ฉันกลับบ้านดึกมาก ดูหนังกันตอนสามทุ่มกว่าหนังจะจบกว่าจะชวนกันไปหามื้อดึกกินจนเรียบร้อนตอนนี้ก็ตีหนึ่งกว่า ๆ แล้วค่ะ เกรงใจเจ้าของบ้านเหมือนกันนะแต่นี่เป็นครั้งแรกที่กลับบ้านดึกพี่เขาคงไม่ว่าอะไรมั้ง
อีกอย่างพี่เขากลับบ้านดึกมาหลายวันติดกันแล้วด้วย ไม่น่าจะเป็นอะไรเขาคงไม่ได้ต้องการเพื่อนตอนดึก ๆ หรอก ^^ ป่านนี้คงหลับปุ๋ยฝันถึงคนของใจไปหลายสิบรอบแล้วมั้ง
กริ๊ก~
ถึงจะรู้ว่าเจ้าของบ้านคงนอนแล้วแต่ฉันก็ต้องทำทุกอย่างให้เงียบที่สุดอยู่ดีเพราะเกรงใจเขา ปิดประตูเงียบ ๆ แล้วก็เดินเหมือนนักย่องเบาเพื่อตรงไปที่บันไดโดยที่ไม่เปิดไฟแม้แต่ดวงเดียว
“ทำตัวเหมือนขโมยกำลังขึ้นบ้าน”
“ว้าย!!!” ฉันร้องลั่นบ้าน ลั่นแบบหัวใจจะวายตายให้ได้ไปเลยจริง ๆ ใจเต้นรัวขาก็สั่นไปหมด ฉันกรี๊ดลั่นแล้วเอามือกุมหัวใจตัวเองไว้ก่อนที่เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง
“ตกใจอะไรนี่พี่เอง”
ขวับ!
ฉันหันไปตามเสียงนั้น มันมืดเพราะสายตายังปรับกับความมืดไม่ได้แต่ไม่นานก็เห็นเงาลาง ๆ ของเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่ตรงโซฟาขนาดใหญ่ กล้าถามนะว่าตกใจอะไร!
“ปะ ไปนั่งทำอะไรมืด ๆ ตรงนั้นคะ” ฉันยังเสียงสั่นเพราะไม่หายตกใจเขาที่นั่งเงียบก็ไม่ได้ขยับตัวเลย
“นั่งเล่น”
“คะ? นั่งเล่นเหรอ?” นั่งเล่นดึก ๆ มืด ๆ เงียบ ๆ ตรงนี้นี่นะ? เป็นอะไรหรือว่า...อกหักเหมือนวันนั้น
“อื้ม เราล่ะไปไหนมาทำไมวันนี้กลับดึก” เสียงเขาราบเรียบแต่ก็แอบดุนิดหน่อย ก็สมควรจะดุล่ะมาอยู่บ้านเขาไม่ได้มาอยู่เฉย ๆ แต่มารับจ้างไงแล้วดันกลับบ้านเขาดึกดื่นนายจ้างที่ไหนจะไม่ดุ
“เอ่อ ปิ๊งขอโทษนะคะพอดีปิ๊งไปดูหนังกับเพื่อนมา”
“เพื่อนหรือแฟน”
“คะ?” ทำไมถามแบบนี้ล่ะ อย่าถามว่าเพื่อนหรือแฟนด้วย้ำเสียงแอบดุได้ไหมเพราะคนฟังที่หัวใจไม่แข็งแรงได้ยินแล้วมันคิดดีไม่ได้เลย
“พี่แกล้งถามเล่นเฉย ๆ ไม่มีอะไนหรอก ไปดูหนังเรื่องอะไรล่ะ”
“เรื่อง XXX ค่ะ” ชื่อเรื่องที่บอกคือหนังที่เกี่ยวกับเจ้าหญิงค่ะ เป็นเจ้าหญิงในเทพนิยายขวัญใจเด็กสาวหลายคน
“สนุกไหม”
“สนุกค่ะ ไม่รู้ว่าพี่พฤกษ์รู้จักไหม แต่ปิ๊งว่าพี่พฤกษ์คงไม่รู้จักแน่เลยเพราะมันเป็นแนวเจ้าหญิงในเทพนิยาย” แมน ๆ แบบพี่เขาคงไม่รู้จักชัวร์
“รู้จักครับ”
“คะ? รู้จักเหรอคะ”
“อื้ม ตอนแรกก็ไม่รู้จักหรอกแต่วันนี้เห็นคนรู้จักไปดูแล้วเขาโพสเลยรู้จัก”
“อ่อ” อย่างนี้นี่เอง
“เราไปนอนเถอะพี่ไม่กวนแล้ว วันหลังจะกลับดึกก็โทรหรือส่งข้อความบอกพี่หน่อยแล้วกัน กลับดึกแบบนี้พี่เป็นห่วง”
“...” พี่เขาบอกว่าเป็นห่วงเหรอคะ เป็นห่วงแบบไหนกันนะ แบบพี่ชายน้องสาวหรือแบบนายจ้างกับลูกจ้าง แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ไม่ใช่แบบที่ฉันต้องการอยู่ดี บอกตรง ๆ นะว่าคำว่าเป็นห่วงของเขาฉันไม่ดีใจเลย มันห่อเหี่ยวยังไงก็ไม่รู้ โลภดีเนอะได้คืบจะเอาศอกทั้งที่สถานะของตัวเองมันไม่สมควรคาดหวังอะไรเลย ^^
“แล้วพี่พฤกษ์ไม่นอนเหรอคะ”
“อีกสักพัก” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาสั้น ๆ เบา ๆ แต่ทำไมได้ยินแล้วไม่สบายใจจังเลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงสงสัยว่าเป็นอะไรแต่คงไม่เซ้าซี้ แต่ตอนนี้ตอนที่ชอบเขามาก ๆ มันเลยทำให้ฉันไม่สามารถปล่อยผ่านความรู้สึกของเขาได้
“อยากให้นั่งเป็นเพื่อนไหมคะ”
“ไม่เป็นไร ไปนอนเถอะ”
“แต่... / ไปเถอะ พี่อยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียว” ฉันถูกปฏิเสธ ไม่สิ เรียกว่าถูกไล่อยากสุภาพต่างหาก
“...ค่ะ ฝันดีนะคะ” ^^
ฉันบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่สดใสแต่ใครจะรู้ว่าความรู้สึกข้างในไม่ใกล้เคียงกับน้ำเสียงที่เอ่ยออกไปเลยสักนิด
...น้ำตาตกใน
ฉันกำลังอยู่ในอาการนี้เลยค่ะ เพิ่งรู้ว่าน้ำตาตกในมันเป็นยังไงก็วันนี้ล่ะ
ไปเถอะปิ๊งรัก อยู่เป็นเพื่อนแค่ตอนที่นายจ้างต้องการให้อยู่ก็พอแล้ว แค่มาอยู่เป็นเพื่อนร่วมบ้านให้เขาไม่เหงาเฉย ๆ อย่าลืมสิ แกแค่รับจ้างอยู่เป็นเพื่อนให้เขาไม่เหงาไม่ได้มารับจ้างอยู่เพื่อให้เขาสบายใจซะหน่อย ^^
-เวลาต่อมา-
...03.45 น.
“...” ผมยังนั่งอยู่ที่เดิม ดื่มเหล้าไปเรื่อย ๆ ยิ่งเงียบยิ่งทำให้กระดกถี่ขึ้นแต่แปลกที่วันนี้ไม่เมาเหมือนเมื่อหลายวันก่อน คงเป็นเพราะวันนั้นผมไม่มีเรื่องหนักใจมั้งครับพอดื่มเยอะ ๆ เพราะเพลินกับการพูดคุยก็เลยเมาไม่รู้ตัวแต่วันนี้ผมนั่งดื่มพร้อมกับเรื่องบางอย่างในสมองที่รับรู้ตั้งแต่ช่วงสามทุ่ม ความคิดมันคอยตอกย้ำให้ผมไม่สบอารมณ์อยู่ตลอดเวลาก็เลยทำให้ผมไม่ยอมเมาง่าย ๆ
Preme มาดูเจ้าหญิงกับคุณปิ๊งร้าก~
ผมไม่รู้จักเจ้าหญิงในเทพนิยายเลยแม้แต่ตัวละครเดียว ก็เคยเห็นรูปเคยได้ยินชื่อบ้างเหมือนกันแต่ถ้าให้ชี้ว่าตัวไหนเป็นตัวละครชื่ออะไรจากเรื่องอะไรบอกตรง ๆ ว่าผมไม่รู้แล้วก็เพิ่งรู้ว่ามีหนังเรื่องนี้เข้าฉายตอนที่ น้องสะใภ้ ของผมโพสนี่ล่ะแต่เรื่องหนังหรือเรื่องที่น้องสะใภ้ของผมไปดูหนังมันไม่สำคัญเท่าเพื่อนที่ไปกับเธอแม้แต่นิดเดียว
ทั้งชื่อทั้งหน้าตาที่ถ่ายรูปคู่กันหน้าโรงหนังมันชัดเจนที่สุดว่าพรีมสนิทกับปิ๊งรักแค่ไหน
แค่เห็นหน้าเธอผมก็รู้แล้วว่าผมพลาด ทำไมผมถึงไม่สืบประวัติของเธอวะว่าเธอรู้จักกับคนที่ผมแอบรักมานานเป็นปี ๆ รึเปล่า!
-เช้าวันต่อมา-
“อ้าว พี่พฤกษ์ไม่ไปทำงานเหรอคะ” ผมเดินมาที่ห้องครัวในตอนเช้าอีกคนที่อยู่ในชุดนักศึกษาก็เอ่ยถามทันทีที่เห็นผม คงเพราะผมยังอยู่ในชุดนอนมั้งครับ แต่ความจริงผมยังไม่ได้นอนเลยทั้งคืนเพราะหงุดหงิดจนนอนไม่หลับ
“เดี๋ยวเข้าไปสาย ๆ”
“อ้อ จะกินอาหารเช้าไหมคะ”
“ครับ กินเลยก็ดี” ผมพยักหน้ารับแล้วมองไปที่โต๊ะอาหาร เห็นว่ายังไม่มีแก้วกาแฟก็เดินไปชงกาแฟให้ทั้งตัวเองและของเธอ
...อเมริกาโน่ไม่ใส่น้ำตาลของผมกับลาเต้ร้อนของเธอ
“ขอบคุณค่ะ” ^^
ปิ๊งรักขอบคุณทันทีที่ผมถือแก้วกาแฟมาวางให้ส่วนเธอก็กำลังจัดโต๊ะอาหารเช้าให้เรียบร้อย
“ครับ” ผมเลื่อนเก้าอี้นั่งลงส่วนเธอก็เดินกลับไปที่เค้าท์เตอร์ของครัวฝรั่ง หยิบขนมปังกับไข่ลวกมาวางให้ผมจากนั้นเธอก็นั่งลงบ้าง ส่วนผมก็จ้องไข่ลวกในแก้วใส ๆ ที่ลวกได้พอดีและผมชอบฝีมือการทำไข่ลวกของเธอมาก ชอบจนถึงการเหยาะซอสกับพริกไทยให้ด้วยซ้ำ เธอเหยาะมาให้แค่ไหนผมก็กินเลยไม่มีใส่เพิ่มเพราะมันพอดีมากแล้ว เมื่อก่อนผมไม่ชอบกินเลยแต่พอได้กินเพราะเธอทำให้ชิมแล้วติดใจจนต้องบอกเธอว่าวันไหนทำอาหารเช้ารบกวนลวกไข่เผื่อผมด้วย
ถ้าในอนาคตมีเมียแล้วเมียลวกไข่ได้ถูกปากแบบนี้ล่ะก็เมียของผมคงต้องลวกให้กินวันละสิบฟอง หึ ๆๆ แต่คงอีกนานเพราะผมยังไม่คิดจะอยากเปิดใจให้ใคร จะเปิดใจใหม่ได้ยังไงในเมื่อประตูบานเก่ายังปิดไม่ลงเลย...
“วันนี้พริกไทยน้อยไปหน่อยนะคะ พริกไทยหมดเดี๋ยวเย็นนี้ปิ๊งแวะซื้อค่ะ จะซื้อของเข้าบ้านพอดี” เธอรีบบอกผมก็พยักหน้ารับ
“เดี๋ยวเอาบัตรพี่ไปใช้”
“คะ? บัตรอะไรคะ”
“บัตรเครดิตไง จะซื้อของเข้าบ้านไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่เงินที่พี่พฤกษ์ให้มาก็เยอะแล้ว เหลือเฟือค่ะ” ^^ ผมดูออกว่าคนตรงหน้าเกรงใจจริง ๆ พอสนิทกันมากขึ้นถึงหลายครั้งเธอจะเผลออ้อนตามประสาแต่ก็ยังเกรงใจ
“คนละส่วนกัน กินข้าวเสร็จก็รอก่อนเดี๋ยวพี่ขึ้นไปหยิบให้”
“แต่... / อย่าดื้อ”
“โอเคค่ะ เจ้านายใจดีจัง” ^^
“หึ ๆๆ หล่อด้วย”
“โหย~ อันนี้ไม่เถียงเลยค่ะ หล่อมาก~” ปิ๊งรักได้ทีชมผมตามประสาของเธอก่อนที่คนตรงข้ามจะลงมือกินอาหารเช้าเพราะเธอต้องไปเรียนต่อ
“ปิ๊ง”
“คะ” ปิ๊งรักที่กำลังเคี้ยวข้าวผัดจนแก้มตุ่ยขานรับแล้วก็มองผมตาแป๋ว
น่ารักดีครับ เป็นเด็กที่น่ารักสดใสตามวัยของเธอเลยแถมระยะหลังที่มาอยู่กับผมแล้วไม่ต้องโหมทำงานหนักทุกเสาร์อาทิตย์หน้าตาเธอยังดูสดใสกว่าช่วงแรงที่เจอกันด้วยถึงช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเธอจะดูเหมือนคนมีเรื่องไม่สบายใจก็ตามแต่ก็ยังดูสดใสกว่าเมื่อก่อนอยู่ดี
“มีใครรู้เรื่องที่มาอยู่กับพี่รึเปล่า” ผมเอ่ยถามในเรื่องที่สงสัย ไม่สิ เป็นเรื่องที่ไม่สบายใจต่างหาก
“คะ?” คนโดนถามทำหน้างงขึ้นมาทันที
“มีใครรู้ว่าเรามาอยู่กับพี่รึเปล่าไง”
“ไม่มีค่ะ” ปิ๊งรักได้ยินคำถามอีกครั้งเธอก็ตอบทันที
“ไม่มีเลยเหรอ”
“ไม่ค่ะ”
“แล้วได้บอกใครรึเปล่าว่าได้งานพิเศษ”
“ไม่นะคะ” ปิ๊งรักส่ายหน้าตอบด้วยแววตาใสซื่อของเธอ อาการแบบนี้ไม่โกหกแน่นอนแต่ผมก็ยังแปลกใจอยู่ดี
“กับเพื่อนสนิทก็ไม่ได้บอกเลยเหรอ” ผมถามอีกครั้งปิ๊งรักก็ขมวดคิ้วนิดหน่อยแล้วส่ายหน้าอีกรอบ
“ไม่เลยค่ะ”
“ทำไมล่ะ ปกติไม่เม้าท์กับเพื่อนเหรอ”
“ไม่นะคะ งานแบบนี้จะไปบอกใครทำไมคะ บอกไม่ได้หรอกค่ะไม่มีใครเชื่อหรอกว่าแค่มาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าของบ้านเฉย ๆ ยิ่งกับเพื่อนสนิทนี่ยิ่งบอกไม่ได้เลยเพื่อนปิ๊งด่าแน่ที่มาอยุ่บ้านผู้ชายที่เพิ่งรู้จัก ทำไมอยู่ดี ๆ ก็ถามเหรอคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่ห่วงชื่อเสียงเรา ไม่อยากให้เราเสียหาย”
“อ่อ ถ้าเรื่องนั้นพี่พฤกษ์ไม่ต้องห่วงเลยค่ะปิ๊งไม่ได้บอกใครเลยแม้แต่คนเดียว ขนาดเพื่อนที่สนิทที่สุดยังไม่รู้เลยค่ะ” ^^
“อื้ม ดีแล้ว ไม่ต้องบอกใครแบบนี้ล่ะดีที่สุด มันดีกับตัวเรา อย่าไว้ใจใครเพราะคนที่เสียหายมันคือเราคนเดียวเข้าใจไหม” ผมบอกเธอด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยทำให้ปิ๊งรักที่มองและฟังผมพูดอย่างตั้งใจยิ้มออกมาแล้วพยักหน้ารับ
“ค่ะ ปิ๊งไม่บอกใครหรอก ขอบคุณที่พี่พฤกษ์ห่วงปิ๊งนะคะ” ^^
“ครับ” ผมยิ้มรับแล้วมองเธอที่ก้มหน้ากินข้าวเช้าต่อด้วยความรู้สึก...โล่งใจ
มันดีกับเธอเพราะเธอจะไม่เสียหาย และมันก็ดีกับผมด้วย ถึงผมจะไม่มีทางสมหวังกับคนในใจแต่ผมก็ไม่อยากให้เธอรู้ว่าผมเคยอยู่บ้านเดียวกันกับเพื่อนสนิทของเธอเองเพราะคงไม่มีใครเชื่อหรอกว่าผู้หญิงผู้ชายที่อยู่บ้านด้วยกันสองต่อสองนานสามเดือนจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน ผมไม่อยากให้เธอคิดว่าผมเกินเลยกับเพื่อนสนิทของเธอทั้งที่ความจริงผมไม่ได้คิดอะไรกับเด็กคนนี้ ในใจผมมีแต่เธอคนเดียว มีแค่น้องพรีมและผมก็ไม่รู้ว่าจะอีกนานแค่ไหนที่ผมจะยังมีเธอคนนั้นอยู่ในหัวใจ...