จากวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาฉันก็นอนอยู่ห้องและเคลียร์งานที่อาจารย์สั่ง มีออกไปหาอะไรกินข้างนอกบ้าง แต่ก็วนอยู่แค่บริเวณใกล้ๆ หอนี่แหละ
วันนี้เป็นวันจันทร์ฉันมีเรียนตามปกติในตอนบ่าย จริงๆ แล้วตอนเช้าก็มีนะ แต่อาจารย์ยกคลาสไม่มีการเรียนการสอนในวิชานั้นเพราะว่ามีประชุม ทำให้วันนี้ตื่นสายได้ อยากจะบอกว่าการยกคลาสนี่เหมือนสวรรค์สำหรับฉันเลยล่ะ เพราะว่าในชั้นปีหนึ่งตารางเรียนจะแน่นมาก และอาจารย์จะสอนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบไม่มีกั๊ก พอยกคลาสทีก็เหมือนได้เวลาหายใจเพิ่มขึ้น
นี่ก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าๆ แล้วฉันมีเรียนตอนบ่ายโมงตรง ยัยเพื่อนทั้งสองของฉันก็ช้าเสมอ บอกว่าจะขอแวะซื้อกาแฟก่อน
นั่นไงพูดถึงก็มาเลย ตายยากจริงๆ
“ฮายยยยชะนีน้อย วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส ฉันอารมณ์ดีเลยซื้อมาฝาก”
ซูซี่ที่เดินเข้ามาพร้อมกับยัยแพรวเอ่ยขึ้นและยื่นแก้วน้ำพลาสติกที่บรรจุของเหลวสีเข้มมาให้ วันนี้เพื่อนของฉันเหมือนจะแต่งตัวจัดเต็ม คงเพราะไม่ต้องตื่นแต่เช้า ทำให้มีเวลาจัดการตัวเองแต่งหน้าแต่งตามา อ้อคณะของฉันถึงแม้ว่าจะเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้มีกฎห้ามเรื่องการแต่งตัวหรอกนะ แต่พวกฉันก็ยังคงใส่ได้แค่ชุดนักศึกษาเพราะยังไม่มีช็อปใส่เหมือนพวกพี่ปีโต
“วันนี้ฝนตกแน่ๆ”
คือยัยซูซี่ถึงแม้ว่าฐานะทางบ้านนางจะรวยมาก แต่นางก็งกสุดๆ ถึงกับบอกว่าเงินจะกระเด็นออกจากกระเป๋านางได้ ไม่เพื่อกินก็เพื่อเปย์ผู้ชายเท่านั้น ดีไหมล่ะคะทุกคน ลองเอาเทคนิคนี้ไปใช้ได้นะ จะได้มีเงินเก็บเยอะๆ เหมือนนาง แต่ต้องในกรณีที่ไม่ค่อยมีผู้ชายให้เปย์เยอะอะนะ
“ฝนไม่ตกหรอกย่ะ เพราะของแกได้ฟรีมา ที่ร้านเขามีโปรสองแถม หนึ่ง” นั่นไงว่าแล้ว ฉันคงไม่มีบุญได้กินเงินยัยซูซี่จริงๆ แต่ไม่เป็นไรถึงจะเป็นของแถมแต่เพื่อนก็ยังมีน้ำใจนึกถึง
“นี่ชะนีแพรว ไหนตกลงกันแล้วไงว่าจะไม่บอก” ซูซี่แห้วใส่ยัยแพรวเสียงดัง ตลกสองคนนี้จริงๆ
“ฉันหมั่นไส้แก” ยัยแพรวว่าพร้อมกับความแก้วน้ำซูซี่มาดูดไปซู้ดใหญ่ ครึ่งแก้วไปแล้วนั่น เชื่อสิว่าต้องมีเสียงโวยวายจากซูซี่
“กรี๊ดดดดด” แล้วก็เกิดการตีกันระหว่างทั้งสองคน
“พอๆ หยุดได้แล้ว ยังไงก็ขอบใจนะยะ” ฉันต้องห้ามทัพสองคนนี้อีกเช่นเคย
“หยุดก็ได้...เพราะฉันมีเรื่องที่สำคัญกว่าที่จะต้องถามแก” พอห้ามทัพได้ เพื่อนฉันก็เปลี่ยนเป้าหมายทันที
“ใช่!!!” ทำไมอยู่ดีๆ งานมาตกที่ฉันซะงั้น รู้สึกได้ถึงรังสีบางอย่างที่ส่งมาจากสายตาทั้งสองคู่
“อะไร มีอะไรจะถามก็ว่ามาสิ ทำไมต้องมองแบบนั้น” ถามไปด้วยความหวาดระแวงเพื่อนตัวเอง
“วันนั้น!” เออวันไหนล่ะ
“แกกับพี่อัคคีสุดหล่อของฉันเป็นยังไงกัน พวกแกไปแอบแชตลับหลังพวกฉันใช่ไหม”
“เล่ามาให้หมด!!!”
ว่าแล้วฉันต้องไม่รอด หลายวันที่ผ่านมาก็ไม่เห็นจะถามอะไร นึกว่าไม่ได้สนใจอะไรซะอีก นี่คงกะจะมาถามต่อหน้าเพื่อให้หลีกเลี่ยงไม่ได้สินะ หลังจากที่เขาบอกให้แชตหา กลับถึงห้องแล้วฉันก็ไม่ได้แชตไปบอกพี่เขาหรอกนะ
จะให้ฉันพิมพ์ไปว่าอะไรล่ะ ‘ถึงห้องแล้ว ฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ’ มันจะดูสะเหล่อไปหน่อยไหม กับคนที่พึ่งรู้จักกัน ที่จริงพี่เขาอาจจะแค่บอกไปอย่างนั้น ไม่ได้ต้องการให้แชตไปจริงๆ ก็ได้ เมื่อคิดได้แบบนั้นฉันเลยไม่แชตไปบอกน่าจะดีกว่า แต่เรื่องก็ไม่จบง่ายขนาดนั้น ในตอนเช้าวันเสาร์ฉันตื่นขึ้นมาและเช็กโทรศัพท์ตามปกติก็มีแชตเด้งเข้ามา
อัคคี : ยังไม่ถึง?
ก็คนที่พึ่งแอดไลน์มาเมื่อคืนนั่นแหละค่ะ ถามได้กวนมาก นี่ก็เช้าแล้ว ฉันไม่ได้เดินทางข้ามจังหวัดสักหน่อย
ซิน : ถึงตั้งแต่เมื่อคืนแล้วค่ะ
ฉันตอบกลับไปทันที ก็ไม่รู้จะลีลาไปทำไมในเมื่อเขาเป็นคนทักมาเอง และอีกอย่างถ้าไม่เห็นหน้าฉันก็กล้ากว่าปกติอยู่แล้ว เหมือนกับเขาที่ถนัดพิมพ์ไม่ถนัดพูดนั่นแหละ
อัคคี : ทำไมไม่แชตมาบอก
ซิน :ลืมค่ะ
ก็อย่างที่รู้แหละค่ะ ว่าฉันไม่ได้ลืมหรอกเป็นความตั้งใจเลยต่างหาก
อัคคี : คราวหลังอย่าลืม...ฉันรอ
ช็อกครั้งที่หนึ่ง ใจฉัน...หยุดเต้นไปแล้ว ไม่ตายก็ใกล้ตายแล้วตอนนี้ ทำไมเขาต้องรอฉันด้วย อย่ามาทำแบบนี้ได้ไหม คนทางนี้มันคิดไปไกล นี่พึ่งรู้จักกันได้วันเดียว ไม่สิไม่ถึงวันเลยด้วยซ้ำ เป็นแค่คนที่เป็นเพื่อนของแฟนเพื่อน และแค่มีเหตุให้มีช่องทางติดต่อกันแค่นั้นเอง ในความสัมพันธ์แบบนี้ เขาสามารถมาพูดอะไรแบบนี้ได้ด้วยเหรอ นี่ฉันควรทำยังไง หรือจริงๆ แล้วเขาแค่รอ...ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่
ซิน : คราวหลัง?
อัคคี : อืม...
อัคคี : คราวหลัง
ยังไง คือจะมีครั้งต่อไปเหรอ
อัคคี : แล้วก็...
อัคคี : อย่าใส่กางเกงให้มันสั้นนัก ผู้ชายมอง
ช็อกครั้งที่สอง เขามีสิทธิ์อะไรกัน!
ซิน : พี่ก็ผู้ชายไหมล่ะ
เอาสิ มาอีกสิ ฉันสู้นะ ไม่ว่าการกระทำคำพูดแบบนี้ จะทำไปเพราะอะไรก็ตาม ฉันจะไหลไปตามน้ำแล้วกัน เดี๋ยวมันก็คงจะมีทางออกของมันเอง
อัคคี : อืม...นี่ก็มอง
จ้ะ เอาที่เธอสบายใจไปเลย
นั่นแหละค่ะ นี่ก็เป็นบทสนทนายามเช้าของฉันและพี่เขาที่คุยแบบงงๆ ว่าทำไมถึงมาคุยกันได้
ย้อนยาวไปหน่อยกลับมาที่ปัจจุบันที่ยัยซูซี่ให้เล่าให้นางฟังว่ามีอะไรลับหลังพวกนางไหม คิดว่าฉันจะบอกไหมล่ะ เรื่องแบบนี้ใครจะเล่ากัน มันก็...เขินเป็นเหมือนกันนะ
“ก็ไม่มีอะไรหนิ” ฉันตอบพวกนางไปด้วยใบหน้าเรียบนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ฉันไม่เชื่อ!!!” สองนางตะโกนขึ้นมาพร้อมกันจนคนที่อยู่รอบข้างหันมามอง นี่กะจะให้คนอื่นมารู้ด้วยเลยรึไง
“ไม่มีจริงๆ น่า”
“เออออ ปิดได้ปิดไปนะชะนีน้อย”
“นี่พวกแกเห็นในไลน์กลุ่มไหม ที่พี่เขาประกาศ” ยัยแพรวถามขึ้นมาหลังจากที่เข้ามานั่งเรียนได้สักพัก
“ประกาศอะไรเรื่องอะไรยะ” ซูซี่ที่ไม่ได้สนใจฟังอาจารย์อยู่แล้วหันไปถามทันที
ส่วนฉันตามองอาจารย์แต่หูก็ฟังเพื่อน ห้องนี้เป็นห้องเรียนที่นั่งแบบสโลปและตรงที่ฉันนั่งอยู่ก็เป็นหลังห้องตรงมุมที่อาจารย์ไม่ค่อยสังเกต ยัยเพื่อนของฉันเลยทำตัวตามสบายกัน
“พี่เขาบอกว่าเดือนหน้าจะมีการมอบเสื้อช็อปคณะ” อ๋อ...เรื่องนี้นี่เอง คืออย่างที่รู้ๆ กันว่าคณะวิศวะ จะต้องใช้เสื้อช็อปในการเข้าเรียนภาคปฏิบัติของแต่ละวิชาที่ต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือ เพราะฉะนั้นนักศึกษาคณะนี้ทุกคนจะต้องมีเสื้อช็อปก่อนที่จะได้เรียนภาคปฏิบัติ เพราะงั้นพี่เขาเลยจะให้ตั้งแต่ก่อนจะจบชั้นปีหนึ่งเพราะชั้นปีที่สอง วิชาเรียนจะเริ่มเข้าเนื้อหาวิชาของแต่ละสาขาแล้ว
แต่จริงๆ แล้ว จากที่รู้มาวิชาเรียนปกติที่ไม่ได้เข้าช็อป ก็สามารถใส่เสื้อช็อปมาเรียนได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับอาจารย์ผู้สอนในแต่ละวิชาว่าจะอนุญาตหรือเปล่า ซึ่งฉันก็อยากได้แล้วเหมือนกัน เบื่อจะต้องใส่ชุดนักศึกษาทุกวัน
“ดีๆ ฉันอยากใส่แล้ว จะได้ดูกลมกลืนไปกับคนอื่นสักที” ซูซี่ว่า มันก็เรื่องจริง เพราะในคณะเราส่วนใหญ่จะใส่เสื้อช็อปกันทั้งนั้น ถ้าเห็นว่าใครใส่ชุดนักศึกษาคือสามารถรู้ได้เลยว่าเป็นเด็กปีหนึ่งแน่นอน
“ส่วนฉันไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไร ใส่บ่อยแล้ว” ยัยแพรวว่าด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้
“เหม็นความรัก!” ครั้งแรกที่ฉันกับซูซี่พร้อมใจกันพูดขึ้นเป็นเพราะยัยแพรวมีแฟนเป็นรุ่นพี่เลยพลอยทำให้ได้ใส่บ้าง
“นิดหน่อยยย คิคิ” เบื่อคนมีความรักจริงๆ อะไรนิดอะไรหน่อยก็หัวเราะ
“อย่าให้ฉันมีบ้างนะ ฉันจะพาแห่อ้อมมหาลัยเลย” เออสงสารคนคนนั้นรอเลยได้ไหม
เรียนเสร็จฉันกับยัยซูซี่ก็ไปกินข้าวเย็นกันที่ร้านอาหารตามสั่งป้าสายใจเหมือนเดิม แต่ไม่เหมือนเดิมตรงที่ยัยคนติดแฟนมีนามว่าแพรว ปลีกตัวไปกินข้าวกับแฟนนางตั้งแต่เลิกเรียน เพราะพอลงมาจากตึกเรียนปุ๊บก็เห็นพี่สิบทิศยืนรออยู่ที่หน้าตึกแล้ว นี่คงห่างกันแค่เวลาเรียนกับเวลานอนเท่านั้นล่ะมั้ง ความจริงสองคนนั้นก็ชวนให้ไปด้วยกันนะ แต่ใครอยากจะไปเป็นก้างขวางคอกันล่ะ
“ป้าคะ หนูเอากะเพราไก่ใส่หมูสับใส่เห็ดนางฟ้า ไข่ดาวกรอบ ขอแบบเผ็ดๆ เลยนะคะ”
เดินเข้ามาที่ร้านฉันก็รีบสั่งอาหาร ลูกมือป้าสายใจก็จดตามที่สั่งทันที ไม่ต้องสงสัยนะคะว่าทำไมสั่งไปแบบนั้น ไม่โดนโยนออกจากนอกร้านเหรอ คือมันเป็นเรื่องปกติมากๆ สำหรับร้านนี้ และเป็นที่รู้กันดี
เพราะก็ตามชื่อร้านอาหารตามสั่ง อยากกินอะไรยังไงก็สามารถสั่งได้ ซึ่งป้าเขาก็ทำได้ทุกอย่าง แต่ก็ต้องดูด้วยว่าวัตถุดิบมีรึเปล่า ที่ฉันสั่งไปยังถือว่าเบสิกมากๆ
“ส่วนหนูเอาผัดซีอิ้วหมูกรอบ ขอสั่งแบบเบาๆ ละกันค่ะ” ซูซี่ที่เดินตามหลังมาสั่งต่อทันที
“ได้จ้า ไปนั่งรอเลยลูก วันนี้คนเยอะ รอนานหน่อยนะ” ป้าสายใจพูดด้วยหน้าตายิ้มแย้มและทำอาหารของลูกค้าคนอื่นไปด้วย
“เดี๋ยวฉันไปหยิบแก้วน้ำเอง” พูดจบฉันก็เดินมาหยิบแก้วน้ำพร้อมกับตักน้ำแข็ง หลังจากที่ได้ที่นั่งแล้ว วันนี้คนเยอะเป็นอันรู้กันว่าต้องบริการตัวเอง
พอตักเสร็จฉันก็เดินกลับมาที่โต๊ะเดิม แต่ตอนนี้เหมือนจะไม่เหมือนเดิมแล้วเพราะคนที่นั่งอยู่ร่วมโต๊ะมีเพิ่มขึ้น นั่นทำให้ฉันชะงักไม่ได้เดินเข้าไปนั่งในทันที
“น้องซินนน มาแล้วๆ ขอพวกพี่นั่งด้วยนะ พอดีโต๊ะมันเต็มหมด” เป็นพี่ดินนั่นเองที่หันมาเจอฉันพอดีแล้วทักขึ้น
“เอ่อ...ค่ะ” ฉันตอบและเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ทันที
“หวัดดีค่ะ พี่ดิน พี่...อัคคี” พอนั่งลงและวางแก้วเรียบร้อยฉันก็หันไปทักทายพี่ดินและเพื่อนของเขาที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“หวัดดีค่ะ น้องซิน/อือ” พี่ดินกับเขาตอบกลับมาพร้อมกัน คนบางคนนี่นะ พอแบบนี้แล้วดันพูดน้อย
“แล้วนี่น้องซินกับน้องซูซี่ชอบกินข้าวร้านนี้เหมือนกันเหรอคะ วันหลังจะได้ชวนมาด้วย” ก็ยังคงเป็นพี่ดินที่ถามขึ้นมา และตามประสาผู้ชายเจ้าชู้ เอ๊ย เฟรนลี่พูดจาคะขากับผู้หญิงเสมอ
เมื่อมองไปทางอีกคนที่นั่งตรงข้ามก็เหมือนจะเห็นเขามองมาและส่งสายตาดุ ๆ ประมาณว่าไม่ให้ตกลง นี่ฉันเก่งถึงขนาดอ่านสายตาคนออกแล้วเหรอ พูดบ้างได้ไหมให้อ่านสายตาอยู่ได้
“กินแทบทุกวันเลยค่ะ นี่ร้านโปรดถ้าพี่ดินสุดหล่อจะมาก็ชวนพวกเรามาได้เลยค่า หรือจะมากับซูซี่แค่สองคนก็ได้นะคะ คิคิ” ซูซี่ตอบไป
ด้วยกิริยาเกินงามตามประสาตุ๊ดน้อย ท่าทางแบบนี้เรียกว่าอะไรนะ ดี๊ด๊าล่ะมั้ง
“ถ้ามาสองคนกับน้องซูซี่พี่มาคนเดียวดีกว่า ฮ่าๆ”
“พี่ดินอะ”
“เอ่อ...พอดีไม่รู้ว่าพวกพี่มานั่งด้วยเลยไม่ได้เอาแก้วมาเผื่อดะเดี๋ย...ว” ฉันว่าและกำลังจะลุกขึ้นเพื่อไปเอาแก้วมาให้พี่เขาเพิ่ม ก็มันทำตัวไม่ถูกกับสายตาที่มองมาหาทางนี้ดีกว่า สักแป๊บก็ยังดี
“ไม่เป็นไรครับๆ เดี๋ยวพี่ไปเองดีกว่า” พี่ดินพูดขัดพร้อมกับลุกขึ้นออกไป
“เดี๋ยวซูซี่ไปช่วยแบก เอ๊ย! ช่วยถือแก้วนะค้า” ว่าแล้วนางก็รีบเดินตามไป
คราวนี้ทั้งโต๊ะก็เงียบขึ้นมาทันที เพราะมีคนเงียบทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกัน ไม่มีใครเริ่มบทสนทนาอะไร เอาจริงฉันก็รู้สึกขัดเขินยังไงก็ไม่รู้
“ถ้าจะมา...” และอยู่ดีๆ เขาก็พูดขึ้น
“……..”
“ชวนฉันก็ได้”
อืมม...นี่ช็อกครั้งที่เท่าไรแล้วนะ