้วส่งตัวกลับ ผมไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ คุณถึง...” หมอเชนไม่ได้ต่อประโยคให้จบ เขาหยุดและถอนหายใจด้วยสีหน้าเครียด “คุณไม่น่าดื่มเยอะเลยนะเมื่อคืน”
“ไม่เกี่ยวกับดื่มสักหน่อย... ตอนแรกก็ว่าจะให้เป็นอย่างนั้น แต่เปลี่ยนใจแล้ว ชีวิตมันก็ต้องแลกด้วยชีวิตสิ ถึงจะถูก นายไม่ใช่คนที่สูญเสียนี่เชน นายจะไปเข้าใจอะไร”
“แล้วได้เสียกันคุ้มหรือยังครับ” อีกฝ่ายประชดประชัน
ด้วยความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องจากมหาลัยเดียวกันมาก่อน ทำให้ทั้งคู่มีความสนิทสนมเกินกว่าเจ้านายและลูกน้อง ชายหนุ่มถึงกล้าต่อปากต่อคำ หากเป็นคนอื่น และการันต์อยู่ในห้วงอารมณ์แบบนี้ พูดไม่เข้าหูแม้แต่คำเดียวก็มีสิทธิ์ถูกโยนลงไปว่ายน้ำเล่นในทะเลแล้ว
“ยังหรอก ถึงอยากให้นายพาไปเช็กร่างกายให้ละเอียดว่าแม่นั่นจะท้องได้ไหม”
“หือ... น่าจะให้เช็กก่อนลงมือไม่ใช่เหรอ”
“ฉันอยากได้ลูกฉันคืน... ถ้าวาปีมีลูกให้ฉันได้ บางทีฉันอาจจะยอมปล่อยเธอกับพี่ชายไปก็ได้”
“อาจจะ... คุณทำขนาดนี้ยังมีคำว่าอาจจะอีกเหรอครับ” คุณหมอหนุ่มส่ายหน้า ราวกับไม่อยากรับรู้เรื่องราวเหล่านี้เลยสักนิด
“ฉันไม่ใช่คนเริ่มนะเชน... แล้วกฎหมายมันก็ช่วยเยียวยาอะไรให้ฉันไม่ได้ด้วย อย่างมากก็จับเข้าคุก ถ้ามีหลักฐานว่าทำผิดจริง ไม่นานพวกมันก็กลับออกมาได้แล้ว แล้วมันคุ้มไหมที่ฉันต้องเสียทั้งสรวงแล้วก็ลูก เอาชีวิตพวกเธอคืนมาให้ฉันได้หรือเปล่า” น้ำเสียงของการันต์หนักแน่น แววตาดุดัน เกรี้ยวกราด ยามเมื่อเอ่ยถึงบาดแผลในใจ เขายกแก้ววิสกี้ กระดกน้ำเมาจนหมดในคราเดียว แล้วขว้างแก้วทิ้งอย่างไม่ไยดี เพื่อระบายความโกรธแค้นที่ยังคั่งค้างอยู่ในตัว มือของเขายังคงกำแน่นวางอยู่บนต้นขาของตัวเอง “แต่จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้มีหลักฐานมัดตัวว่านายพอลอะไรนั่นเป็นคนทำจริงๆ เสียหน่อย เกิดคดีพลิกขึ้นมา คุณจะชดเชยให้เด็กวาปีได้ยังไง ผมรู้ว่าคุณเสียใจ แต่ก็อยากให้คุณใช้สติในการตัดสินใจให้มากกว่านี้ ชีวิตคุณสรวงกับลูกคุณมีค่า ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตคนอื่นจะไร้ค่านะครับ ถึงเธอจะกำพร้า แต่ก็ยังต้องไปเรียนหนังสือ ต้องทำงาน คุณเก็บเธอไว้ทำลูกโดยไม่สนใจความรู้สึกของเธอไม่ได้ ผมไม่เล่นด้วยนะ มันผิดกฎหมาย”
“นายคิดว่าฉันโง่เหรอเชน ถ้าแค่คิดว่าใครสักคนเกี่ยวข้อง แล้วจับตัวมาง่ายๆ เหมือนหมูเหมือนหมา ฉันคงทำไปนานแล้ว ไม่ต้องรอให้มีหลักฐาน ไม่ต้องรอให้คนออกตามสืบตามค้นจนแน่ใจ ถึงได้ลงมือตอนนี้หรอก”
“...”
หมอเชนได้แต่ถอนหายใจกับความมุ่งมั่นที่จะเอาคืนของนายจ้าง การันต์เหมือนไฟที่กำลังลุกโหม ไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางความตั้งใจของเขาได้ ยิ่งหาทางลดทอนให้เบาบาง กลับเหมือนเติมเชื้อให้ไฟกองนั้นลุกลามยิ่งขึ้น
“ส่วนนาย... ไม่ต้องพยายามเปลี่ยนความตั้งใจของฉันเลยเชน ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็นก็อยู่เฉยๆ ซะ”
“ผมหวังดีกับคุณนะ แค่อยากให้ทุกอย่างมันถูกต้อง”
“แบบนี้... มันก็ถูกต้องอยู่แล้วนี่...”
วาปีตื่นขึ้นมาในช่วงสายๆ เพียงลำพัง ตามเนื้อตามตัวปวดร้าวไปหมด ร้อนๆ หนาวๆ เหมือนจะจับไข้ แต่ก็ยังฝืนพยุงร่างเปลือยเปล่าเข้าห้องน้ำ เพื่อจะได้ทำความสะอาดร่างกาย
เธออยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงฝันร้าย แต่คงเป็นไปไม่ได้ ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนรับฟังเธอ ปาฏิหาริย์ไม่ได้มีอยู่จริงบนโลกโสมมใบนี้ และเธอจำต้องยอมรับความเป็นจริง แม้จะต้องทุกข์สาหัสเพียงไหนก็ตาม
มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเธอจะเสียใจกับสิ่งที่ถูกกระทำ แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลลงมาสักหยด เพราะความเจ็บแค้นจนจุกสุมอยู่ในอก ร้าวรานอยู่ในนั้น และการร้องไห้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด ต่อให้ร่ำร้องจนน้ำตาเป็นสายเลือดท่วมเท่าผืนทะเลที่เรือกำลังแล่นอยู่นี้ มันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
หากต้องการให้ทุกอย่างจบสิ้น คงมีทางออกเดียว คือเธอต้องจบชีวิตของตัวเองเสีย ซึ่งหากเหตุการณ์อันเลวร้ายนี้เกิดขึ้นก่อนที่จะพบกับโพธิ์ทอง มันก็ไม่แน่ว่าเธออยากหลุดพ้นจริงๆ แต่เมื่อได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ จากพี่ชายแล้ว เธอกลับต้องอดทนให้มีชีวิตอยู่ เพื่อบิดาและมารดาที่จากไป...
เมื่อเธอออกจากห้องน้ำ ปรากฏว่ามีเสื้อผ้าชุดใหม่ รวมถึงชุดชั้นในด้วย และมีอาหารง่ายๆ สองสามอย่างพร้อมน้ำดื่มวางไว้ให้แล้ว
วาปีไม่ได้สนใจอาหารเหล่านั้น เพราะไม่รู้สึกหิวแม้แต่น้อย เธอจัดการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วซุกกายนอนซมอยู่บนเตียงดังเดิม แม้พยายามฝืนให้เข้มแข็งเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ได้พบเจอนั้นก็สาหัสและสดใหม่เกินไปสำหรับเธอ
อาการเจ็บร้าวยังกัดกินทุกตารางนิ้ว บางครั้งร้อนผ่าว วูบวาบไปทั้งตัว ซ้ำยังปวดศีรษะจนแทบระเบิด ความรู้สึกเริ่มเบลอ มีอาการคลื่นเ**ยนทั้งที่เรือก็ไม่ได้โยกโคลงรุนแรงแต่อย่างใด เพราะเป็นเรือลำใหญ่มหึมา หากไม่ออกไปข้างนอก ก็แทบไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวด้วยซ้ำ
“คุณพ่อ คุณแม่... พี่โพธิ์...” น้ำเสียงแหบพร่าเบาหวิว เพรียกหาบุคคลที่เป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ
แม้ไม่เคยได้สัมผัสไออุ่นจากครอบครัวเลยสักครั้งตั้งแต่จำความได้ แต่เธอก็เชื่อมั่นในความผูกพันเสมอ ทุกครั้งที่ความรู้สึกดำดิ่งเดียวดาย
การได้คิดถึงพวกเขาคือสิ่งเดียวที่คอยเติมเต็มกำลังใจ แล้วเธอจะฟื้นฟูตัวเองเพื่อต่อสู้กับวันใหม่ได้เสมอ หวังว่าครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้มันจะเป็นเรื่องสาหัสกว่าที่ผ่านมาก็ตาม
ความอ่อนเพลียเริ่มแทรกซึมไปทั่วร่าง ทั้งยังหนาวสั่นจนต้องห่อตัวอยู่ใต้ผ้านวมผืนหนา สติเริ่มเลือนรางคล้ายกึ่งหลับกึ่งตื่น ลำคอแห้งผาก แม้แต่จะกลืนน้ำลาย บางครั้งก็ยังเจ็บปวดจนไม่อาจฝืน เหมือนจะตาย... ร่างกายมันเบาหวิวพิกล...