คนจนจบไม่ถึงชั้นประถมสี่ ข้าวสารกรอกหม้อ กระท่อม กระต๊อบหลังเล็ก ยังอดทนกัดฟันต่อสู้อย่างมีความสุข อดก็อดด้วยกัน อิ่มก็อิ่มด้วยกัน
จึงได้ขึ้นชื่อว่า ร่วมทุกข์ร่วมสุข ยกตัวอย่างกันง่ายๆให้เห็นกัน
แบบนี้เรียกว่า บางคนสุดโต่ง ทางด่านความคิด และการปฏิบัติตัว บางคนจมไม่ลง เท้าไม่เคยติดดิน เคยอยู่แต่ที่สูงๆ พอตัวเองตกต่ำเข้า ก็ไม่สามารถรับสิ่งเหล่านี้ได้
นี่แหละ ทุกสิ่งอยู่ที่จิตใจ ทุกข์สุขก็รวมอยู่ที่จิตใจ จิตใจเปราะบางนัก เสพแต่วิชาการเรื่องเครียด ในสมองปราศจากธรรม ปราศจากศีล
จิตใจก็ไขว้เขววอกแวก หลงแต่อำนาจความสุขของวัตถุเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายสังคม เพื่อนฝูง
สิ่งเหล่านี้พระท่านบอกว่า มันเป็นสิ่งจอมปลอม แต่สิ่งเหล่านี้ทุกคนมองไม่เห็นภัย วัตถุเคลือบเอาไว้ด้วยสวยงาม
กิเลสสำหรับกายหยาบของมนุษย์จึงเห็นว่ามันสวยงามเสมอ
เพราะไม่ได้ขจัดขัดเกลากิเลสของตนเองจึงมารู้ว่า หนทางแห่งความสุขเป็นอย่างไร ก็คือ การขจัดละกิเลส แล้วอยู่ในโลกใบนี้ด้วยการยึดทางสายกลาง
หลักของพระพุทธเจ้าง่ายๆเช่นนี้เองพุกิมสอนใครไม่ได้ อย่าว่าแต่อะไรเลย เรื่องนี้ คนเราต้องสอนตัวเอง
คนในยุคนี้กิเลสหนาความหยาบช้าบาปยังไม่นึกแคร์สนใจ จะเอาอะไรไปสอนกับคนประเภทเยี่ยงนี้
ฉะนั้นคนที่รู้ก็รู้เฉพาะตนเอง รู้แล้วปฏิบัติ ปฏิบัติเพียงตนเอง
จะมาแนะนำคนอื่น ก็รู้อยู่ว่า คนในสมัยนี้ไม่ใส่ใจ เดี๋ยวก็หาว่าบ้า ค่อนขอดนินทา จะกลายเป็นบาปเป็นกรรมกับบุคคลเหล่านั้นเปล่า หากไปโกรธเคืองเขา
ทุกวันนี้คนเราไม่ได้อยู่ด้วยการถ้อยที ถ้อยอาศัยกันแล้ว เอะอะก็โวยวาย ใช้อำนาจ ใช้ศาลฟ้องร้อง เรียกร้องค่าเสียหายกัน วุ่นวายไม่รู้จบ เพื่ออวดอำนาจความร่ำรวยที่ไร้แก่นสาร
โลกงดงามใบนี้ไม่ถอยกลับไปเหมือนยังในอดีต เมื่อสี่สิบปีสามสิบปีที่ผ่านมา สมัยนั้นโลกธาตุทั้งหมดถือว่ายังบริสุทธิ์
มนุษย์ยังไม่ได้สะสม เพิ่มบาป เพิ่มความขุ่นมัวให้ตนเองมากมาย
สิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถเข้าใจได้ว่า มันเป้นภาพลวงตา ยิ่งต่อไปความเจริญรุกล้ำเข้ามาอีก กิเลสสวยงามถูกห่อเคลือบคลุมไว้อย่างดี เป็นอาหารที่คนทั่วไปเรียกว่าโอชะโอชา ไปกับเปลือกของวัตถุ การแต่งกาย รูปทรงอาคารหรู ด้านแฟชั่น
เรียกว่า กิเลส อำพรางสายตา คนก็หลงมัวเมา เพราะว่าความเสื่อมถอยของคนในศาสนายิ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
ไปถึงกาลแตกดับ เพราะโลกใบนี้จะต้องถูกทำลาย ดังนั้นความมัวเมาในด้านต่างๆจึงระดมเร่งทันที เพื่อล้างผลาญมนุษย์ ฆ่ากันเองโดยที่ไม่รู้ โดยไม่ตั้งใจ แค่การที่มนุษย์ฆ่ากันเองจะด้วยทางกายทางคำพูดนั่นเองก็ได้ขึ้นชื่อว่า กลียุค
เพราะเป็นยุคที่มนุษย์ทำสงครามประหัตประหารทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเอง ซึ่งต่อไปในภายภายหน้า กลียุคในช่วงสุดท้าย ในอนาคตยาวไกล ความเสื่อมต่ำจะมีเพิ่มมากกว่าเดิม
จนขนาดว่า แผ่นดินลุกเป็นไฟ โชนด้วยไฟบรรลัยกัลป์ มนุษย์จับอะไรก็ถือคิดว่าเป็นเหมือนมีดหอกศัตราวุธ พอได้มาแล้วก็ฆ่าแทงกันตาย เพราะกลัวเขามาเอาชีวิตของตัวเอง
นั่นเพราะความไม่รู้ บาปบุญไม่ได้เกิดในจิตใจ แต่นั่นคือ ตกอยู่ในราวยุคที่ศาสนาเสื่อมแล้ว วัดไม่มี ห้าพันปีจึงครบอายุศาสนา
จะอย่างไรก็ดี พุกิมภูมิใจกับเงินก้อนแรก หลังจากที่บากบั่นทำงานด้วยเรียนไปด้วยจนจบ
แต่งานเหล่านั้นก็ชั่วคราว พาร์ทไทม์ ไม่ได้เป็นหลักถาวรอย่างนี้ บริษัทของศุกุลยา ที่มีบิดาเป็นเจ้าของค่อนข้างใหญ่โต
ศุกุลยามีน้ำใจแบ่งปันต่อเขา เป็นคนรวยที่ไม่เย่อหยิ่ง ไม่ดูถูกคนที่ต่ำต้อยกว่า
แบบนี้เขาถือว่า เหมือนคบเพื่อนดี อย่างที่เขาบอกว่า คบบัณฑิต บัณฑิตที่แท้จริง มักจะพาไปหาผล ไม่ใช่บัณฑิตจอมปลอม
บัณฑิตบางคนจบปริญญามาก็จริง แต่ใจไม่ได้เป็นบัณฑิต เพราะฉะนั้นการได้ชื่อบัณฑิต ความหมายของบัณฑิตอยู่ที่จิตใจ ไม่ใช่แค่เพียงกระดาษปริญญาใบเดียวอย่างที่กล่าวอ้าง
เขานั่งรถเมล์กลับบ้าน รถติดเหมือนเคย ในซอยซอยที่เขาอาศัยอยู่ เป็นบ้านแบบอพาร์ทเม้น ห้องเล็กพออยู่ได้สองคน อาจจะเรียกว่า ที่เท่ารังหนูก็ได้ ราคา พันกว่าบาท
ไม่มีวันไหนที่รถราไม่ติดในกรุงเทพ เป็นภาพซ้ำซากจำเจในทรงจำเขาเสียแล้ว วันไหนที่รถโล่งไม่ติดน่ะสิ กลายเป็นเรื่องแปลก ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนของชีวิตคนกรุง ต่างก็รับกระวีกระวาด ทั้งเมื่ออกจากบ้านก็ต้องรีบไปให้ทันรถเมล์
ขากลับก็แย่งกันขึ้นรถเมล์ กระวีกระวาดไปให้ถึงบ้าน เพื่อพักผ่อนหลับนอน พบหน้าคนในครอบครัว
นี่แหละความสุขของคนดงคอนกรีต ฉาบฉวย จะทำอะไรก็รวดเร็ว รีบอย่างเดียว
กลัวไม่ทัน แน่ล่ะ คนที่หายใจเข้าออกเป็นเงินตรา ต้องทำเช่นนั้น ธุรกิจรัดตัวไปหมด ไม่เว้นแม้แต่วันพักวันหยุด
หาโอกาสที่จะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับคนในครอบครัวยิ่งนัก
ยิ่งเดี๋ยวนี้คอนโดผุดกันสร้าง แข่งกันสร้างจนเกลื่อนเมืองใหญ่ กลางเมืองกรุง ถนนสายหลัก
นายทุนมองหาช่องทาง กว้านซื้อที่ดิน สร้างคอนโดอาคารที่พัก ห้าร้อยตารางเมตร หนึ่งพันตารางเมตร สองพัน สามพัน ถือว่าหรูสุด บางที่อาจจะมากกว่านั้นอีก แต่ต้องเป็นคอนโดสมัยเก่าที่อยู่มานาน ในยุคที่ราคาค่าอุปกรณ์ก่อสร้างไม่แพงเท่าทุกวัน
บ้านของคนเราต่อไปในอนาคตก็จะเป็นสี่เหลี่ยมแคบๆอย่างนี้
ส่วนคนที่มีบ้านหลังใหญ่อยู่เป็นของตัวเองแล้ว รอดตัวไป อยู่กับพ่อแม่ญาติพี่น้อง ถือว่าเป็นบ้านเก่า ที่คงความขลัง รุ่นบรรพบุรุษปู่ย่าตายายทิ้งเอาไว้เป็นสมบัติ
พุกิมเดินผ่านคนกวาดถนนหน้าซอยบ้านพัก ดูเขามีความสุข ขณะที่ในท้องถนน คนขับรถเบ๊นซ์ สปอร์ตปอเช่ หน้าหงิกหน้างอบ่นอย่างน่ารำคาญ เพราะรถติด ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนไปข้างหน้า กว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว
ส่วนคนงานเทศบาลกรุงเทพกวาดถนนอย่างอารมณ์ดีกวาดไปร้องเพลงไปด้วย
คนสมัยนั้นเชื่อเรื่องศีลเรื่องธรรม เพราะวัดครอบครองไปหมด วัดล้วนอยู่รอบบ้าน
แต่สมัยนี้มีแต่บาร์ซ่อง บ่อน สถานอโคจรรอบบ้าน โรงแรมม่านรูดรอบวัด สิ่งไม่แน่นอน ล้วนอยู่ในความไม่แน่นอน
ที่บ้านพักของเดือนมาลย์ เดือนมาลย์ มีคุณใจจวงมารดานั่งอยู่ข้างๆ เดือนมาลย์นั้นมาหยุดยืนที่หน้าต่างชะโงกออกไป นอกจากกับลมเย็นบริสุทธิ์ ยังมองโน่นมองนี่ไปตามเรื่อง เรื่อยเปื่อย
เพราะอาการของมาณวดียังไม่ดีขึ้น พรุ่งนี้คงไปทำงานไม่ได้อีก
คุณใจจวงต้องมาลำบากเฝ้า และ เดือนมาลย์ด้วย
“ หนูบอกแล้วว่า ตากฝนต้องเป็นไข้หวัดหนัก พี่วดีไม่ค่อยเชื่อ เก่งนะคะ แล้วผลเป็นยังไงต้องมานอนซมอยู่ที่นี่ ”
เดือนมาลย์อึดอัดจึงระบายออกมา คุณใจจวงบอกให้เบาๆเธอทำปากจุ๊ใส่ลูกสาวคนเล็กด้วย ที่พูดเสียงดังเกินไป เดือนมาลย์ก็ไม่แคร์ด้วยหรอก จงใจอยากจะให้คนป่วยได้ยินนั่นแหละ ก็หนอยมีอย่างที่ไหนล่ะ
พลอยทำให้เดือนมาลย์อดไปทำธุระข้างนอกด้วย เพราะมารดาขอร้อง ว่าให้ช่วยปฐมพยาบาลเฝ้าอาการป่วยของพี่สาว
“ เมื่ออาการไข้ขึ้นสูงอีกอย่างนี้ คุณแม่จะให้ไปหาหมออีกไหมคะ ไม่ต้องไปแล้วค่ะ คลินิกเดิม หมอไม่ได้เรื่อง ไปที่โรงพยาบาลดีกว่า”
เดือนมาลย์เสนอแนะ
“แต่ว่า มันไกลนะลูก ”
คุณใจจวงเอ่ย แต่ชั่วครู่ก็ครุ่นคิด
“งั้น เอาเถอะ ไปโรงพยาบาลก็ไป หมอใหญ่ดี ไปตรวจให้เห็นดำเห็นแดงกันเลย ”