นิทาน
“น่าอัศจรรย์ใจนัก แผลของศิษย์น้องสมานตัวเร็วมาก อีกไม่กี่วันก็คงจะหายดีแล้ว…” ศิษย์พี่เยว่ฉานกล่าวเสียงหวานละมุนชวนฟัง
หลังจากตรวจอาการของหลินซีจนเสร็จเรียบร้อย หลิงมู่กับเซวียนเจิ้นก็เดินเข้ามาโวยวายใส่หลินฮวาเสียยกใหญ่
บรรยากาศภายในห้องดูวุ่นวายขึ้นมา…ทว่าก็ครื้นเครงในเวลาเดียวกัน
จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาต…” หลินเยว่เดินเข้ามาพร้อมกับผู้อาวุโสฝ่ายนอกสองคนของสำนักศึกษาหลวงซ่างกู่
“ต้องไปแล้วหรือ?…” หลินฮวามีสีหน้าหม่นหมอง รอยยิ้มของนางดูเศร้าโศกอย่างมาก
หลินเยว่พยักหน้าให้ผู้อาวุโสทั้งสองเป็นเชิงว่าให้พาตัวหลินฮวาไป หลังจากหลินฮวาออกจากห้องไปหลิงมู่และเซวียนเจิ้นกล่าวลาเยว่ฉานและหลินซี และเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าตึงเครียด
“เอาไว้เจอกันใหม่นะ…เสี่ยวซี” หลินฮวาหันมากล่าวพร้อมส่งยิ้มให้หลินซี ก่อนที่จะถูกพาตัวออกไปจากห้องโดยผู้อาวุโสจากตำหนักคุมกฏ
หลินซีมองกลุ่มคนที่เดินออกไปจากห้องด้วยแววตาฉงนพลางครุ่นคิดในใจว่า คงถูกเรียกไปสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระมัง? ทว่ากลับมีบางอย่างที่ตัวนางรู้สึกตะหงิดใจแปลกๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้
“ศิษย์น้องหลินเยว่… ศิษย์น้องหลินฮวาจะเป็นอะไรหรือไม่?” เยว่ฉานเอ่ยถามถึงศิษย์น้องคนสนิทอย่างหลินฮวาด้วยความเป็นห่วง
“แม้ข้าจะเป็นผู้ช่วยผู้อาวุโสตำนักคุมกฏ ข้าก็มิอาจทราบเกี่ยวกับบทลงโทษ มันชึ้นอยู่กับการไตร่สวนของตำหนักคุมกฏ…” หลินเยว่กล่าวตอบ จากพลันถามลับไป “ศิษย์พี่เยว่ฉาน ให้ข้าคุยกับหลินซีสองคนได้หรือไม่?”
“ย่อมได้อยู่แล้ว… อย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน” เยว่ฉานโบกไม้โบกมือลา จากนั้นจึงเดินออกจากห้องไป
หลินเยว่ที่เห็นหลินซีกำลังนั่งเอามือเท้าคางคล้ายกำลังใช้ความคิด นางก็เดินไปหยิบเก้าอี้มานั่งตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยปากถามออกไป
“น้องเล็กคิดอย่างไรกับพี่รอง…” หลินเยว่กล่าวถามออกไป
“เอ๊ะ…” หลินซีหลุดออกจากห้วงภวังค์ความคิดพลันส่งเสียงร้องตกใจ หลังจากเห็นหลินเยว่จับจ้องมาที่ใบหน้าของนางอย่างขมักเขม้น
“พี่ถามว่า...น้องเล็กคิดอย่างไรกับพี่รอง” หลินเยว่ทวนคำถาม
“ท่านพี่ฮวาก็มิใช่คนนิสัยเลวร้ายอะไร เรื่องที่เกิดขึ้นนี้…น้องมั่นใจว่าท่านพี่ฮวาไม่ได้ตั้งใจ…” หลินซีกล่าวสิ่งที่นางคิดเอาไว้ให้หลินเยว่ได้รับฟัง
นางจำได้อย่างแม่นยำว่าเป็นตัวนางที่กักขังมู่มู่เอาไว้ในโลกแดนมาร ด้วยวิชาผนึกมหาลัญจกร ซึ่งคนที่สามารถคลายการกักขังและปลดปล่อยมู่มู่ออกมาได้ มีเพียงแค่ตัวนางเพียงผู้เดียว ทว่าก็มีอีกวิธีหนึ่งที่ถูกเรียกว่าเป็นวิชาสายมืด วิชามหาอนธการ สุดยอดวิชาด้านการผนึกและการคลายผนึก
วิชานี้มหาอนธการเป็นวิชาที่ชั่วร้ายอย่างมาก ยิ่งผู้ใช้วิชาผนึกนี้ใช้เลือดของสาวพรหมจรรย์เป็นเครื่องสังเวย วิชาก็จะยิ่งแข็งแกร่งเป็นทวีคูณ
โดยปกติแล้ว…ผู้ที่ใช้วิชามหาอนธการมักจะเป็นจอมยุทธ์สายมืด ที่ชอบเช่นฆ่าคนบริสุทธิ์หรือกระทั่งข่มขืนสาวพรหมจรรย์เพื่อเอาเลือดไปสังเวยวิชายุทธ์ด้านมืด
หลินเยว่ที่ได้ยินคำพูดของหลินซี ใบหน้าของนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ฉับพลันก็ขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ยถาม “น้องเล็กคิดว่ามันแปลกเกินไปหรือเปล่า?”
“...พี่รองไม่น่าจะสามารถใช้วิชาที่ทรงพลังอะไรแบบนัันได้…”
ฮื้ม…ดูเหมือนหลินเยว่จะคิดเช่นเดียวกัน
“ทำไมท่านพี่จึงคิดเช่นนั้น?” หลินซีเอ่ยถามกลับไปด้วยท่าทีที่ดูสนใจ
“การอัญเชิญมารอสูรที่โดนผนึก จำเป็นที่จะต้องให้คนที่ผนึกมารอสูรตนนัันเป็นคนปลดผนึก พี่รองไม่สามารถปลดผนึกเองได้…นอกเสียจากจะใช้วิชายุทธ์สายมืด”
หลินซีมีสีหน้าตกใจ ดวงตากลมโตสีทองเงางามเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาเป็นปกติดั่งเดิม
หลินเยว่รู้เกี่ยวกับวิชายุทธ์สายมืดด้วย? แสดงว่าโลกใบนี้ก็มีอวิชายุทธ์สายมืดอยู่ด้วยเหมือนกัน
“ท่านพี่…ทราบเรื่องนี้มาจากที่ใดเจ้าคะ?”
“หนังสือของฮูหยินไป่ยวี่….” หลินเยว่ยื่นตำราในมือมาให้ดู ตำราเล่มนั้นดูเก่าแก่คร่ำครึเป็นอย่างมากประหนึ่งเป็นตำราโบราณอย่างไรอย่างนั้น
“ทำไมท่านพี่จึงมีตำราของท่านแม่ได้ล่ะ?…” หลินซีเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าสงสัย
ครอบครัวของฮูหยินเซวียนปิงปิงไม่ชอบท่านแม่มิใช่หรือ?
“ฮูหยินไป่ยวี่มอบให้มาก่อนจะเสียไป ข้าก็ไม่ได้ถามว่าทําไมเสียด้วย…”
หลินเยว่มักจะคอยเฝ้ามองหลินซีอยู่ห่างๆ ไม่ได้ปกป้องและก็ไม่ได้รังแกอะไร แต่มาคราวนี้เพิ่งมาพูดกันยาวๆ แบบนี้เป็นครั้งแรก
ทำไมท่านแม่จึงมอบหนังสือสำคัญเช่นนั้นให้หลินเยว่?
หลินเยว่มองสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาเล็กน้อยของหลินซี ก่อนจะถามคำถามหนึ่งขึ้นมา
“หลินซี...ข้ามีคำถาม” ประโยคถัดมาของหลินเยว่ ทำให้หลินซีเผยรอยยิ้มเจื่อนๆ ใบหน้างามสะคราญประดับสีหน้าอ้ำอึ้งและตกใจเล็กน้อย
“เจ้าเป็นใครกัน?”
“ไยจึงถามเช่นนั้นเล่า? ท่านพี่…” หลินซีถามกลับด้วยสีหน้าและแววตาเรียบเฉยดั่งเช่นปกติ ไม่มีอาการลุกลี้ลุกลนให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัย
“เจ้า...เปลี่ยนไปหลังจากการป่วยครั้งนั้น มันเหมือนกับไม่ใช่ตัวของเจ้าเลย…” หลินเยว่กล่าวพลางพร้อมจดบันทึกอะไรบางอย่างในสมุดไปพลาง
หลินซีหรี่ตามองพลันส่งยิ้มตอบกลับเล็กน้อย
“มิใช่ว่าไม่เชื่อว่าเจ้าคือน้องสาวหรอกนะ แต่ว่ามันมีบางอย่างที่แปลกไปสำหรับตัวเจ้า เหมือนกับว่าเป็นใครอีกคนที่มาอาศัยในตัวของเจ้าเลย”
หลินซีถอนหายใจเฮือกหนึ่งพลางครุ่นคิดอยู่ในใจ นางเป็นคนช่างสังเกตนัก ทั้งเฉลียวฉลาดและรอบรู้ น่าสนใจ…น่าสนใจยิ่งนัก
หลินซีคิดหาคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะฝืนร่างกายลุกขึ้นจากเตียง เดินไปที่โต๊ะซึ่งอยู่ไม่ไกล
หลินเยว่ทอดสายตามองตามร่างบางอรชร บาดเจ็บหนักถึงขนาดนั้น…ทำไมยังเดินได้คล่องแคล่วนัก แม้ศิษย์พี่เยว่ฉานจะใช้พลังรักษาให้ก็ตามที ทว่าโดยปกติจะต้องพักอีกประมาณ 2- 3 วัน จึงจะหายเป็นปกติ แต่นี่เหมือนกลับนางไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียอย่างนั้น นับวันตัวนางก็ยิ่งสงสัยในตัวของน้องสาวคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
หลินซีหยิบแก้วใบหนึ่งบนโต๊ะ จากนั้นค่อยๆ รินน้ำชาอย่างช้าๆ ด้วยรอยยิ้มที่แฝงนัยยะบางอย่าง เสียงรินน้ำชาทำให้ห้องที่สงบเงียบเกิดเสียงดังเล็กน้อย
หลินซีไม่ได้ตอบคำถามของหลินเยว่ ใบหน้างามสะคราญหันกลับมามองพี่สาวคนรองด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม น้ำเสียงหวานละมุนชวนฟังเปล่งวาจากล่าวคำถามออกมา
“ท่านพี่อยากฟังนิทานแต่งของน้องสักหน่อยหรือไม่?”
หลินเยว่ขมวดคิ้วมุ่นพลางตอบกลับไป “มันเกี่ยวกับคำถามของข้าหรือไม่?…”
จะบ่ายเบี่ยงไม่ตอบคําถามหรืออย่างไรกัน?
“ไม่เชิงหรอกเจ้าค่ะ แค่อยากเล่านิทานให้ท่านพี่ฟัง น้องไม่ค่อยได้คุยกับท่านพี่เท่าไหร่นัก…เลยอยากจะหาอะไรยาวๆ คุยด้วยเสียหน่อย…” หลินซีหยิบแก้วที่พึ่งรินน้ำชาเสร็จขึ้นมา จากนั้นก็ยื่นให้หลินเยว่ด้วยรอยยิ้ม ครู่ต่อมาก็หยิบแก้วของตนขึ้นมาพร้อมกับนั่งลงไปที่เก้าอี้