“ว่าไง...มันเป็นใคร” เขาถามย้ำมาอีกที
“เอ่อ...ก็เป็นรุ่นพี่ปีสามเรียนโยธา”
ถ้าจะให้พูดจริงๆ มันไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ ฉันกับพี่เขาไม่ได้คุยอะไรมาก แถมพึ่งจะรู้จัก เอ่อ...เรียกว่ารู้จักได้รึเปล่านะ แต่ก็นั่นแหละ ไม่รู้ว่าภาพที่เขาเห็นมันเป็นยังไง ถึงได้มีอาการหงุดหงิดแบบนี้
“รู้จักกัน?” น้ำเสียงของเขาก็ยังไม่ได้ลดระดับความดุดันลงเลย
“ก็ไม่เชิงรู้จัก พึ่งคุยกันตอนรับช็อปนี่แหละ” ฉันปฏิเสธและอธิบายไปด้วยเลย แล้วนี่เขาจะขับรถไปไหนกัน ฉันก็ตามเขามาโดยที่ไม่ได้ถามอะไร
“แล้วทำไมต้องคุยเหมือนสนิทกับมัน”
ทำไมต้องดุด้วย อย่าบอกว่าที่หงุดหงิดแล้วพาลมาโกรธใส่ฉันนี่ เป็นเพราะแค่ฉันคุยกับพี่เขาหรอกเหรอ แล้วนี่ฉันไปคุยแบบคนสนิทกับพี่กายตอนไหนกัน นี่พูดด้วยไม่กี่คำเถอะ เขาคิดไปไกลแล้ว
“ที่เฮียเห็นมันดูสนิทกันเหรอ ฉันพูดไปไม่กี่คำเองนะ ไม่เกินสิบคำด้วยซ้ำ สาบานได้”
ใช่ เท่าที่จำได้คือพูดแทบจะนับคำได้เลย แต่ไม่รู้ว่าเพราะการยิ้มแย้มเวลาคุยของพี่เขา ตอนที่คนนอกมองมามันทำให้ดูเหมือนสนิทกันหรือเปล่า
แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากให้เขาเอาเรื่องอะไรไม่รู้มาหงุดหงิดทั้งๆ ที่มันไม่มีอะไรเลยจริงๆ และฉันก็ทำในสิ่งที่คิดว่ามันอาจจะทำให้เขาเย็นลงได้นอกเหนือจากคำอธิบายแล้ว ด้วยการยื่นมือข้างขวาไปจับมือข้างซ้ายของเขาที่วางอยู่มากุมไว้
เขาขับรถมือเดียวน่ะและเขาก็ไม่ได้ขัดขืนนะ ยอมให้ฉันจับมือมากุมไว้ ดูเหมือนว่ามันจะได้ผลล่ะ เพราะนอกจากไม่ว่าอะไรเขาก็กระชับมือข้างที่ฉันจับไว้ขึ้น เพื่อให้มันแน่นกว่าเดิมและเป็นเขาที่เปลี่ยนมากุมมือฉันแทน
“ก็เธอกับมันใกล้กัน....” ก็เพราะฉันเตี้ยกว่า เขาเลยต้องก้มมาหาไง
“…”
“มันยิ้มให้เธอ...แล้วเธอก็ยิ้มให้มัน” เขาลดความขุ่นมัวและระดับเสียงลง คงเริ่มจะเข้าใจแล้วสินะ
เปลี่ยนจากน้ำเสียงดุๆ มาเป็นน้ำเสียงที่อยู่ในระดับเกือบปกติ แล้วสีหน้าของเขาตอนนี้ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้หันมาให้เห็นตรงๆ มาแต่ฉันก็เห็นว่าแก้มเขามันป่องๆ ผิดปกติ เหมือนอาการของคนงอน
นี่เขางอนเป็นด้วยเหรอ น่ารักแฮะ ไม่เคยเห็นมุมนี้มาก่อนเลย
ว่าแต่เขาเปลี่ยนอารมณ์เร็วไปหรือเปล่าทำไมหายง่ายจัง เขางอนที่ฉันยิ้มให้คนอื่นใช่ไหม ฉันไม่ไหวแล้วนะทำไมน่ารักอย่างนี้ อยากจะถ่ายเก็บไว้จริงๆ เลย ฉันว่าต้องไม่มีใครเห็นมุมนี้ของเขาแน่ๆ
“ยิ้มแบบนี้เหรอออออ” ฉันใช้มือข้างที่ว่างยื่นไปยืดแก้มของเขาให้เหมือนกับกำลังยิ้มอยู่ ฮ่าๆ ตลกหน้าเขาจัง ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อให้เขาเลิกงอนเลิกหงุดหงิดเลิกโกรธและลืมๆ ไป เปลี่ยนมาคิดเรื่องอื่นแทน
“เพื่อนเล่น?” เหมือนจะทำสำเร็จ เขาหันมาดุนิดหน่อย ถึงหน้าเฮียจะแบดแต่พอเห็นแก้มป่องๆ ของเฮียแล้วมันสวนทางกันเหลือเกินในตอนนี้
ฉันไม่กลัวหรอกนะ และถึงเขาจะทำเป็นดุ แต่เขาก็ยังยอมให้ฉันดึงแก้มเล่นเหมือนเดิม มันนุ่มจริงนะยังกะก้นเด็กแหนะ นี่ถ้าไม่ได้จับด้วยตัวเองจะไม่เชื่อเลย
“เล่นไม่ได้เหรอ ให้เล่นหน่อยนะ” ฉันพูดเป็นเชิงออดอ้อนเขาไป พร้อมกับยกมือข้างที่จับมือเขาไว้ขึ้นมาถูกับแก้มตัวเอง แต่มืออีกข้างก็ยังดึงแก้มเขาอยู่นะ ไม่ปล่อยหรอก นานๆ ทีจะได้โอกาสแกล้งเขา นี่ฉันเล่นใหญ่ไปไหมนะ ฮ่าๆ
“เล่นได้ แต่มีข้อแม้...” เหมือนเขาจะชอบที่ฉันอ้อนด้วยแหละ แอบเห็นยิ้มน้อยๆ
“ว่า?”
“เล่นแล้ว...ต้องหอมแก้มเป็นการตอบแทน” เขาหันมาพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์สายตาเป็นประกาย ฉันรีบปล่อยแก้มเขาแล้วเก็บมือกลับมาอย่างรวดเร็ว ทีอย่างนี้พูดยาวเชียวนะ พอเป็นเรื่องอะไรที่ตัวเองได้ผลประโยชน์ หาประโยชน์ให้ตัวเองเก่งจริง แต่อย่าหวังว่าจะทำเลย
ถึงเราจะคุยกันมาได้สักพักแล้ว แต่พวกเรื่องถึงเนื้อถึงตัวนี่มีน้อยครั้งมาก อย่างมากสุดก็แค่จับมืออย่างที่จับอยู่ตอนนี้ ที่จับแก้มเขาไม่นับนะ ส่วนเรื่องอื่นเลิกคิดไปได้เลย
แต่ไม่ต้องคิดว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษนะ คำนั้นไม่มีในพจนานุกรมของเขาแน่นอน เวลาเจอกันเขาคอยพยายามจะจุบจิบอยู่เรื่อย จับตรงนั้นแตะตรงนี้ด้วยหน้ามึนๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติ
เห็นบุคลิกนิ่งเงียบแบบนี้มือปลาหมึกที่สุด แต่ฉันก็ไม่ยอมให้เขาทำได้หรอก ถ้าอะไรที่เริ่มจะมากไปในตอนนี้ อย่างการทำมาเป็นเข้าใกล้จะกอดหรือโอบฉันก็หยุดเขาได้ตลอด เล่นตัวนะบอกไว้ก่อน
“ไม่เล่นแล้ว” ว่าแล้วก็หันไปมองนอกรถ เพื่อเป็นการเมินคำพูดของเขา ทำเป็นไม่สนใจไป เดี๋ยวเขาเลิกเองล่ะมั้ง
“เล่นไปแล้ว...”
“…”
“ยังไงก็ต้องหอม” ยัง ยังไม่หยุดย้ำอีก จะให้ฉันหอมแก้มตัวเองให้ได้เลย
ฉันกลับมาสนใจเขาแล้วบอกถึงความคิดตัวเองไป
“ฝันไปเถอะ” กลับไปนอนหลับตาแล้วฝันหวานเอานะคะ
“ไม่ฝันหรอก” ยังจะไม่จบง่ายๆ ใช่ไหม เดี๋ยวก็ทำให้สมใจอยากซะเลย
ไม่อยากจะเล่นตัวมากหรอกนะ แต่ก็ไม่ได้อยากให้มันง่ายเกินไป อะไรที่มันได้มาง่ายๆ พอนานไปมันมักจะไม่สำคัญ ถ้ามันยากเขาก็จะยิ่งพยายามมันจะได้ดูมีความสำคัญไง และในเมื่อก็ได้คุยกันมาแล้ว ฉันก็ไม่ปล่อยเขาไปไหนหรอกนะ ถ้าเขาหนีฉันจะจับเขาไว้เอง ฮ่าๆ
“พูดมาก”
“หึ**” หัวเราะเจ้าเล่ห์อีกแล้ว เอาใจช่วยฉันด้วยนะทุกคน
“แล้วนี่เรากำลังจะไปไหน”
ด้วยความสงสัยฉันก็ถามเขาไป คือเขาก็ขับรถมาตั้งนานแล้ว ยังไม่ยักจะถึงจุดหมายปลายทางสักที ตอนนี้ฉันก็หิวมากๆ แล้วด้วย มันเริ่มจะดึกแล้วนะ
ตั้งแต่ก่อนเริ่มงานจนถึงตอนนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องฉันเลย อ๋อ ลืมไปได้เลยนะว่าฉันจะลดหุ่น งดกินดึกอะไรแบบนั้น หิวก็ต้องกินเป็นปกติ แต่ที่ฉันกินแบบนี้ได้เป็นเพราะว่ากินอะไรก็ไม่อ้วนต่างหากล่ะ บวกกับที่ออกกำลังกายค่อนข้างบ่อย ทำให้เรื่องหุ่นกับเรื่องกินยังไปกันได้
“ไม่รู้ ตอนนั้นหงุดหงิด...เลยขับมาเรื่อยๆ”
“อ้าว งั้นตอนนี้เลิกหงุดหงิดแล้วก็มีจุดหมายปลายทางได้แล้วค่า หิวววว” งงกับเขาจริงๆ
“อือ...มีขนมปังอยู่เบาะหลัง”
“…”
“รองท้องก่อน เดี๋ยวพาไปกินข้าว” ฉันหันกลับไปมองที่เบาะหลังตามที่เขาบอกพิกัดทันที เรื่องกินฉันไวอยู่แล้ว แต่เพราะความมืดในรถ ฉันเลยมองไม่เห็นว่าขนมปังอยู่ตรงไหน และเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าฉันหาไม่เจอ
“ลืม...ทิ้งไปแล้ว”
“ห๊า!? อะไรของเฮียเนี่ย” สิ้นคำพูดของเขาฉันก็เลิกหา และขยับตัวกลับมานั่งตามเดิม อะไรของเขากัน ตอนแรกบอกมีตอนนี้บอกลืมว่ามี ทิ้งไปแล้วทิ้งทำไม หมดอายุเหรอ
“ตอนแรกซื้อไว้ให้...คิดว่าเธอต้องหิว” อ๋อ เขาซื้อไว้ให้ฉันนี่เอง ทำไมน่ารักอย่างนี้ นี่วันนี้ฉันชมเขาว่าน่ารักไปกี่ครั้งกันนะ รู้ดีจริงๆ เลยว่าฉันต้องหิว
“แล้วทิ้งไปทำไม เสียดายนะ” ของกินทำไมต้องทิ้งกัน ฟังแล้วเจ็บปวด
“เพราะเธอนั่นแหละ”
แล้วฉันไปทำอะไรอีก นี่ความผิดฉันมันมีเป็นร้อยเลยรึไง ฉันยกมือกุมขมับเพราะปวดหัวไปกับเขา