“หนูมิยืนได้แล้ว ดูสิ” อัสนีบอกโยธินกับพายุ ทั้งสองปรบมือหัวเราะชอบใจที่เห็นพัฒนาการของน้องสาวตัวน้อย
“ขนาดคลานยังคลานตามแทบไม่ทัน เดี๋ยวเดินได้คงวิ่งปร๋อ” พายุวิจารณ์น้อง
“แล้วแกจะคลานทำไมไอ้พัน เดินได้ก็วิ่งตามน้องที่คลานสิ” อัสนีตบหัวน้องเบา ๆ เป็นการหยอกล้อ พายุหัวเราะเก้อ ๆ ก่อนจะพยักหน้าว่าจริง เขาก็ลืมคิดถึงข้อนี้ไป แล้วเป็นจริงดังคาด พอมิรินเดินได้เท่านั้นแหละ เด็กน้อยก็เดินไม่หยุด ซุกซนจนพี่ ๆ จับตัวแทบไม่ทัน ยิ่งกว่าจับปูใส่กระด้งเสียอีก
กลับจากโรงเรียนคราใด พี่ ๆ ต้องแวะมาหาเด็กน้อยมิรินด้วยความคิดถึง ร่างเล็กของมิรินเดินเตาะแตะในชุดน่ารัก อัสนีตรงเข้าไปหอมแก้มน้อง อีกฝ่ายหัวเราะอย่างมีความสุข
ผู้ใหญ่ให้เด็ก ๆ เรียนแบบโฮมสคูล เป็นการเรียนจากประสบการณ์ตรง เรียกว่า experiential learning ซึ่งการเรียนแบบนี้ ไม่ได้เรียนจากการตั้งกรอบ ตั้งจุดประสงค์การเรียนรู้ขึ้นมา แล้วให้เด็กไปถึงกรอบนั้น แต่เป็นการเรียนที่ให้เด็กค้นพบตัวเอง แล้วก็ค่อย ๆ ให้เด็กพัฒนาไปถึงจุด ๆ หนึ่งด้วยตัวเอง โดยการเรียนของเด็ก ๆ นั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ด้วยกันจะช่วยกันสอน แบ่งเวลาหลังจากที่ทำแผนการสอนและทางเขตการศึกษาอนุมัติเรียบร้อยแล้วว่าผ่านเกณฑ์
บิดามารดาของเด็ก ๆ เน้นให้ลูก ๆ อ่านออก เขียนได้ บวกลบคูณหารเลขได้ซึ่งเป็นวิชาพื้นฐานให้เก่งเป็นพอ เพราะการอ่านออกเขียนได้จะปูทางไปสู่การเรียนรู้ในเรื่องต่าง ๆ รอบตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“เราน่ะไปกอดหอมน้องทั้งที่เหงื่อเต็มตัว ไปอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะจ้ะ กลับมาเหนื่อย ๆ จะได้สดชื่น น้าน่ะเพิ่งอาบน้ำให้น้องเองนะจ๊ะ” มัสลินดุเด็ก ๆ แต่ก็มองด้วยความเอ็นดู มิรินเองก็เหมือนจะเคยชิน เมื่อเห็นพี่ ๆ กลับจากโรงเรียน ก็รู้ว่าจะได้เล่นกับพี่ ๆ ตอนยังไม่มีใครกลับมาก็ชะเง้อคอรอคอยตามประสาเด็ก
“ก็น้องตัวหอมนี่ครับ” อัสนีตอบแล้ววิ่งกลับไปอาบน้ำอาบท่าที่บ้านของตัวเอง ยังไม่ทันได้กินข้าวกินปลาก็รีบมาที่บ้านของคู่หมั้นตัวน้อยในทันที
ผู้ใหญ่ช่วยกันสร้างบ้านดินด้วยตัวเอง บ้านดินนั้นเป็นบ้านที่อยู่แล้วให้ความรู้สึกเย็นสบาย เป็นที่พักอาศัยโดยใช้เทคนิดการก่อสร้างด้วยดินธรรมชาติ ไม่ผ่านกระบวนผลิตทางอุตสาหกรรม ไม่ใช้สารเคมี ไม่เผา ไม่ต้องซื้อหา ไม่ต้องเสียค่าแรง มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ต้องลงทุนมาก ไม่ต้องดาวน์ ไม่ต้องผ่อน แถมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว คนในชุมชนและสังคม ด้วยว่าตอนสร้างนั้นได้ช่วยกันทำ เด็ก ๆ และคนแก่ก็สามารถทำได้เพราะมีวิธีการทำที่ง่ายกว่าบ้านที่ใช้อิฐหินดินทรายและการโบกปูน
อัสนีจะรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวและสมาชิกในไร่พันธุ์รักษ์แห่งนี้ และเล่นกับน้องไปพร้อม ๆ กับโยธินและพายุที่มักมีของเล่นแปลก ๆ ใหม่ ๆ มาเล่นอยู่เสมอ เป็นของเล่นที่ประดิษฐ์เองโดยไม่ต้องหาซื้อ เด็ก ๆ ทุกคนนั้นชอบอ่านหนังสือ ผู้ใหญ่จึงสนับสนุนให้เด็ก ๆ ได้อ่านหนังสือและได้ทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ โดยจะซื้อหนังสือดี ๆ มาเก็บเอาไว้ที่ห้องหนังสือให้เด็ก ๆ ได้นั่งอ่านกันในทุก ๆ วัน
ผู้ใหญ่จะปลูกฝังให้เด็ก ๆ รู้จักแบ่งปันและไม่หวงของเล่นดังนั้นไม่ว่าจะมีของเล่นใหม่ ๆ หรือของกินอร่อย ๆ ก็จะแบ่งปันกันอยู่เสมอ
อัสนีรู้สึกว่าแค่เห็นหน้าน้องก็มีความสุข หากวันไหนไม่ได้เห็นหน้าน้อง เขารู้สึกเหมือนกับว่าเหมือนชีวิตจะขาดอะไรไป
อัสนีไม่ได้คิดฝังใจเอาว่าโตขึ้นต้องแต่งงานกันเพราะมิรินเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันอยู่ แต่เขาเอ็นดูมิรินเหมือนน้องสาวคนหนึ่งที่เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออกเสียมากกว่า
เป็นธรรมดาที่เขาจะนึกชอบเพศตรงข้ามตามประสาบุรุษเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม แต่ทุกครั้งอัสนีมักนึกถึงใบหน้าใส ๆ ของเด็กน้อยมิริน เธอมีปากจิ้มลิ้มน่ารัก ผมหยักศกน้ำตาลอ่อน และแก้มเนียนใสหอมกรุ่น ทำให้เขาอมยิ้มได้ทุกครั้งที่นึกถึง นั่นทำให้ห้วงความรู้สึกยามคิดจะจีบผู้หญิงสักคนลดน้อยถอยลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ
อัสนีเลี้ยงน้องเหมือนพี่เลี้ยง เหมือนพ่อ เหมือนพี่ เหมือนเพื่อน จนมิรินเจริญวัยขึ้นเป็นเด็กน้อยน่ารักสมวัย เห็นอัสนีที่ไหนต้องเห็นมิรินที่นั่น ถ้าไม่ขี่หลังก็อุ้มอยู่กับอกจนทุกคนเห็นเป็นเรื่องชินตา
“หนูมิอ้วนไปไหมครับ” อัสนีเอ่ยถามขึ้นกลางวงรับประทานอาหาร มิรินพูดได้แล้ว คำแรกที่พูดได้คือคำว่าแม่ คำที่สองคือพ่อ แต่คำถัดมานี่สิ ทำทุกคนอมยิ้ม เอส!!!
“หนูมิอ้วนเหรอคะ” เด็กน้อยเอ่ยถามตาปริบ ๆ ในขณะที่กำลังนั่งอยู่บนตักของอัสนี
“ครับ” อัสนีรับคำแต่มือก็ยังตักอาหารป้อนน้องไม่ยอมหยุด
ผู้ใหญ่ฟังเด็กทั้งสองคุยกันก่อนจะหัวเราะเบา ๆ แล้วหันไปสนทนาเรื่องงานกันต่อ เป็นธรรมดาที่ทั้งสี่ครอบครัวจะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือไอเดียใหม่ ๆ เรื่องการเกษตรในไร่ที่ทำอยู่ในทุกวัน เพราะต่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกันเสมอมา หลังรับประทานอาหารเสร็จสิ้น อัสนีรับหน้าที่จัดการพาน้องน้อยเข้านอน ผู้ใหญ่ไหว้วานให้เขาพาน้องนุชสุดท้องไปกล่อมนอน เหมือนสิ่งที่เขาต้องทำเป็นประจำทุกวัน