บทที่ 1
สตรีเซ่นสังเวย
เกลียด!
หัวใจหน่วงหนึบหนักอึ้งราวกับคนที่กำลังจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งแห่งห้วงมหาสมุทร อึดอัดแทบหายใจไม่ออก ปวดร้าวไปทั้งกระบอกตาพยายามกลั้นหยาดน้ำตาไม่ให้หลั่งริน อีกทั้งเวลานี้หัวสมองยังมึนงงสับสนด้วยไม่เข้าใจว่าสิ่งใดคือความจริงสิ่งใดคือความฝัน
อยากหลอกตัวเอง...
ให้เชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินและพบเจอเป็นเพียงแค่ฝันร้าย ทว่าภาพเสียงกลับกระจ่างชัดเสียเหลือเกิน
“เช่นนั้นข้าก็หวังว่าคุณชายจ้าวจะไม่ลืมเรื่องสัมปทานป่าไม้ที่เคยคุยกันเอาไว้นะขอรับ”
หลิวเทียนฉินเอ่ยย้ำอีกคราราวกับกลัวว่าว่าที่บุตรเขยจะหลงลืมคำสัญญาที่เคยให้เอาไว้ หากว่าคุณชายรองแห่งสกุลจ้าวผู้นี้ไม่ได้ผูกสมัครรักใคร่อยู่กับเม่ยเอ๋อร์ อีกทั้งยังมีผลประโยชน์ในภายภาคหน้าหากได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน มีหรือที่เขาจะยอมแพร่งพรายเรื่องมังกรดำให้อีกฝ่ายรู้
แรกทีเดียวเขาคิดว่าตำนานการประสาทพรจากมังกรดำนั้นเป็นเพียงนิทานปรัมปราที่บอกกล่าวกันปากต่อปากภายในตระกูล แต่เมื่อเขาได้พบแผนที่ลับและบันทึกการบูชายัญภายในสุสานบรรพชน จึงได้ออกเดินทางตามแผนที่จนพบกับถ้ำร้างในป่าลึก ณ เทือกเขาลู่หลิ่ง สถานที่ซึ่งวิญญาณมังกรดำสิงสถิตมานับพันปี
ทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าสกุลเซี่ยจะได้รับพรอันแสนวิเศษ หากบูชายัญด้วยหญิงสาวพรหมจรรย์ผู้มีสายเลือดเดียวกับผู้ประกอบพิธี และหญิงพรหมจรรย์ผู้นั้นจะต้องมีสายสัมพันธ์อันดีต่อผู้ประกอบพิธีเพื่อที่จะทำให้พรที่ได้รับการประสิทธิ์ประสาทส่งผลสำฤทธิ์อย่างดีเยี่ยม
เขาจึงเรียกภรรยา บุตรชาย และ บุตรีมาปรึกษาหารือ แล้วก็ลงความเห็นว่าสวรรค์คงจะเมตตาตระกูลหลิวเป็นแน่แท้ เขาจึงยังคงเลี้ยงดูบุตรนอกสมรสที่เกิดจากสาวใช้เอาไว้ในจวนแทนที่จะขายนางให้เป็นทาสตามที่ภรรยาเคยเอ่ยปากขอ ด้วยไม่อยากเห็นเลื้อดเนื้อเชื้อไขของมารหัวใจตำตาตำใจอยู่ในเรือน
ทว่าเทียนฉินกลับมีความคิดว่าจะเลี้ยงดูนางไว้เพื่อส่งไปเป็นอนุภรยาของเหล่าคหบดีจะได้ช่วยส่งเสริมต่อเงินต่อทองให้มีมากยิ่งๆ ขึ้นไป
ใครเลยจะคิดว่าการเก็บนางเอาไว้ในวันนั้นจะมีประโยชน์ในวันนี้ ราวกับทุกอย่างได้ถูกลิขิตเอาไว้หมดแล้วเสียกระนั้น
เมื่อ ‘ซูลี่’ คือคำตอบ
ทุกคนจึงเริ่มแผนการทำดีต่อหลิวซูลี่เพื่อให้สตรีเซ่นสังเวยตายใจ ยอมแม้กระทั่งยื่นขอจดทะเบียนต่อทางการรับรองนางเป็นบุตรบุญธรรมเพื่อให้นางหลงเชื่อโดยไม่มีสิ่งใดมากังขา
ทั้งทำดี ทั้งเอาอกเอาใจ พะเน้าพะนอราวกับไข่ในหิน เพื่อให้ได้มาซึ่ง ‘ความรัก’ อันเป็นเชื้อเพลิงสำคัญในการประกอบพิธีบูชายัญ
ทว่าบุตรสาวของเขากลับปากสว่าง เผลอบอกความลับนี้แก่ ‘จ้าวหยางปิน’ ชายคนรัก ดังนั้นเขาจึงต้องยอมให้ชายหนุ่มเข้ามามีส่วนร่วมในแผนการอย่างเสียไม่ได้ ส่วนหนึ่งเพราะผลประโยชน์ที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้ อีกทั้งหากเขามีบุตรเขยเป็นถึงเจ้าเมือง อำนาจของเขาก็คงมากล้นจนเหล่าขุนนาง คหบดี ในเมืองชิวจำต้องยอมก้มหัวศิโรราบให้อย่างไม่อาจขัดขืน
“แน่นอนขอรับท่านพ่อ นอกจากนี้ข้ายังวางแผนเอาไว้ว่าจะให้ท่านพ่อได้ขึ้นเป็นผู้นำสำนักการค้าแห่งเมืองชิวอีกด้วย”
ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ประมุขหลิวได้ยินว่าที่บุตรเขยเอ่ยเอาใจเช่นนั้นก็ถึงกับหัวเราะชอบใจ
“ที่ผ่านมาทุกคนคงเหน็ดเหนื่อยกันมามากพอแล้ว ต่อไปพวกเราจะได้สุขสบายกันเสียที”
ฮูหยินหลิวเอ่ยขึ้นบ้างอย่างอารมณ์ดี กวาดตามองบุตรชายบุตรสาวและบุตรเขยอย่างมีความสุข แค่คิดถึงช่วงเวลาที่ตระกูลหลิวรุ่งโรจน์เหนือตระกูลใดๆ นางก็แสยะยิ้มที่มุมปากอย่างมีความหวัง ก่อนที่สามีจะเดินเข้ามาโอบกอดภรรยาอย่างเอาอกเอาใจ
“ขอบใจนะอาเจิน ที่เจ้ายอมทำตามคำร้องขอของข้า ไม่ขายนางให้ไปเป็นทาสเสียก่อน”
“ข้าเกลียดชังนางเจ้าค่ะท่านพี่ ยอมรับเลยว่าไม่ชอบใบหน้า ไม่ชอบแววตา ไม่ชอบน้ำเสียงของนาง เพราะนางเหมือนนังชิงเถาแม่ของมันราวกับถอดแบบกันออกมา แต่เพื่อท่านพี่ เพื่อครอบครัวของเรา ข้าเองก็จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนสนิทสนมกับนังเด็กชั้นต่ำมาถึงสองปี ครานี้จะได้กำจัดมันให้พ้นหูพ้นตาเสียที ข้าไม่อยากให้มันเหยียบย่างอยู่ในจวนของเราแม้เสี้ยวอึดใจเดียว”
ดั่งมีสายฟ้าฟาดลงตรงหน้า!
หลิวซูลี่เจ็บปวดกับถ้อยคำเหล่านั้นจนเผลอร่ำไห้ออกมา ไม่อาจฝืนแรงสะอื้นฮักจนเรือนกายสั่นเทิ้ม และนั่นทำให้ฮูหยินหลิวเหลือบมาเห็นพอดี
“ฟื้นแล้วหรือนังซูลี่!”
ราวกับถูกน้ำเย็นราดรด ท่าทางและน้ำเสียงของฮูหยินหลิวฉายชัดว่าเกลียดชังนางอย่างไม่คิดจะปิดบัง ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทำอีกต่อไปแล้ว
“ท่านแม่ไม่เคยรักข้าเลยหรือเจ้าคะ”
หญิงสาวร้องถามออกไปอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน และเฝ้ารอที่จะให้กลุ่มคนตรงหน้าบอกกับนางว่าทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น
“ข้านะหรือจะรักเจ้านังซูลี่! หัดเจียมกลาหัวตนเองเสียบ้างเถิด ว่าเจ้าเป็นใครแล้วข้าเป็นใคร ทุกครั้งที่ข้าโอบกอดเจ้า จับมือเจ้า ข้าต้องอาบน้ำล้างตัวด้วยความขยะแขยงเต็มทน”
หลิวซูลี่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก ริมฝีปากที่พยายามเม้มเข้าหากันสั่นระริก ดวงตาแดงก่ำคลอไปด้วยหยาดน้ำใสที่ไหลอาบแก้มซีดเผือดราวกับไม่มีวันสิ้นสุด ก่อนที่นางจะหันไปหาบิดาผู้ให้กำเนิด ผู้ที่เป็นที่พึ่งพิงเดียวในชีวิตของนาง
“ทะ...ท่านพ่อ ได้โปรดช่วยแก้มัดข้า”
ประมุขหลิวหลบสายตาบุตรสาว ก่อนจะหันไปจุดธูปเทียนบนปะรำพิธี
“ในเมื่อสตรีเซ่นสังเวยฟื้นแล้ว ก็มาเริ่มพิธีบูชายัญกันเถอะ ยิ่งทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ยิ่งเป็นผลดีต่อพวกเราทุกคน”
“ขอรับท่านพ่อ / เจ้าค่ะท่านพ่อ”
หลิวซือเฉินผู้เป็นพี่ชายจัดการหยิบเศษไม้ในลังบนพื้นขึ้นมากองสุมบนแท่นหินที่นางนอนอยู่ ในขณะที่จ้าวหยางปินชายคนรักเทราดน้ำมันลงบนกิ่งไม้เหล่านั้นอย่างกระตือรือร้น
“ท่านพี่หยางปิน เหตุใดจึงทำกับข้าเช่นนี้ ในเมื่อเราทั้งสองรักกันและกำลังจะแต่งงานกันในอีกไม่ช้านี้”
ซูลี่ร้องถามออกไปเสียงหลง หวาดกลัวเมื่อได้กลิ่นน้ำมันที่ชายคนรักราดรดลงมายังเรือนกายของนาง ราวกับกลัวว่านางจะไม่ถูกเผาให้ตายทั้งเป็น
“นังโง่! ท่านพี่หยางปินคือคนรักของข้าต่างหากเล่า แต่ที่ต้องหมั้นหมายไปมาหาสู่กับเจ้า ก็เพื่อทำให้เจ้ารักหวังจะใช้สายสัมพันธ์ที่เจ้ามอบให้ในการบูชายัญ ทั้งหมดทั้งมวลมันก็แค่การหลอกใช้ หาใช่ความรักเฉกเช่นที่เจ้าคิดเพ้อไปเองผู้เดียว!”
หลิวซูเม่ยเดินมาคล้องแขนชายคนรักอย่างสนิทสนม ก่อนจะมองไปยังพี่สาวต่างมารดาด้วยความรังเกียจ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายนิ่งงันสับสนคล้ายไม่เข้าใจ นางก็ถึงกับหัวเราะเย้ยหยันออกมา
สองปีมานี้นางเฝ้ากัดฟันทนให้ชายคนรักโอบกอดหญิงอื่นด้วยหัวใจที่เจ็บปวดราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยง ก็เพื่อวันนี้!
“ไหนๆ เจ้าก็จะตายอยู่แล้ว ข้าจะช่วยให้เจ้าหายโง่ก็แล้วกัน”
ซูเม่ยเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะยื่นมือไปกระชากผมของพี่สาวต่างมารดาสุดแรง
โอ๊ย!
เจ็บราวกับผมทั้งกระจุกหลุดร่วงติดมือน้องสาวต่างมารดาไปเสียกระนั้น ทว่าความเจ็บที่หนังศีรษะกลับน้อยกว่าที่หัวใจมากนัก
“พวกเราก็แค่แกล้งทำดีต่อเจ้า เพื่อให้เจ้ารักพวกเราอย่างหมดหัวใจอย่างไรเล่า เมื่อถึงวันที่ต้องนำร่างเจ้าเผาบูชาต่อมังกรดำ ผู้คนที่เจ้ารักก็จะได้รับพรจากมังกรดำเมื่อทำพิธีบวงสรวงเสร็จสิ้น และนี่คือเหตุผลที่ข้าจำต้องยอมยกท่านพี่หยางปินให้เจ้าถึงสองปี ทั้งที่ข้าต้องเจ็บปวดใจจนแทบคลั่ง!”
“มะ...ไม่จริง!”
ซูลี่ถึงกับปล่อยโฮออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวสมองปะติดประต่อเรื่องราวอย่างรวดเร็ว จู่ๆ คนเหล่านี้ก็ปฏิบัติตัวต่อนางเปลี่ยนไป จ้าวหยางปินทำทีมาช่วยเหลือนางที่ตลาดราวกับพรหมลิขิตเพื่อสานสัมผัส
ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อหวังจะนำนางมาเป็นเครื่องเซ่นสังเวยแก่วิญญาณของมังกรดำที่สิงสถิตอยู่ในถ้ำแห่งนี้ เพื่อแลกกับพรที่จะได้รับเป็นการตอบแทน
“พวกสารเลว!”
พรึบ!
สิ้นสุดคำด่าของสตรีเซ่นสังเวย ประมุขหลิวก็จัดการจุดไฟลงบนกิ่งไม้แห้งและน้ำมัน ไฟร้อนสีแดงได้ลุกโชนโชติช่วงเผาร่างของบุตรีซึ่งเกิดจากสาวใช้ให้กรีดร้องทุกข์ทรมานอย่างสุดแสน
“ข้าเกลียด! ข้าเกลียดพวกเจ้าทุกคน! ข้าเกลียด!”
ซูลี่หวีดร้องตะโกนออกมาด้วยความชิงชังอย่างสุดหัวใจ นางโกรธเกลียดทุกคนที่กำลังยืนรายล้อมแท่นหินบูชายัญ พวกมันทุกคนมีจิตใจดั่งปีศาจร้าย พวกมันยิ้ม พวกมันหัวเราะ ทั้งที่นางกำลังแสบร้อนทุกข์ทรมานที่ถูกไฟคลอกเผาผิวหนังและร่างกายจนแหลกเละ
เนื้อหนังพุพอง เส้นผมถูกเผาทำลายจนเหลือแต่กะโหลกศีรษะ ใบหน้าเหวอะหวะจนเห็นกระดูกโหนกแก้มโผล่พ้นออกมา ซูลี่ไม่ได้กรีดร้องขอความเมตตา ไม่ได้กรีดร้องเจ็บปวดด้วยทุกขเวทนา แต่นางกลับตะโกนคำว่าเกลียดออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ข้าเกลียด! เกลียดพวกเจ้าทุกคน!”