เมื่อการลงทัณฑ์สิ้นสุด ร่างแบบบางของเด็กสาวถูกประคองมาส่งในลักษณะหิ้วปีกมาถึงตำหนักท้ายสุดของพระราชวัง ที่ซึ่งมีพระสนมปลายแถวซึ่งยังไม่มีทายาทให้ชีคอับดุลรอชีด และธิดากำพร้าที่มารดาเสียชีวิตไปแล้วอีกหลายคน รวมถึงมัยมูนะห์พำนักรวมกันในตำหนักแออัดแห่งนี้ แม้ตำหนักต่างๆ ในเขตชั้นในจะมีมากมาย แต่ส่วนใหญ่พระสนมที่เป็นคนโปรดและมีธิดาให้ชีคผู้ครองรัฐแล้วเท่านั้น ที่จะได้แยกย้ายมีสิทธิครอบครองตำหนักที่ทรงประทานให้เป็นส่วนตัว
ตอนที่แม่เธอยังอยู่ มัยมูนะห์จะตั้งคำถามเสมอ...ก็แม่มีลูกให้เสด็จพ่อ ไยไม่ประทานตำหนักให้เป็นสัดส่วนเล่า...แต่สิ่งที่ได้กลับมาแทนคำตอบคือน้ำตาของผู้เป็นแม่เสียทุกครั้ง เช่นนั้นมัยมูนะห์จึงเลิกถาม ทนอุดอู้อยู่ในตำหนัก ทว่าใช่จะคับแคบด้วยสถานที่ แต่มันคับแค้นในหัวใจ สนมและนางบำเรอของเสด็จพ่อคนอื่นๆ มักใช้งานแม่เธอเยี่ยงทาส จะไม่ทำตามพวกนางก็ไปทูลฟ้องมเหสีเอก กล่าวหาว่ากระด้างกระเดื่อง ลืมกำพืดทาสใช้แรงงานจากเผ่ามาร์ซัคดินแดนแห้งแล้งในทะเลทราย แม่ก็จะถูกลงทัณฑ์โดยไม่มีการไต่สวน การไม่ปริปากพูดอันใด ก้มหน้าทำงานตามคำสั่งจึงเป็นหนทางให้อยู่ในตำหนักอย่างง่ายที่สุด แม้จะเพิ่มระดับความแค้นผูกพยาบาทลงในจิตใจมัยมูนะห์ขึ้นเรื่อยๆ ก็ตามที
ห้องส่วนตัวอันเป็นเสมือนปราการด่านสุดท้าย ที่ปกป้องยามพำนักในพระราชวังกว้างใหญ่ของชายที่ได้ชื่อว่าพ่อ จึงเป็นที่ซึ่งมัยมูนะห์รู้สึกเป็นอิสระที่สุด แม้จะเป็นห้องสี่เหลี่ยมไม่กว้างใหญ่นัก แต่เธอไม่จำเป็นต้องทำตัวลีบเหมือนตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่น หลังนางทาสร่างยักษ์ผิวดำหิ้วปีกมัยมูนะห์มาวางบนตั่งในห้องแล้วออกไปพร้อมปิดประตู มัยมูนะห์ก็พาร่างบอบช้ำกระเสือกกระสนตามไปลงกลอนแน่นหนา เดินไปที่เครื่องเล่นแผ่นเสียงเก่าๆ ที่ได้มาจากกองขยะ เมื่อธิดาซึ่งมีมารดาดูแลของชีคอับดุลรอชีดให้หญิงรับใช้นำไปทิ้ง เธอเปิดเสียงเพลงเสียดังแล้วร่ำไห้ออกมาอย่างสุดกลั้นกับความเจ็บปวดจวนเจียนจะขาดใจ ร่างบางสะอื้นตัวโยนบนที่นอนนุ่ม เจ็บตัวหรือจะเทียบเท่าเจ็บใจ ดวงตาสีดำแดงช้ำทว่าแววอาฆาตรุนแรง
ใจร้าย พวกแกใจร้ายกับข้าก่อน ข้าจะเอาคืนให้สาสม
เสียงเคาะประตูทำให้มัยมูนะห์หลุดจากบ่วงอาฆาตชั่วขณะ ปาดน้ำตาทิ้งแล้วพยายามลุกเดินอย่างช้าๆ เพื่อความมั่นคงไปที่บานประตู
“มีอะไร”
“บ่าวนำยามาทาให้ เปิดหน่อย” เสียงทาสรับใช้ในตำหนักซึ่งคุ้นเคยกับมัยมูนะห์ดี
เมื่อมัยมูนะห์เปิดประตู ซัยตูนนางทาสผิวคล้ำตาโปน ผมหยิกหย็อง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอก็ผลุนผลันเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลงกลอน เพราะกลัวใครจะมาเห็นเข้า ในมือนางทาสมีชามอ่างใบเล็ก ข้างในมีตัวยาสมุนไพรที่ผสมมาเรียบร้อยแล้วสำหรับใส่แผลสด
“ใครบอกเจ้าละ ซัยตูน” มัยมูนะห์ถามขึ้นเมื่อเปลื้องผ้านอนคว่ำให้นางทาสวัยเดียวกันทายาให้ ทุกครั้งที่ยาทาและซึมลงผิว เด็กสาวแทบจะกรีดร้องด้วยความเจ็บแสบ มือเล็กกำมุมของหมอนที่หนุนจนแน่น ในตอนแส้กินเนื้อเจ็บปวดเท่าใด ตอนทายาสมานแผลยิ่งเจ็บแสบกว่าร้อยพันเท่า ทว่าต้องอดทนเพราะนางทาสกำลังพร่ำบอกว่า
“บ่าวเห็นตอนพวกนางยักษ์มันหิ้วปีกคุณมา ทนหน่อยนะเจ้าคะจะได้ไม่เป็นแผลเป็น ดูเถิดหลังนวลเนียนของคุณแตกยับ ทำไมช่างใจร้ายกันเสียจริง แล้วไหนจะรอยนิ้วบนแก้มนั่นอีก ฟันโยกไหมเจ้าคะ” มือคล้ำจุ่มยาป้ายลงไปอย่างเบามือ รับรู้ว่านายหญิงน้อยนั้นเจ็บแสบเพียงใด คนที่นอนคว่ำได้แต่ส่ายหน้าไม่พูดอันใด
ทั่วทั้งตำหนักหรือแม้กระทั่งทั่วทั้งวังอันกว้างใหญ่ คงมีแต่ซัยตูนกระมังที่เห็นเธอเป็นนายเทียบเท่ากับเจ้านายองค์อื่นๆ ไม่ข่มเหงรังแกหรือร่วมวงโขกสับกับพวกขี้ข้ามีนายทั้งหลาย น้ำตาของมัยมูนะห์เริ่มซึมไหลอาบหมอน ทว่าไม่ใช่ด้วยความเจ็บปวดบาดแผล แต่เป็นความตื้นตันในน้ำใจของทาสรับใช้อย่างซัยตูน ชุดคลุมตัวใหม่นำมาคลุมลงบนร่างเปล่าเปลือยที่ยังนอนคว่ำอยู่บนที่นอนหลังทายาจนเสร็จ นางทาสสาวน้อยบอกกล่าวเบาๆ
“พรุ่งนี้บ่าวจะมาทายาให้อีก ตอนนี้คุณจะนอนพักหรือจะรับประทานอาหารเจ้าคะ บ่าวจะได้นำสำรับมาให้”
“กินไม่ลง ขอบใจนะ รีบออกไปเถิด”
เมื่อซัยตูนออกไป มัยมูนะห์รีบลงกลอนประตู โลกส่วนตัวเธอกลับมาอีกครั้ง หญิงสาวเปลื้องผ้าจนหมดทุกชิ้น แล้วเดินไปส่องดูร่องรอยจากกระจกบานใหญ่ของตู้เสื้อผ้า รอยแส้ที่ทาทับด้วยยาสีคล้ำข้นคลั่กพาดผ่านจนหาเนื้อขาวนวลของแผ่นหลังแทบไม่เจอ กินเนื้อที่แผ่นหลังลงไปถึงช่วงสะโพกบน ทั้งแก้มก็ยังมีรอยนิ้วและกำลังบวมเป่ง ริมฝีปากด้านในแตกและห้อเลือด ดวงตาที่มองสบกันในกระจกของเงาตนเองค่อยๆ แข็งกร้าวขึ้น ความเจ็บช้ำไม่เหลือในดวงตา แววริษยาอาฆาตนั้นครอบครองเสียเต็มดวง
ข้าเจ็บเพียงนี้ แต่พวกเจ้าจะต้องเจ็บเป็นร้อยเท่า แม่ข้าต้องตายอย่างทุกข์ทรมานใจ เจ้าจะต้องตายตกไปตามกัน
เสียงสวดภาษาอารบิคดังแว่วผ่านเครื่องขยายเสียงมาจากมัสยิดกลาง ประสานกับเสียงสวดในห้องละหมาดของพระราชวังในเวลาแรกของวันก่อนทินกรจะร่ายแสง ในห้องละหมาดของตำหนักท้ายวัง ไม่มีใครคาดคิดว่ามัยมูนะห์จะมาเข้าร่วมละหมาดเช่นทุกวัน เพราะต่างรู้ดีว่าเมื่อวานเด็กสาวถูกอะไรมา แต่หารู้ไม่ว่า เมื่อซัยตูนนางทาสวัยรุ่นประคองมัยมูนะห์เข้ามาถึงหน้าห้อง มัยมูนะห์ก็แสดงความเข้มแข็งด้วยการเดินเข้ามาเองโดยไม่ให้ซัยตูนประคอง แม้จะเจ็บระบมจนแข้งขาภายใต้ชุดยาวแบบอาหรับโบราณอาจไร้เรี่ยวแรง ถ้าไม่มีแรงฮึดจากสายตาเหยียดหยามที่คอยจับตามอง สายตาที่เด็กสาวกวาดมองไปทั่วห้องนั้นว่างเปล่า วางเฉย เหมือนไม่สนใจสายตาคู่ใด ด้วยมุ่งมั่นมาสวดมนต์เท่านั้น
เมื่อการละหมาดครั้งแรกของวันสิ้นสุด ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน ธิดาสาวกำพร้าของชีคอับดุลรอชีดคนหนึ่งก็เข้ามาถามไถ่อาการ แต่ส่งสายตาเยาะเย้ยอยู่ในที จนซัยตูนนั้นแทบจะทนไม่ไหว อยากตอบโต้กลับแต่มัยมูนะห์ปรามด้วยสายตา
“ยังอุตส่าห์ลุกมาอีกนะ มัยมูนะห์ ลองเป็นฉันทั้งถูกตบปากจนหน้าบวมเป่ง ทั้งถูกเฆี่ยนเสียหลังลายคงลุกไม่ขึ้นแน่ เจ้านี่ทนกว่าอูฐเสียอีก”
ไม่มีคำออกจากปากบวมเจ่อของคนถูกกระทบ มีเพียงรอยยิ้มบางเบาที่คนเห็นเองก็ไม่อาจแยกแยะได้ว่ามัยมูนะห์ยิ้มทำไม
“คุณน่าจะให้บ่าวสั่งสอน ท่าทางแบบนั้นเขาไม่เรียกถามไถ่ด้วยความห่วงใยแล้ว ทำไมถึงยอมอยู่ร่ำไปเจ้าคะ” ซัยตูนอดปากไว้ไม่อยู่ ถามขึ้นทันทีที่พามัยมูนะห์กลับมาถึงห้องพัก และเช่นกันไม่มีคำพูดใดๆ ตอบกลับมา มัยมูนะห์ได้แต่ตอบและย้ำเตือนตัวเองว่า
อดทน อดทนเอาไว้ มัยมูนะห์