คะนึงหา

1408 Words
“ลมพัดหวนชวนชมละอองกลิ่น รวยระรินกลิ่นหอมมวลบุปผา ดึงไอแดดให้ห่อหุ้มพวงมาลา แนวพนาและฟ้าไกลยามค่ำคืน เมื่อยามเช้าแสงแดดเข้าแผดเผา ให้ทุกข์เศร้าโหยหาเมื่อยามตื่น ชีวิตข้าสับสนยิ่งยากหยัดยืน แต่ยอมฝืนชะตากรรมที่เป็นไป โอดสะอื้นอ้อยอิ่งทิ้งตัวเจ้า ข้าแสนเศร้าทุกข์ระทมแสนโหยไห้ ยามเมื่อข้าจากเจ้ามาที่แสนไกล เหตุไฉนหัวใจฝากไว้ไกลตัว แล้วหวนเสียงเรียงนิ้วขึ้นหวิดหวีด หาอดีตดาลฝันบรรโลมหลอน ถี่กระชั้นสั่นกระชากเมื่อจากจร ระเรื่อยร่อนเร่มาเมื่ออาจิณ ... พื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยพื้นหญ้า พร้อมประดับด้วยมวลดอกไม้หลากหลายพันธุ์ คืนนี้พระจันทร์สุกสว่างท่ามกลางท้องนภาที่มืดมิด ลมโชยเพียงแผ่วเบาพัดพาความเย็นเข้ามากระทบกับพื้นหญ้าแม้จะไม่มากนัก บนบริเวณโดยรอบมีเพียงชายคนหนึ่งที่นอนนิ่ง เอาแขนหนุนต่างหมอน สายตายังเหม่อมองไปบนพระจันทร์ที่เต็มดวงสุกสว่างเปล่งแสงรัศมีเพื่ออวดโฉมความงามของแสงตน ย่างเข้าฤดูร้อน อากาศที่อบอ้าวแม้ยามค่ำคืน เขามิได้สะทกสะท้านต่อความร้อนของมวลอากาศแต่อย่างใด ทว่าในใจกลับร้อนหงุดหงิดแข่งกับอากาศรอบกาย สาเหตุใดที่ทำให้เขาเกิดอาการเบื่อหน่ายเช่นนี้ เขารู้เพียงแต่ว่ายามใดที่หมดจากงานกิจราชการ และต้องอยู่เพียงลำพังความรู้สึกเคว้งคว้าง โดดเดี่ยวกลับเข้ามาเกาะกินหัวใจ แม้จะลุกขึ้นมาฝึกวิทยายุทธก็หาใช่ทางแก้ ร่ำสุราเมื่อเมามายจางหายความเหงาก็เข้ามาทักทายอีกครั้ง เขาได้แต่ทอดถอนหายใจมองดูดวงจันทร์อยู่เช่นนี้ แล้วตัวมันเล่าเหงาบ้างไหมที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวบนท้องฟ้ากว้างใหญ่ยามรัตติกาล "หลงฉีเอ๋ย เจ้าเป็นอันใด เฮ้อ!" หลงฉีเอ่ยขึ้นกับตนเอง หลังจากที่เขานอนเอนกายอยู่ที่สวนหลังจวนตนเองอยู่ หลงฉีค่อยปิดเปลือกตาลงเพื่อปกปิดความโดดเดี่ยวครั้งนี้ มันเกิดขึ้น...เกิดขึ้นเมื่อไหร่กันนะ เท่าที่รู้มันเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้เองหลังจากที่มาถึงเมืองหลวงได้สองสามวัน เมื่อดวงตาปิดสนิท จู่ๆความมืดในดวงตาทำให้เขาเห็นภาพหญิงสาว หน้าตาจิ้มลิ้ม ทรวดทรงช่างอ้อนแอ้นอรชร ผิวลื่นไหลเพียงได้สัมผัสก็มิอาจจะละมือ ผมนางดำขลับดั่งแสงรัตติกาล ดวงตากลมโต แม้กระทั่งกลิ่นกายนั้นช่างเย้ายวน นางช่างเป็นหญิงสาวที่อ่อนต่อโลก ไร้เดียงสา นางมักส่งสายตาหวาดผวามาที่เขาเสมอยามที่เขาส่งสายตาปรามออกไป ภาพเหตุการณ์บนเตียงที่เขากระทำดังโจรราคะทำให้หัวใจเขาสั่นไหวอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันเป็นความรู้สึกดีกับบทรักแม้เขาจะเคยผ่านเรื่องเช่นนั้นมาแต่ไม่เคยมีใครทำให้รู้สึกถึงการคะนึงหาได้มากเท่าสตรีบ้านป่า นางซื่อ นางสดใสและไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเหมือนสตรีเมืองหลวง เขาเปล่งเสียงอย่างแผ่วเบา "เสี่ยวหลาน เจ้าหรือเจ้าตัวโง่งม" เขานิ่งไปสักพักก่อนหยันกับตัวเอง "เจ้าตัวโง่งม! ก็แค่สตรีจะมามีอิทธิพลอันใดกับข้า" หลงฉีหงุดหงิดขึ้นมาทันทีเมื่อคิดถึงสตรีน่าตายจึงดีดตัวเองลุกขึ้น จากพื้นหญ้าเดินตรงกลับเข้าเรือนของตนเองเสีย โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง สามเดือนต่อมา ค่ำคืนช่วงฤดูร้อนอันแสนอบอ้าว ยังมีเสียงผู้คนดังเซ็งแซ่อยู่รอบทิศ ไม่ว่าจะเป็นเสียงของเหล่าชายหญิงที่มาร่วมกันหาความสุขยามค่ำคืนอยู่ภายในโรงเตี๊ยม ด้านในมีบุรุษสองนายที่พากันนั่งร่ำสุราสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ “นี่! !เฟิ่งสือ เมื่อไหร่ท่านอ๋องจะแต่งฮูหยินเข้าจวนสักที ข้าล่ะอิจฉาจวนอื่นเสียจริงที่มีงานเลี้ยงรื่นเริง บางวันยังมีสุราให้ร่ำตกถึงบ่าวไพร่ ส่วนจวนท่านอ๋องสามน่ะหรือมีแต่จับดาบฝึกซ้อม” เจี้ยนโจวโยว่ ผู้ใต้บังคับบัญชาของหลงฉีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น ซึ่งแท้ที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากต้องการคำตอบนัก “เจ้าถามข้าแล้วเจ้าจะให้ข้าไปถามท่านอ๋องหรือไง” เฟิงสือ กล่าวตอบอย่างจนใจ เขาก็อยากเคล้านารีบ้าง มิใช่วันๆ เห็นแต่หน้าบุรุษชุดนักรบ ในจวนก็ไร้สตรีให้เจริญหูเจริญตา “ก็เจ้าเข้ากองทัพมาก่อนข้า อยู่กับท่านอ๋องมากกว่าข้า ส่วนข้ามีแต่ออกสืบข่าว ข้าไม่ถามเจ้าแล้วให้ข้าไปถามมารดาเจ้ารึ” เจี้ยนโจวโยว่กล่าว “เฮ้อ! เรื่องนี้คงยาก ยิ่งท่านอ๋องเอ่ยปากขอกับฮ่องเต้ว่าจะเลือกคู่ครองเอง จวนเราก็อย่าหวังเลยว่าจะมีงานมงคล” เฟิงสือกล่าว “รู้อย่างนี้...รบแพ้เสียก็ดี จะได้ให้กองทัพอื่นไปบ้าง” เจี้ยนโจวโยว่กล่าว “เจ้ากล่าวบ้าอะไรของเจ้าเนี่ย ปากพาซวยแล้วมั้ยล่ะ ลองท่านอ๋องออกรบเองยังไงก็ชนะ บ้าดีเดือดเสียขนาดนั้น” เฟิงสือรีบห้ามปราม เกรงว่าใครจะมาได้ยิน “ก็จริงของเจ้า แล้วจริงหรือไม่ที่ฮ่องเต้กับฮองเฮา ตามใจท่านอ๋องมากกว่าอ๋ององค์อื่น ข้าล่ะสงสัย” เจี้ยนโจวโยว่เอ่ยถามด้วยอาการมึนจากการร่ำสุรา “เจ้าอย่าเอ็ดไป ได้ยินได้ฟังอะไรมารู้ก็เหยียบเอาไว้ ไม่ใช่เที่ยวพูดพล่าม ไม่เช่นนั้นอย่าหวังแต่หลังเลย ศีรษะก็จะไม่อยู่บนบ่า” เฟิงสือเอ่ยพร้อมยกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวหมด อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกรับฟังคำเตือนของสหายใกล้ชิดนาย “เออใช่! เจ้าจำผู้หญิงที่อยู่กับท่านอ๋องที่กองทัพได้มั้ย” เฟิงสือเอ่ยถามเจี้ยนโจวโยว่ “คนไหนล่ะ ข้าจำไม่ได้หรอก” “เพ้ย! ก็คนที่ท่านอ๋องช่วยไว้ที่อารามร้างและพากลับค่ายด้วย นางอยู่มณฑลจิ้นหยางน่ะ” อีกฝ่ายนึกตามที่เฟิงสือกล่าว จึงร้องออกมา “อ๋อ...จำได้แล้ว เจ้าถามทำไม” “นางงามดี ข้าเห็นบิดานางคงหล่อไม่น้อย ไม่คิดว่าเมืองนั้นจะมีคนงามถึงเพียงนี้ ข้าว่าท่านอ๋องคงชอบนางไม่น้อย ไม่อย่างนั้นท่านอ๋องไม่ยื่นมือช่วยนางและซื้อร้านนั้นให้หรอก เจ้าก็รู้นี่ ท่านอ๋องไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องของผู้หญิง” เฟิงสือกล่าวยกความดีให้นายตนทั้งที่เขาก็พอจำได้ว่าตัวเขาเองก็อยากจะลงมือช่วย แต่หลงฉีนั่งอยู่อีกอย่างท่านอ๋องก็ช่วยมากเสียจนตัวเขาเองยังแปลกใจ เพราะตัวเขาเองอยู่กับท่านอ๋องมานาน นิสัยบางเรื่องเขานั้นล้วนสังเกตได้ “จริงของเจ้า แต่จะว่าไปท่านอ๋องเรานี่ก็ไม่เบานะ นางเพิ่งอายุ สิบห้า...เฮ้อ! ข้าล่ะไม่กล้าเอ่ย” เจี้ยนโจวโยว่เอ่ยให้กับเฟิงสือฟัง “อะไรนะ สิบห้า!” “ใช่ นางเพิ่งจะสิบห้า ยังงามถึงเพียงนั้นหากโตเต็มวัย ข้าว่า...ก็ไม่แปลกหรอกที่จะโดนฉุด!” “มิน่าล่ะ นางถึงได้ดูเด็กยิ่ง คราแรกข้านึกเพียงว่านางแค่ตัวเล็กแต่จะว่าไปนางก็ตัวเล็กจริงนั่นแหละ ทั้งยังกลัวท่านอ๋องอย่างกะอะไรดี อายุแค่นี้ยังสวยขนาดนี้หากโตเป็นสาวแรกเต็มวัยจะสวยขนาดไหน เฮ้อ! ข้านึกแล้ว ข้าอยากไปหอเลย!” เฟิงสือเอ่ยขึ้นพร้อมยกสุราขึ้นดื่มอีกจอก หลังจากนั้นเขาก็ตกใจทำตาตื่นและเอ่ยคำพูดออกมา “ตายห่า! หากฮองเฮาทราบเข้า... ท่านอ๋องไม่โดนลงโทษหรอกหรือ ไปๆ กลับจวน” “เจ้าจะกลัวไปไย ฮองเฮาทราบแล้วมันเกี่ยวอันใดกับพวกเราด้วย” เจี้ยนโจวโยว่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ เรื่องของนายทำไมต้องให้ขี้ข้าอย่างพวกเรารับรู้ “มารดาเจ้าสิ ข้าสิจะโดน!” เขาได้รับมอบหมายให้ดูแลนายของตนตามพระราชเสาวนีย์ของฮองเฮาเพราะจวิ้นอ๋องผู้นี้มักทำอะไรตามใจตนเอง ต้องมีคนคอยทักท้วงเสียบ้างและผู้ที่จวิ้นอ๋องให้ความสนิทมากที่สุดก็ไม่พ้นเขา เพราะเขาอยู่กับท่านอ๋องมาตั้งแต่ยังพระเยาว์
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD