ผ่านไปเจ็ดวันเจ็ดคืน
เฉินเฟยหย่าใช้เวลาอยู่กับไป๋อวี่ไม่ยอมห่างอย่างที่พูดเอาไว้ ไม่ทำงานทำการ ไม่ทำสิ่งใดเลยนอกจากคลอเคลียเล้าโลมและเสพสมกามารมณ์เพียงอย่างเดียว
ช่วงเวลานั้น ไป๋อวี่ใช้คะแนนสะสมที่เก็บเอาไว้มาใช้ตัดฉากเข้าโคมจนคะแนนแทบจะร่อยหรอ ทั้งยังไม่มีเวลานับเม็ดถั่วเขียวเก็บคะแนนเพิ่มอีก และจนป่านนี้แล้วหลิวเมิ่งก็ยังไม่กลับมา
เฉินเฟยหย่างัวเงียลุกขึ้นมองหน้าสนมแสนชังของตัวเองแล้วดึงตัวร่างบางเข้ามาใกล้คิดจะจุมพิตยามเช้า
“สามสิบคะแนนแลกกับจุมพิตแสนดูดดื่ม” ไป๋อวี่แลกคะแนนที่เหลืออยู่กับสิ่งที่เฉินเฟยหย่าต้องการ
พลันฉากนี้ผ่านไป ใบหน้าของเขาเปื้อนรอยยิ้มกว้าง อิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก มือข้างหนึ่งของเขาพยายามเลื่อนไปจับบั้นท้ายของไป๋อวี่
“ข้ายังไม่พอใจ” เขาเอ่ยปากบอกคนตรงหน้า
“เช่นนั้น กระหม่อมคงต้องตั้งใจปรนนิบัติฝ่าบาทมากกว่าเดิม” ไป๋อวี่นั่งคร่อมร่างของเขา พลางพูดว่า “สามร้อยคะแนน ตัดฉากเข้าโคม สามร้อยคะแนน ภาพความทรงจำแสนดุเดือดบนเตียง สามร้อยคะแนน ยาลดสมรรถภาพสักหนึ่งเดือน”
หลังจากพูดจบ เฉินเฟยหย่าก็ราวกับถูกวางยาหลับฝันพริ้มเพรานอนยิ้มส่งเสียงละเมออยู่คนเดียว จนไป๋อวี่นึกอยากจะเข้าไปดูว่าระบบสั่งการความคิดของตัวละครนี้อย่างไร หน้าตาถึงได้เคลิบเคลิ้มขนาดนั้น
เมื่อเห็นท่าทางของเขา ไป๋อวี่ก็ได้แต่ถอนหายใจ ระบบคงจะทำฉากอย่างว่าเต็มที่เลยกระมังจึงได้แต่เอาผ้าห่มคลุมร่างของเฉินเฟยหย่าเอาไว้แล้วออกมานั่งเล่นอยู่อีกห้องหนึ่งของเรือนเล็ก
“หลิวเมิ่ง ถ้าเจ้าไม่ออกมาตอนนี้ คะแนนสะสมข้าจะหมดแล้วนะ” ไป๋อวี่รำพึงรำพันตัดพ้อ นับเวลาถอยหลังรอนับเม็ดถั่วเขียว
ยามนั้นความเงียบสงบช่วงเช้ากลับมีเสียงครางของเฉินเฟยหย่าดังไม่หยุดจนไป๋อวี่อยากจะหลบหนีออกไปจากที่ตรงนั้น หากไม่ติดว่าด้านนอกเรือนมีเสิ่นอวี๋และโม่เป่ยรวมถึงกองสอดแนมซ่อนอยู่ เขาจะหนีไปให้ไกล ๆ จากตำหนักเล็ก แต่ต่อให้หลบอยู่หน้าประตูตำหนักอ๋องฝั่งตรงข้ามก็ยังคงต้องได้ยินเสียงหรรษานี้
สุดท้ายไป๋อวี่จึงเลือกที่จะเอาเศษผ้าอุดปากเฉินเฟยหย่าเอาไว้แทน
กระทั่งผ่านไปอีกวัน
อ๋องผู้มักมากจึงค่อย ๆ ลืมตาตื่นอีกครั้ง หรี่ตามองข้างกายพบร่างบางนอนหันหลังพันผ้าห่มรอบตัวไว้อยู่ จึงค่อย ๆ ขยับร่างกายของตนเอง รู้สึกปวดเมื่อยไปหมดทุกส่วนพลางเลิกผ้าห่มดูท่อนล่างของตัวเองที่แฉะเหนอะหนะ
เขาขยับตัวเข้าหาไป๋อวี่ เห็นร่องรอยแดงบนลำคอกับแผ่นหลังที่โผล่ออกจากผ้าห่มเล็กน้อยพลันยิ้มมุมปาก
“เจ้าช่างไร้ยางอายยิ่งนัก ข้านึกว่าจะถือยศองค์ชายผู้สูงศักดิ์” น้ำเสียงดูถูกของเขาทำให้ไป๋อวี่ที่นอนเกร็งอยู่กัดฟันกรอด
หน็อย ไอ้บ้านี่ ใครกันแน่ที่ไร้ยางอาย แต่เดี๋ยวนะ ไอ้คนใจโฉดคิดอย่างไรกับไป๋อวี่กันแน่ ชายบำเรอหรือ แต่ไม่สิ ขนาดนางคณิกายังได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่านี้หลายเท่าตัว ไป๋อวี่เอ๋ย ไป๋อวี่เอ๋ย เจ้าช่างน่าสงสารเสียจริง
เฉินเฟยหย่าพูดเพียงเท่านั้นแล้วลุกออกจากตำหนักเล็กไป ทำสีหน้าภาคภูมิใจราวกับพิชิตอะไรสักอย่างได้
เฮ้อ นึกว่าจะต้องเสียคะแนนเพิ่มอีกแล้ว ไป๋อวี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แปดวันแปดคืนกินคะแนนไปมากโข ก่อนจะได้ยินเสียงนางกำนัลเคาะประตูด้านนอก
“พระสนมไป๋อวี่ พระชายาลู่เย่วชิงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าเพคะ” นางรอคนข้างในเอ่ยปากรับคำ แต่กลับได้ยินเพียงความว่างเปล่า
“พระสนมเพคะ” นางกำนัลคนเดิมเอ่ยเรียกอีกครั้ง แต่ไป๋อวี่คร้านจะตอบออกไป แปดวันที่ผ่านมาวุ่นวายกับเฉินเฟยหย่ามากพอแล้ว คิดจะขอพักสักประเดี๋ยวค่อยไปเข้าเฝ้าตามรับสั่งชายาเอก
ผลัวะ
บานประตูเรือนน้อยเปิดออก สายลมพัดพากลิ่นดอกไม้หอมอันเป็นเอกลักษณ์ของพระชายาเอกลอยผ่านเข้ามาด้านในห้องบรรทม
เมื่อนางได้เห็นสภาพภายใน เตียงนอนที่ยับยู่ยี่และไป๋อวี่ที่นอนหันหลังอยู่กับกลิ่นคาวของการเสพสมจึงได้แต่นิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจ
“พาตัวมา” ลู่เยว่ชิงสั่งนางกำนัลสองคนให้พาตัวไป๋อวี่มาคุกเข่าต่อหน้านาง
ทั้งคู่เดินเข้าไปใกล้เตียงนอนแล้วเอ่ยปากเรียก
“พระสนมไป๋อวี่เพคะ” หนึ่งในนั้นเอ่ยปาก
“นำตัวมาคุกเข่าต่อหน้าเดี๋ยวนี้” ลู่เยว่ชิงเดือดดาลไม่รอช้า ถลึงตาเขียวใส่นางกำนัลของตน
ทั้งคู่จึงได้แต่ผลักไป๋อวี่ที่นอนเอาผ้าห่มพันตัวไว้กลิ้งหลุน ๆ จนตกเตียง เผยให้เห็นร่างของไป๋อวี่ในชุดผ้าบาง เสื้อท่อนบนเผยอออกเล็กน้อย รอยแดงและรอยดูดปลอม ๆ จึงปรากฏแก่สายตาของนาง
แม้กระทั่ง เรียวขาขาวนวลยังมีรอยขบฟันไล่ขึ้นมาจนถึงต้นขาด้านใน
“ตายแล้ว ตายแล้ว” นางกำนัลอุทานพลางสบตาหน้าแดง
ลู่เยว่ชิงอดรนทนไม่ไหวจิกผมของไป๋อวี่แล้วตบหน้าอย่างแรงหนึ่งฉาดเรียกสติ
ไป๋อวี่ดวงตาเบิกโพลงคิดจะโต้ตอบ แต่คนตรงหน้าเป็นสตรีจะทำอย่างนั้นได้เช่นไร จึงได้แต่อดกลั้นเอาไว้
ครั้นเห็นว่าพระสนมนิ่งเงียบ นางก็ตบหน้าของไป๋อวี่อีกข้างจนเป็นรอยแดง
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยโดยผู้หญิงตบหน้า ไม่นึกเลยว่าจะมีวันนี้ ไป๋อวี่คิดในใจหันไปมองหน้าของนาง
“พระชายา เหตุใดทรงทำรุนแรงกับกระหม่อมเช่นนี้” น้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรงยิ่งทำให้ลู่เยว่ชิงกระฟัดกระเฟียดหนักขึ้นไปอีก
ครานี้ ไป๋อวี่ลืมอีกแล้วว่าเฉินเฟยหย่าจะแบ่งวันไปนอนค้างคืนกับชายาแต่ละคน การที่เขาเหมาแปดวันแปดคืนเพียงคนเดียวย่อมต้องสร้างความไม่เป็นธรรมและเป็นการดูถูกสมรรถภาพและลีลาของพวกนางเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มาแย่งเป็นบุรุษเช่นเขา
จะให้ทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อสวามีของพวกนางผีเข้าผีออก ข้าเองก็เหนื่อยเหมือนกันนะ ว่าแต่เป็นสตรี เหตุใดจึงมือหนักนัก แก้มชาไปหมดแล้ว
“คิดว่าเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทแล้วจะทำตัวเหลวไหล โอหังอย่างไรก็ได้หรือ” นางเปิดปากบ่นแว้ด ๆ เหมือนนางร้ายในนิยาย
“พระชายา กระหม่อมไม่ได้คิดเช่นนั้น” ไป๋อวี่เสียงสลดพลางแลกคะแนนกับรอยฝ่ามือบนหน้ามาแปะไว้ เพิ่มเลือดที่มุมปากนิดหน่อยให้ดูสมจริง
“บอกข้ามาว่าเจ้าใช้มารยาอะไรมาล่อลวงฝ่าบาท” ลู่เยว่ชิงให้นางกำนัลจับตัวไป๋อวี่เอาไว้ ง้างมือจะตบอีกครั้ง
ทว่า ไป๋อวี่นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงยกมือขึ้นมาบังฝ่ามือของนางเอาไว้ “พระชายา พระองค์ทรงรู้ว่าฝ่าบาทเกลียดชังกระหม่อมมาตั้งแต่เยาว์วัย จะกลายเป็นคนโปรดไปได้อย่างไร”
“ถ้ามิใช่เช่นนั้น เหตุใดฝ่าบาทถึงเอาแต่อยู่กับเจ้าทั้งวันทั้งคืน ละเลยงานการราวกับต้องมนตร์ดำ” นางนึกฉงนคิดไม่ตกมาหลายวัน ยังไม่ได้คำตอบว่าสวามีของนางพึงพอใจอะไรในตัวของบุรุษผู้นี้
ไป๋อวี่ยิ้มมุมปาก “พระองค์หมายถึงเรื่องนั้นหรือ กระหม่อมเพียงหวังเล็ก ๆ ว่าฝ่าบาทจะปฏิบัติกับกระหม่อมเฉกเช่นคนอื่น ๆ บ้าง ไม่ทำร้ายทุบตี ไม่ลงโทษ กระหม่อมไม่ได้ขอสิ่งใดมากกว่านี้เลย จึงทำตามที่ฝ่าบาทต้องการก็เพียงเท่านั้น”
“ต่ำช้ายิ่งนัก เจ้ายอมรับแล้วใช่หรือไม่ว่าทำมนตร์ดำ” นางรีบสรุปตามที่ตนเองเข้าใจ
“พระชายา พระองค์ทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว มนตร์ดำไม่มีจริงเสียหน่อย หรือพระองค์จะหมายถึงเรื่องลีลาบนเตียง” เขามองหน้าลู่เยว่ชิงที่กำลังเดือดปุด ๆ จึงยิ้มมีเลศนัย “กระหม่อมมีหนังสือภาพวาดวังวสันต์อยู่เล่มหนึ่งในตู้หนังสือ หากพระองค์ประสงค์สิ่งนั้น กระหม่อมเต็มใจยกให้”
“ไร้ยางอาย กล้าพูดเรื่องเช่นนี้ต่อหน้านางกำนัล เจ้ามันต่ำตมสิ้นดี” ลู่เยว่ชิงเบ้หน้าดูถูกไป๋อวี่ แต่สายตาเหลือบมองไปที่ตู้หนังสือด้านหลัง
“พระองค์ทรงอย่าถือโทษโกรธกระหม่อมเลย ที่ทำเช่นนั้นไปเพราะไม่อยากให้ฝ่าบาททรงกริ้ว ยิ่งตอนที่กระหม่อมทำตามหนังสือภาพเล่มนั้น ฝ่าบาทมักพึงพอใจ ไม่ยอมปล่อยให้กระหม่อมนอนหลับพักผ่อนเสียที ไป ๆ มา ๆ จึงเพิ่งได้รู้ว่าผ่านไปแปดวันแปดคืนแล้ว ถ้าหากว่าฝ่าบาทยังคงมีแรงเหลือ เกรงว่าสิบวันนี้กระหม่อมคงจะเป็นลมหมดสติไปเพราะแรงกระแทกกระทั้นของฝ่าบาท” ไป๋อวี่เล่าเรื่องยาวกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของพระชายาคิดจะให้เหยื่อรายที่หนึ่งหลงกล
นางคิดตามที่ไป๋อวี่พูดจนเก็บสีหน้าเอาไว้ไม่ไหว สั่งให้นางกำนัลออกไปข้างนอกเพื่อจะสั่งสอนพระสนมเป็นการส่วนตัว
“เอามาให้ข้า” นางพูดกระซิบเพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน
ไป๋อวี่ลอบยิ้มแล้วเดินไปที่ตู้หนังสือ “สามร้อยคะแนนแลกภาพวังวสันต์ฉบับปรับปรุงใหม่ล่าสุด” แล้วหนังสือเล่มหนาก็ปรากฏออกมา
เขายื่นให้พระชายาพลางแอบดูสีหน้าของนาง รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของลู่เยว่ชิง ในเมื่อคืนนี้เป็นคืนที่เฉินเฟยหย่าต้องค้างคืนกับนาง เห็นทีจะต้องใช้สิ่งที่อยู่ในหนังสือภาพเล่มนี้มัดใจสวามีให้ติดหนึบไม่ยอมปล่อยเสียแล้ว