พระราชเสาวนีย์ 2

1596 Words
ระหว่างที่ทั้งเสี่ยวหลานและเสี่ยวเค่อต่างคิดถึงสาเหตุการมาของทางการ การปรากฎกายของคนสนิทอย่างหลงฉีได้เดินเข้ามาภายในร้าน เขาใช้สายตามองกวาดไปทั่วร้าน ก็พลันสบสายตาเข้ากับหญิงสาวร่างเล็ก ดวงตากลมโตที่บัดนี้ใบหน้าของนางได้ซีดเผือดไร้สี เขารู้ว่านางเกิดความกลัวไม่น้อยต่อสถานการณ์ตรงหน้า แต่จะทำอย่างไรได้เล่านี่คือคำสั่งที่แม้แต่ใครก็มิอาจจะทัดทานได้ เขาย้อนกลับไปเมื่ออาทิตย์ก่อน พระราชเสาวนีย์ปานสายฟ้าแลบที่แทบจะทำให้เขาหมดลมหายใจ ยังตราตรึงในหัวสมองของเขา "นายกองเฟิ่งสือ เจ้าคงจะรู้นะว่าเจ้าผิดอันใด " "เอ่อ... พ่ะย่ะค่ะฮองเฮา" "ดี! รู้ก็ดี ตำหนักจวิ้นอ๋องต้องมีคนดูแล จำต้องมีอนุ เจ้าคงรู้นะว่าต้องทำอย่างไร" "พ่ะย่ะค่ะฮองเฮา" "ข้าให้เวลาเจ้าในการเดินทางไปกลับไม่เกินครึ่งเดือน พานางมาที่ตำหนักจวิ้นอ๋อง" "กระหม่อมรับพระบัญชา เพียงแต่ว่า เอ่อ.." "ว่ามา... เจ้ามีปัญหาอันใด" "เอ่อ... เรียนฮองเฮา กระหม่อมขอพระราชทานอนุญาตขอเวลาเพิ่มเป็นหนึ่งเดือนและขอนางข้าหลวงสักสองนางได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าหากนางมากับกองทหารของกระหม่อม มันอาจจะดูไม่ดีนักพ่ะย่ะค่ะ" เฟิ่งสือคิดว่าผู้หญิงเดินทางไกลย่อมต้องใช้เวลาและหากไปเพียงลำพังนางคงไม่ยินยอมแน่ๆ "ได้! แล้วข้าจะจัดการให้ หวังว่าเจ้าคงจะไม่พลาดนะ เฟิ่งสือ" "กระหม่อมเฟิ่งสือ น้อมรับพระราชเสาวนีย์พ่ะย่ะค่ะ" สายตาของเฟิ่งสือยังคงจับจ้องไปยังเสี่ยวหลาน หลังจากนั้นเขาได้ส่งรอยยิ้มไปเสี่ยวหลาน พร้อมเอ่ยวาจา "แม่นางเสี่ยวหลาน เราเจอกันอีกแล้วนะ" สายตาของแต่ละคนจับจ้องไปยังหญิงสาวร่างเล็ก หน้าตาจิ้มลิ้มที่ค่อนไปทางงดงาม ผิวพรรณไร้รอยตำหนิ ดวงตากลมโต คิ้วโก่งได้รูป ริมฝีปากแดงอวบอิ่ม หากนางเจริญวัยเต็มที่จะงดงามเพียงใด ทว่าในเวลานี้ใบหน้าของผู้ถูกสายตาแต่ละคู่จับจ้องอย่างหม่าเสี่ยวหลานนั้นซึ่งบัดนี้สีหน้าขาวซีด มือไม้เย็นทั้งที่อากาศภายนอกค่อนข้างร้อน นางจับจ้องไปยังกลุ่มคนที่อยู่ภายในร้านของตน และสายตาพยายามกวาดมองหาชายผู้ซึ่งนางมิอยากจะพบเจอที่สุด นางค่อยคลายโล่งอกอยู่กึ่งหนึ่งแต่กระนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของชายคนหนึ่งกล่าว ใบหน้าที่ซีดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เกือบทำให้นางแทบจะเป็นลมล้มพับไป "นี่นะหรือแม่นางเสี่ยวหลาน มิน่าเล่าฮองเฮาถึงได้ระบุไว้ชัดเจน" ชายวัยกลางคน รูปร่างภูมิฐานเอ่ยขึ้นใบหน้าเปื้อนยิ้ม "ขอรับ ท่านเสนาบดีเจี่ย" นายกองเฟิ่งสือเอ่ยตอบใบหน้าแช่มชื่นเช่นกัน "ดี...งั้นพานางไปเลยแล้วกัน จะได้ไม่เสียเวลา" หลังจากที่เสนาบดีเจี่ยเย่าหัวกล่าวจบ ทหารสองนายพร้อมด้วยข้าหลวงอีกสองนางได้เดินอ้อมท่านเสนาบดีเจี่ยเย่าหัว หมายจะพานางขึ้นเกี้ยว โดยนายทหารมีหน้าที่คุ้มกัน ส่วนนางกำนัลหมายเข้าไปประคองเดิน ทว่าการกระทำดังกล่าวนั้นคนในตระกูลหม่าพร้อมด้วยคนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่พลันตกใจไม่น้อย ต่างคิดไปต่างๆนานาว่าแม่นางเสี่ยวหลาน สาวงามประจำเมืองเกิดเหตุผิดใจอะไรกับราชสำนักกันแน่ถึงมีทหารและคนใหญ่คนโตจากราชสำนักมาถึงที่ ไม่นานเสียงกระซิบพลันดังขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้หม่าเสี่ยวเค่อรวบรวมความกล้า เดินเข้ามาขวางทางของทหารและนางกำนัลทั้งสี่ "เอ่อ.. ข้าน้อยหม่าเสี่ยวเค่อ บิดาของหม่าเสี่ยวหลาน พวกข้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา หาเช้ากินค่ำ อีกอย่างบุตรสาวของข้าน้อยก็ไม่เคยจะออกไปไหนไกล นางเป็นคนพูดน้อย อีกทั้งขี้เกรงใจคน ข้าน้อยขอเรียนถามสักหน่อยเถิดว่า บุตรสาวข้าน้อยไปทำอะไรใครให้เคืองใจข้าน้อยจะได้ไปขอขมาได้ทัน" หม่าเสี่ยวเค่อเอ่ยด้วยเสียงเจือประหม่า "อ้อ! เจ้าเป็นบิดานาง ข้าเจี่ยเย่าหัวเป็นเสนาบดีสำนักราชเลขานุการ ส่วนบุตรีเจ้าจะมีเรื่องกับใครในมณฑลนี้ข้าเองก็มิทราบ แต่ที่ข้ามาวันนี้ด้วยเป็นตัวแทนของฮองเฮา มารับแม่นางเสี่ยวหลานเข้าวังเพื่อเตรียมตัวเป็นอนุของจวิ้นอ๋อง" เสนาบดีเจี่ยเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นด้วยสีหน้าแช่มชื่น เขาเองก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่มาถึงก็จะรีบนำนางขึ้นเกี้ยวโดยมิได้อธิบายใดๆ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปเสียยกใหญ่ "หา! เป็นอนุจวิ้นอ๋อง" หม่าเสี่ยวเค่ออุทานเสียงหลงออกมา แม้แต่คนภายนอกที่ได้ยินต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานาเสียแล้ว โดยเฉพาะได้ยินว่าเป็นจวิ้นอ๋องด้วยแล้ว...กิตติศัพท์เรื่องการรบก็หาใครเทียบได้เพราะความเก่งกาจ ไม่มีหลักเกณฑ์การรบ ขอแค่ชนะเขาทำได้ทุกอย่างส่วนเรื่องความโหดร้ายเขาเองก็ใช่ย่อย ลองไม่สบอารมณ์ใครหน้าไหนเขาก็ไม่เกรงใจ แม้แต่องค์ฮ่องเต้ยังมิเกรงกลัว แล้วนี่! นางยังถูกตาต้องใจจวิ้นอ๋องหากไม่พอใจขึ้นมา คงไม่ต้องนึกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น หม่าเสี่ยวเค่อเคยได้ยินเรื่องราวของหลงฉีบ้าง แม้ขนาดเรื่องไม่ชอบผู้หญิงจนสั่งให้ทหารลวนลามและนำไปแห่รอบเมือง เพียงแค่นางหวังจะแต่งงานกับจวิ้นอ๋องยังโดนขนาดนี้ หากเป็นภริยาแล้วทำอะไรไม่ถูกใจมา บุตรีของเขาไม่แย่หรอกหรือ เมื่อคิดได้ดังนั้นเสี่ยวเค่อจึงเอ่ยขึ้น "เอ่อ...บุตรีของข้าน้อยยังอ่อนเยาว์นัก อีกทั้งเกรงว่าทางราชสำนักอาจจะเข้าใจผิด นางไม่เคยออกเดินทางไปไกลจากมณฑลนี้เลยนะขอรับ" เสนาบดีเจี่ยได้ยินจึงวิเคราะห์จากคำพูดของหม่าเสี่ยวเค่อว่าเขาก็มิได้กล่าวออกมา ‘ท่าจะจริง นางออกจะบอบบาง แม้แต่แรงเชือดไก่ยังไม่มี นับประสาอะไรจะเดินทางไปเมืองหลวง แต่คิดกลับกัน อาจเป็นจวิ้นอ๋องเองเสียมากกว่าที่พบนางและเกิดถูกตาต้องใจ มันต้องมีอะไรมากกว่านี้เป็นแน่ เพียงแต่เจ้าเฟิ่งสือไม่กล่าว คนในกองทัพไมมีใครกล้าเล่าเรื่องราวให้เขาฟังต้นสายปลายเหตุและยิ่งชื่อเสียงเรื่องผู้หญิงของจวิ้นอ๋องด้วยแล้ว ไม่ต้องการแต่งพระชายาหรือรับอนุ แล้วนี่อะไร?’ ด้านนายกองเฟิ่งสือเห็นท่าครุ่นคิดทั้งอากัปกิริยาของหม่าเสี่ยวเค่อ เสี่ยวหลานและเสนาบดีเจี่ยแล้ว เขาจึงได้ยิ้มกลบเกลื่อนเอ่ยขึ้น "ท่านก็กล่าวเกินไป แม่นางเสี่ยวหลานเป็นถึงผู้มีคุณของกองทัพ ทำให้จวิ้นอ๋องสามารถหาไส้ศึกได้ บุญคุณของนางครั้งนี้ทางราชสำนักต่างเห็นดีเห็นงามว่าพร้อมเหมาะสมที่จะให้นางเป็นอนุ เพราะครั้นจะให้สิ่งของตอบแทนย่อมไม่คู่ควรกับคุณงามความดีที่นางได้กระทำ" เฟิ่งสือกล่าวพลางมองไปที่เสี่ยวหลาน เห็นว่านางมีสีหน้าตระหนกพร้อมทั้งส่ายหน้าบอกใบ้ว่าไม่ใช่ความจริง "เป็นเช่นนี้นี่เอง...แม่นางท่านนี้ช่างวิเศษนัก แม่นางเสี่ยวหลานท่านยินดีที่จะไปกับเราตอนนี้เลยหรือไม่ หรือท่านอยากจะเก็บของที่เจ้าต้องการไปด้วยก็ได้" เสนาบดีเจี่ยเอ่ยขึ้นถามความสมัครใจ ‘ไม่ยินยอม ข้าไม่ยินยอม ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น’ เสี่ยวหลานส่ายหน้าพลางคิดในใจ แต่มิกล้าเอ่ยออกมาเพราะนางขลาดกลัวยิ่งนัก "แม่นางเสี่ยวหลาน แม่นาง" เฟิ่งสือเอ่ยทักด้วยเสียงดังขึ้น เพราะเห็นนางไม่ตอบคำถาม เอาแต่ส่ายหน้านิ่งเฉยแลดูท่าทางเริ่มหวาดกลัว ‘ใช่! ข้าต้องหนี แล้ว...แล้วข้าจะหนีไปที่ไหนดีเล่า?’ เสี่ยวหลานยังคงคิดอยู่เช่นนั้น เหมือนไม่ได้ยินเสียงเรียกของนายกองเฟิ่งสือ "นี่! แม่นาง ท่านได้ยินข้าพูดหรือไม่" เฟิ่งสือเรียกเสี่ยวหลานอยู่นานแต่นางก็ยังไม่ตอบเพียงแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา ท่านเสนาบดีเจี่ยเปิดปากเรียกเสี่ยวหลานด้วยอีกทางเพราะเห็นว่านางคงตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไปเสียแล้ว ส่วนเสี่ยวหลานยังคงนิ่งเหมือนเดิมจนเฟิ่งสือเดินอ้อมไปแตะตัวนาง ทำให้เสี่ยวหลานตกใจร้องกรี๊ดขึ้นมา ทำให้ทุกคนที่รายล้อมบริเวณนั้นพลอยตกใจไปด้วย "เสี่ยวหลาน เจ้าเป็นอันใดหรือไม่" เสี่ยวเค่อไปประคองบุตรสาวของตัวเองด้วยความสงสารไม่น้อย "ท่านพ่อ ขะ..ข้า...ข้าขอกลับจวนก่อนได้หรือไม่" "หา! กลับจวน แล้ว...แล้วทางนี้" เสี่ยวเค่อเอ่ยถาม แต่คงไม่ได้คำตอบ ส่วนเสี่ยวหลานพอนึกได้ว่าตนพูดสิ่งใดกับบิดาตนก็คิดในใจ ใช่! แล้วทางนี้เล่า? จะให้ท่านพ่อรับหน้าได้อย่างไรเล่า นางนึกได้จึงเอ่ยขึ้น "เอ่อ...ข้ากล่าวผิดไปเจ้าค่ะ ข้าขอปิดร้านก่อนได้หรือไม่" "อ๋อ...เช่นนี้เอง ข้าเองก็ใจร้อน อยากรีบทำตามพระราชเสาวนีย์ให้แล้วเสร็จ ข้าขอโทษด้วย เชิญๆ พวกข้าขอเข้าไปนั่งรอที่ร้านเจ้าแล้วกันนะ โต๊ะว่างอยู่หลายตัวพอดี" ท่านเสนาบดีเจี่ยเอ่ย "เอ่อ..จะ...เจ้าค่ะ"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD