บทที่ 12
เข้าใจผิด
ที่บ้านไพศาลมนตรี
“ตาชันมาแล้ว” ทันทีพี่ผมเดินเข้ามาในห้องรับแขกของบ้าน ผมก็รู้สึกว่าอยากกลับไปหาน้องน้อยทันที
“สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้ย่าและแขกของย่าที่นั่งอยู่
“มานั่งสิ” ย่าบอกให้ผมเดินไปนั่ง ผมจึงเดินไปนั่งข้างแม่
“นี่คุณมณีกับน้องโยชิตา ชันจำได้มั้ย” ย่าถามแล้วชี้ไปที่แขกทั้งสองคนของท่าน
“ครับ จำได้” จำได้รางๆ อ่ะนะว่านี่คือลูกสาวและหลานสาวเพื่อนย่า
“นั่นไง ฉันบอกแล้วว่าตาชาน่ะไม่ลืมหรอก โดยเฉพาะหนูโย” แล้วย่าก็หันไปหัวเราะคิกคักกับคุณมณี
“ดีจังเลยค่ะ จะได้สนิทกันเร็วๆ” คุณมณีก็พูดต่ออย่างเข้าขากับย่าผม
ผมหันไปมองแม่อย่างเอือมๆ ผมน่าจะคิดได้ว่า คำว่าคิดถึงของย่านี่อันตราย ปกติผมก็ไม่ได้กลับบ้านนะ แม้ว่าย่าจะโทรไปตามตลอด เพราะผมรู้ว่าย่าคิดจะทำอะไร
แต่ที่มาวันนี้ก็เพื่อจะมาบอกพวกท่านว่าผมกำลังจะมีแฟน แต่ใครจะไปคิดว่าย่าจะเซอร์ไพรส์หลานที่ไม่ได้เจอกันหลายเดือนอย่างนี้ ผมนั่งฟังผู้ใหญ่คุยกันอย่างเปื่อยๆ และหลบสายตายัยโยชิตาที่มองมาทางผมตลอด
ยัยนี่เรียนที่เดียวกันกับผมตั้งแต่เด็ก และผมก็รู้ว่าเธอแอบชอบผมมานาน เพราะว่าผู้ใหญ่ชอบพูดกรอกหูพวกเราว่า โตขึ้นเราต้องแต่งงานกัน
“พาน้องไปกินข้าวหน่อยสิชา ย่ามีธุระจะคุยกับคุณมณีต่อ”
“คือผม...”
ผมยังไม่ทันได้ปฏิเสธ ย่าก็หันมาจิกตามองผมอย่างบังคับ “ราชัน”
แม่เองก็หันมามองมาอย่างเห็นใจ และนั่นทำให้ผมปฏิเสธไม่ได้ ต้องพาโยชิตาไปกินข้าวตามที่ย่าสั่ง…
ที่ห้าง M
“ชันอยากกินอะไรคะ” โยชิตาถามผมขณะที่กำลังเดินหาร้านอาหาร
“ฉันไม่ได้หิว เธอเลือกเลย อีกอย่าง อย่าเรียกฉันแบบนั้น เราไม่ได้สนิทกัน” ผมบอกเธอเสียงตึงๆ
“โยขอโทษ” เธอทำหน้าเศร้า แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมสนใจ
จากนั้นโยชิตาก็พาผมเดินไปร้านอาหารแล้วเธอสั่ง มีบ้างที่เธอหันมาชวนผมคุย แต่ผมก็ชอบตัดบทเธอทุกครั้ง
ติ้ง!
เสียงข้อความที่ดังขึ้นทำให้ผมหันไปมองแล้วรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
แชท : แมวน้อย
คุณได้รับรูปภาพ
“ทานข้าวที่บ้านอร่อยมั้ยคะ”
ผมอ่านแล้วก็รีบหันมองไปรอบๆ เพราะรูปที่น้องส่งมาให้ดูเป็นรูปของผมกับโยชิตานั้นเอง
“มีอะไรรึเปล่าคะราชัน” ผู้หญิงตรงหน้าถาม เพราะจู่ๆ ผมก็พรวดพราดลุกขึ้น
“เปล่า เธอกลับเองนะ ฉันมีธุระ” ผมหันไปบอกเธอ แล้วรีบวิ่งออกมามองหาเมลิษา โดยไม่สนใจโยชิตาที่ร้องเรียกผมเสียงดัง
สายโทรออก : แมวน้อย..
“หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
ติ๊ด!
ผมกดโทรออกหาน้องไปหลายสายมาก แต่ไม่มีวี่แววว่าจะติดต่อได้ ไปหาที่บ้านก็ไม่เจอ น้าพรบอกว่าเมลิษายังไม่กลับมาเลยตั้งแต่เช้า นี่ก็ปาเข้าไปจะหกโมงเย็นแล้ว ผมจึงกลับมาที่คอนโดอย่างจนปัญญา…
เวลา 21.35 น.
Rrrrr!!
แล้วเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นนั่นทำให้ผมรีบหยิบขึ้นมาดู
สายเรียกเข้า : เฮียไฟ
“ครับ” ผมกดรับแล้วกรอกเสียงไปยังปลายสายอย่างเซ็งๆ
“มึงปล่อยเด็กมึงไปเที่ยวได้ไงไอ้ชา” เฮียไฟพูดขึ้นมา
“อะไรของเฮีย” ผมถามอย่างงงๆ
“เด็กมึงหนีเที่ยว”
“ที่ไหน” ผมถามเสียงเย็นแต่ดังมาก
“ผับ B ไปจัดการเอาเองก็แล้วกัน”
เฮียไฟบอกแล้วก็วางสาย ทำให้ผมอึ้งไปชั่วขณะ และเมื่อดึงสติกลับมาได้ ผมก็รีบออกจากห้องตรงไปที่ผับ B
ฝั่งเมลิษา เมื่อย้อนไปช่วงบ่าย..
“โอเครึเปล่า” กอบัวหันมาถามฉันที่นั่งอยู่เบาะหลัง
“ไหว” ฉันฝืนยิ้มให้เพื่อน แล้วหันหน้าออกนอกหน้าต่าง ถ้าถามความรู้สึกในตอนนี้บอกได้เลยว่าอธิบายไม่ถูก มันหน่วงๆ จุกจนพูดอะไรไม่ออก
ใจหนึ่งก็ภาวนาให้มันไม่ใช่อย่างที่ฉันคิด แต่พอนึกถึงภาพที่เขานั่งกินข้าวกับคนอื่นแล้วมันก็คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ
‘ฉันกลัว’ ฉันบอกตัวเองในใจ กลัวว่าเขาและเธอคนนั้นจะเป็นอะไรกัน แล้วฉันก็เป็นแค่ของเล่นของเขาสินะ
“งั้นวันนี้ไปเที่ยวปะ ไหนๆ ก็มีชุดละ” เฟิร์นพูดขึ้น
“ไปไหน” ฉันหันหน้าไปถามเพื่อน
“ไปตื้ดๆ สิ จังหวะนี้” กอบัวเสนอขึ้น
“แต่...” ฉันทำท่าลังเล เพราะในแถบนี้ ถ้าไปเที่ยวผับ แล้วอายุอย่างพวกเราเข้าไปได้ก็มีแค่ผับพี่ราชัน
“ไม่ไปผับพี่ราชันหรอกน่า” เฟิร์นบอก แล้วมองหน้าฉันผ่านกระจกมองหลัง…
เวลา 22.50 น. ที่ผับ B
ในที่สุดฉันก็โดนยัยเพื่อนทั้งสองคนนี้ลากมาผับจนได้ เพราะยัยเฟิร์นไม่ยอมไปส่งฉันที่บ้าน นางให้ฉันอาบน้ำ แต่งตัวที่ห้องของนาง ฉันก็ปฏิเสธไม่ได้เลยต้องยอมให้พวกนางๆ จับแต่งตัวแล้วลากมาที่นี่จนได้
ผับที่ฉันมาไม่ใช่ผับพี่ราชัน แต่เป็นผับที่อยู่อีกฟากหนึ่งของมหาวิทยาลัย ใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัย R ซึ่งเพื่อนฉันก็บอกว่ามาครั้งแรก และที่เข้ามาได้เนี่ยก็ไม่รู้ยัยเฟิร์นไปพูดอะไรกับการ์ด (เด็กที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ห้ามทำตามนะจ๊ะ)
ฉันโดนยัยเฟิร์นจับแต่งตัวโดยใส่เสื้อครอปสีขาวครึ่งตัวกับกระโปรงสีดำสั้นเห็นโคนขาเลย
วันนี้เรามากันแค่สามคน พวกวาวาไม่มา เห็นยัยเฟิร์นบอกว่า วาวาน่ะเข้าได้แค่ผับพี่ราชัน เพราะพี่วินอนุญาตแค่นั้น พอมาถึงยัยพวกนั้นก็ทำการสั่งเหล้ามาชุดใหญ่ ส่วนฉันเนี่ย กินได้แค่อ่อนๆ พอเหล้าเข้าปากแล้วเพื่อนฉันก็เริ่มออกลายขาแดนซ์ ฉันจึงมองดูแล้วเฝ้าของให้เวลาพวกนั้นไปที่หน้าเวที
พรึบ!
แล้วจู่ๆ ก็มีเสื้อมาคลุมตัวฉันไว้จนมิด
ฉันหันไปมองคนที่เอาเสื้อมาคลุมให้อย่างตื่นๆ แล้วก็ต้องตกใจมากกว่าเดิม เพราะคนที่เอามาคลุมให้น่ะคือพี่ราชัน
“พี่ราชัน”
“ไง” เขากัดฟันพูด สายตาดุดันแดงก่ำมองฉันอย่างโกรธๆ
นั่นทำให้ฉันงง เขาจะมาโกรธฉันทำไม ฉันต่างหากที่โกรธเขาอยู่นะ
“ปล่อยค่ะ” ฉันเชิดหน้าใส่เขา แล้วแกะมือเขาออกจากเอว
“เหมย” พี่ราชันกดเสียงต่ำกระซิบข้างหูฉัน
“อะไร ปล่อย” ฉันหันไปทำหน้าเหวี่ยงๆ ใส่เขา
“พูดดีๆ” เขาทำหน้าดุ
“ก็ปล่อยสิคะ” ฉันเงียบไปสักพักแล้วพูดเสียงเขียว
“กลับ” เขาพูดแล้วเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าฉันที่วางอยู่บนโต๊ะมาถือไว้
“ไม่ค่ะ” ฉันปฏิเสธเขาเสียงแข็ง ทำให้พี่ราชันมองฉันนิ่งๆ จนฉันรู้สึกอึดอัด
“แกกลับไปเคลียร์กับพี่เขาเถอะ” เฟิร์นพูดขึ้น นั่นทำให้ฉันหันไปมองเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ
“ใช่ บางทีเรื่องมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้”
กอบัวพูดขึ้นเสริม ฉันจึงคิดตามว่ามันก็อาจจะเป็นไปได้ แต่สิ่งที่ฉันกลัวตอนนี้คือคำตอบจากปากของพี่ราชัน
“อย่ากลัวในสิ่งที่มันยังไม่เกิดสิเหมย”
เฟิร์นบอกฉัน ฉันจึงหันไปมองพี่ราชันอย่างชั่งใจ แต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไรเขาก็ลากฉันออกไปซะก่อน…
ที่คอนโด M
ฉันเงียบมาตลอดทางแล้วหลับตาลงเพื่อตัดการสื่อสารสนทนากับคนเผด็จการ ฉันยังไม่ให้คำตอบเลยว่าจะกลับด้วย เขากลับลากฉันออกมาจากผับ ไม่ถามฉันสักนิด แต่พอลืมตาขึ้นมาก็รู้ทันทีว่าตัวเองพลาดแล้ว
“หนูจะกลับบ้าน” ฉันหันไปบอกเขาทันที เพราะที่เขาพามานี่มันคือคอนโดของเขา
“คุยกันก่อน แล้วเดี๋ยวไปส่ง” เขาพูดแล้วปลดเบลล์ให้ตัวเอง แล้วพี่ราชันก็ลงรถเดินอ้อมรถมาฝั่งที่ฉันนั่ง เขาเปิดประตูฝั่งฉันออก
“หนูจะกลับบ้าน” ฉันสะบัดหน้าหนี ไม่ยอมมองเขา ซึ่งเขายืนเกาะประตูรถฝั่งที่ฉันนั่ง
“ลงมา” พี่ราชันมองฉันดุๆ
“ไม่ลง” ฉันเถียงเสียงแข็ง และไม่ยอมลง พร้อมยังกอดเบลล์แน่น
“หรือจะให้พี่อุ้มลง” ผมกระตุกยิ้ม พร้อมย่อตัวจะอุ้มน้อง
“เฮ้ยๆ หยุด! เดี๋ยวลงเอง” ฉันร้องห้าม เพราะเขาทำท่าจะเข้ามาถอดเบลล์ให้ฉันจริงๆ…
พอขึ้นมาถึงห้องเขาแล้ว พี่ราชันก็จูงมือฉันไปนั่งที่โซฟาแล้วปล่อยมือฉัน แต่ขณะที่ฉันกำลังจะเดินไปนั่งที่โซฟาตรงข้ามพี่ราชันก็ดึงฉันไปนั่งบนตักเขาซะก่อน
“อยู่นิ่งๆ แล้วฟัง” พี่ราชันพูดเสียงดุ แล้วกอดเอวฉันไว้แน่น
“ไม่อยากฟัง” ฉันส่ายหน้าไปมา
“เหมย” พี่ราชันถอนหายใจยาวๆ แล้วกอดฉันแน่น
“กะ ก็ปล่อยก่อนสิ เดี๋ยวไปนั่งฟังตรงนั้น” ฉันต่อรองกับเขา เพราะให้นั่งตรงนี้ไม่ดีแน่
“อยู่นี่แหละ หรือเข้าไปในห้องก็ได้นะ” พี่ราชันว่าแล้วก็ทำท่าลุกขึ้นพร้อมจะอุ้มฉันไปด้วย
“ไม่เอา” ฉันรีบห้ามขึ้น เพราะพี่ราชันเขาเอาจริงและทำจริง
“แล้วจะเอายังไง” เขาถามเสียงเรียบ
“นั่งอยู่นี่ก็ได้ ว่ามาสิ” ฉันก้มหน้าลงแล้วพูดขึ้นเสียงอ่อย
“วันนี้พี่ไปทำธุระกับที่บ้านจริง แต่พอไปถึงแล้วก็เห็นโยชิตากับแม่เธออยู่ด้วย” พี่ราชันเปลี่ยนสีหน้าแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจังๆ
“ผู้หญิงคนนั้นชื่อโยชิตาเหรอคะ” ฉันมองหน้าพี่ราชัน
“อื้ม โยชิตาเป็นหลานของเพื่อนย่า แล้วย่าก็อยากให้เราคบกัน”
อีกแล้ว ฉันไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย ทำไมผู้ใหญ่ถึงชอบจับคู่ให้กับลูกหลานด้วยนะ
“แล้วย่าให้พี่พาโยชิตาไปกินข้าว เพราะอยากให้พี่คุยกันกับเธอ”
ผมเครียดนะไม่ใช่ว่าไม่เครียด แต่ผมก็เก็บอาการไว้ ไม่อยากให้น้องต้องมาเป็นกังวล
“แล้วพี่คิดยังไงกับเธอ” ฉันกลัวมากนะใจเต้นตุบตับๆ เลย แต่ถามเพราะอยากรู้คำตอบ ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบเธอ ฉันก็จะเดินออกมา
“พี่รู้มานานแล้วว่าย่าจับคู่ให้ แต่พี่ก็ปฏิเสธมาตลอด แล้วเมื่อเช้านี้ย่าทำกะทันหันมากเกินไป พี่ไม่อยากหักหน้าท่าน ถ้าพี่รู้ว่าไปแล้วเราจะทะเลาะกัน พี่ไม่ไปหรอก”
ผมกอดเธอไว้ด้วยแขนข้างเดียว ส่วนอีกข้างยกขึ้นบีบขมับตัวเองที่หัวเขาเกยที่พนักเบาะโซฟา
“...” ฉันเงียบ เพราะกลัวมาก กลัวว่าสักวันฉันและพี่ราชันจะต้องเลิกกัน
“เดี๋ยวพี่จะพาเธอไปหาย่า”
ผมลูบหน้าแรงๆ แล้วเอียงไปมองคนตัวบางที่นั่งอยู่บนตักของผม เธอเงียบซึ่งมันทำให้ผมกลัวเหมือนกันกลัวว่าผมและเธอจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน
“อะไรนะคะ” ฉันหันไปมองเขาหน้าตาตื่นตระหนก
“จะพาไปหาย่า” ผมย้ำคำเดิม
“ไม่ไป” ฉันส่ายหน้าปฏิเสธ
“ทำไม” ผมเลิกคิ้วถาม
“หนูกลัวว่าย่าพี่จะไม่ชอบหนู” ฉันพูดไปตามความรู้สึก
“พี่เชื่อว่าย่าจะชอบเธอ เหมือนที่ฉันชอบ” ผมพูดปลอบเธอ โดยการจับมือเธอมาจูบ
“...” ไม่ตอบโต้ นั่งหันหน้ามองเหม่อออกไปด้านนอกอย่างเลื่อนลอย ทำไมฉันต้องรู้สึกจี๊ดที่หัวใจด้วยนะ กลัวมากกลัวจะไม่มีสิทธิ์ได้รักพี่เขา
ผมจับหน้าเธอให้หันมามองตากัน แล้วผมก็โน้มหน้าเข้าไปจูบแก้มหอมกระซิบถามเธอว่า “เหมย เป็นแฟนกันนะ”
“พี่” ใจฉันเต้นระรัวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น
“พี่ไม่เคยคิดว่าเธอเป็นของเล่น พี่จริงใจกับความรู้สึกตัวเองเสมอ รักก็คือรัก ไม่รักก็คือไม่รัก” ผมบอกให้น้องมั่นใจในตัวผม
“ตะ แต่..” ครอบครัวเขาล่ะ ถ้าเกิดเขาไม่ชอบฉัน พี่ราชันจะทำยังไง
“ไม่มีอะไรต้องกลัวเลยเหมย” แววตาคู่โตไหวระริก ทำให้ผมยกมือขึ้นจับคางน้อยไว้
“แน่ใจแล้วเหรอคะ” ฉันถามเพราะยังไม่มั่นใจ
“แน่สิ รักขนาดนี้ ถ้าจับกินกลืนลงท้องได้พี่ทำไปนานแล้ว” ผมหายใจแรงๆ แล้วโอบกอดน้องไว้แน่น แล้วโยกตัวเธอไปมาเพื่อปลอบคนตัวน้อยที่กำลังเสียขวัญ…