"ไม่ นางยังมีโอกาสรอด" เสียงตอบกลับมาที่หาดห้วง จากความเหนื่อยล้า ของการปั๊มหัวใจ ที่ใช้แรงไปพอสมควร จึงทำให้เหมยลี่ในตอนนี้หอบหายใจแรง
ทุกท่วงท่าและการกระทำของเธอตอนนี้ ช่างเป็นภาพที่ดูแล้วชวนให้บุรุษที่อยู่บริเวณโดยรอบ รู้สึกใจเต้นแรง เพราะผิวขาวราวกับหิมะ และยังหน้าอกที่ดูใหญ่เกินตัวนั้นของเธอ กำลัง เคลื่อนไหวไปมาสอดประสานกันอย่างชวนมองโดยที่พวกเขาไม่สามารถละสายตาออกไปได้ ความหื่นกระหายปรากฏขึ้นมาในดวงตาของบุรุษเพศเหล่านั้นอย่างชัดเจน
"น่าอายเป็นที่สุด"
"อาภรณ์ของนาง เปียกชุ่มถึงเพียงนั้น แต่นางก็หาได้สนใจ ภาพลักษณ์ของตนเอง นี่นางกำลังเปิดเผยเรือนร่าง เพื่อหลอกล่อบุรุษอยู่หรือไร"
คำกล่าวของสตรีผู้นี้ ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นจุดสนใจเมื่อเหล่าภรรยา เห็นสายตาของผู้เป็นสามีของตนเอง เต็มไปด้วยความปรารถนา เมื่อจ้องมองไปที่สตรีแปลกประหลาดผู้นั้น พวกนางจึงคิดไปในทางเดียวกันว่า สตรีผู้นี้กำลังหลอกล่อสามีของพวกนางอยู่อย่างหน้าไม่อาย
ในขณะนั้นก็ได้มีสตรีผู้หนึ่ง ไม่สามารถทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป นางกำลังจะกระโจนเข้าไปด่าทอและทำร้ายเหมยลี่อย่างไม่พอใจ ทันใดนั้นร่างกายของหลี่ไห่อิง ก็ได้เกิดการเคลื่อนไหวขึ้น นางสำรอกน้ำออกมาอย่างมากมายพร้อมกับ ลืมตาตื่นขึ้นมา
สิ่งแรกที่นางพบเจอคือใบหน้าของสตรีที่งดงามราวกับนางเซียนบนสวรรค์ นี่นางตายไปแล้วจริงๆ กระนั้นหรือ แต่เมื่อนางกวาดสายตาของตนเองมองไปโดยรอบ ก็พบเข้ากับใบหน้าของผู้คนที่คุ้นเคย และยังใบหน้าของสามีที่ร่วมผูกผม กำลังจ้องมองมาที่นางอย่างตกตะลึงแต่ในดวงตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความห่วงใย
มันจะเป็นไปได้เช่นไร ในเมื่อภาพสุดท้ายที่นางเห็น ก็คือสายตาที่เต็มไปด้วยความดูแคลน และผิดหวังของเขา แล้วบุรุษยังเบื้องหน้าของนางตอนนี้คือผู้ใด เหตุใดสายตาของบุรุษผู้นั้น ถึงได้เต็มไปด้วยความห่วงใยเช่นนี้ เขายังจะใช่สามี ที่ไม่คิดจะเชื่อใจนางผู้นั้นหรือ
"อิงเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้ว"
ก่อนที่ร่างของจางหมิงจะเข้าไปถึงตัวของหลี่ไห่อิง ก็ได้ถูกมือของผู้เป็นมารดาฉุดรั้งเอาไว้เสียก่อน "หมิงเอ๋อร์นี่เจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าสตรีแพศยาผู้นี้ทำอะไรไว้กับเจ้าบ้าง นางสวมหมวกเขียวให้กับเจ้า จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองหลวงเช่นนี้ เจ้าลืมไปได้เช่นไร เจ้าอย่าได้ทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะเจ้าไปมากกว่านี้เลย"
"ใช่แล้ว ท่านพี่ เชื่อฟังคำของท่านแม่เถิด ที่ผ่านมาน้องรู้ว่าท่านพี่นั้นหลงรักนางมากเพียงใด แต่เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ท่านจะเลือกหลับตาข้างให้อภัยนางได้กระนั้นหรือ ในเมื่อหลักฐานก็เด่นชัดถึงเพียงนี้" เฉินซื่ออิงก็ร่วมกล่าวผสมโรงด้วยอีกทีเพราะกลัวว่าผู้เป็นสามีจะเกิดใจอ่อนขึ้นมา นางทุ่มเทไปมากกับเรื่องนี้ อีกเพียงนิดเดียวทุกอย่างก็จะกลายมาเป็นของนางแล้ว
ท่ามกลางความมึนงงสับสนนั้นขององครักษ์หนุ่ม เสียงเซ็งแซ่ของผู้คนโดยรอบ ก็ได้ดังขึ้นเพราะมิคาดคิดว่าร่างที่ไร้ลมหายใจเมื่อสักครู่นี้จะสามารถตื่นลืมตาขึ้นมาได้อีกครั้ง
"นางฟื้นขึ้นมาได้เช่นไร"
"แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นฝีมือของสตรีประหลาดผู้นั้นหรือนางจะเป็นแม่มด"
"ข้าก็คิดเช่นเจ้า จะมีผู้คนสามารถทำให้คนที่ตายแล้วฟื้นคืนมาได้เช่นไร หากมิใช่ฝีมือของปีศาจร้าย"
"มันต้องใช่แน่ๆ นางจะต้องเป็นแม่มดอย่างแน่นอน ข้าเคยได้ยินมาว่าพวกมันจะล่อลวงผู้คนโดยใช้ภาพลักษณ์ที่สวยงามนี้ แล้วดูนางสิ รูปร่างและหน้าตาของนาง มีความคล้ายคลึงกับ ผู้คนทั่วไปกระนั้นหรือ ดวงตาก็มีสีฟ้า มิหนำซ้ำเส้นผมของนางยังเป็นสี น้ำตาล ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป นางจะต้องเป็นแม่มดร้ายอย่างแน่นอน"
"จับนางก่อนที่นางจะทำร้ายผู้คนเร็วเข้า"
ผู้คนมากมายต่างเริ่มพูดกันไปต่างๆ นาๆ โดยลงความเห็นว่า สตรีแปลกประหลาดที่พวกเขาพบเจอนั้น จะต้องเป็นปีศาจร้ายที่ควรจะกำจัดทิ้งไปเสีย เมื่อคิดได้ดังนั้นพวกเขาจึงได้ตรงดิ่งเข้ามาหาเหมยลี่อย่างคาดโทษ
เหมยลี่เองก็รับรู้ถึงภยันอันตราย ที่กำลังใกล้ตัวเข้ามา เพราะเธอเองก็สามารถจับใจความได้คร่าวๆ จากคำกล่าวเหล่านั้น ว่าตนเองได้ถูกเข้าใจผิดไปไกลเสียแล้ว
"ซวยแล้ว อยู่ดีๆ ก็มาโผล่ ยังที่แปลกประหลาดนี้ ไม่หนำซ้ำยังถูกหาว่าเป็นแม่มดร้ายอีก เอาไงดีล่ะทีนี้" ทันใดนั้นสายตาของหญิงสาว ก็เหลือบไปเห็นกระเป๋าสะพายที่ตนเองได้โยนทิ้งไปเมื่อสักครู่นี้ และคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง เพื่อเป็นการหนีเอาตัวรอด เธอล้วงเข้าไปในกระเป๋าพร้อมกับหยิบบางสิ่งออกมา
แชะ!!! แชะ!!! แชะ!!!
พร้อมกับแสงไฟที่ส่องสว่าง จากแฟลตของโทรศัพท์ สว่างจ้าจนแสบตาทำให้พวกเขาต้องหลับตาลงอย่างตกตะลึง
"หยุดนะ ข้าได้ร่ายคาถาดึงวิญญาณของพวกเจ้าทุกคนเอาไว้หมดแล้ว หากว่าพวกเจ้าคิดจะทำร้ายข้าแล้วล่ะก็ เชื่อได้เลยว่าวิญญาณของพวกเจ้าทุกคน จะต้องทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน หากไม่อยากเจ็บตัว ก็อย่าได้คิดเข้ามาใกล้ข้าเป็นอันขาด"
คนเหล่านั้นต่างก็ได้แต่ ไม่กล้าขยับตัว เมื่อเห็นความร้ายกาจของนาง เพียงนางยกมือขึ้นก็สามารถปล่อยลำแสง ดูดวิญญาณของพวกเขาเอาไว้ได้แล้ว แต่สิ่งที่ชวนให้พวกเขาตกตะลึงไปมากกว่านั้นก็คือ เมื่อหญิงสาว นำบางสิ่งที่อยู่ในมือนั้น ออกมาให้พวกเขาดูในระยะไกล ก็พบใบหน้าของพวกเขาแต่ละคนไปปรากฏอยู่ในเจ้าสิ่งนั้นเสียแล้ว
"ไม่จริงนี่นางสามารถดูดวิญญาณของพวกเราได้จริงๆ "
"นี่เราจะทำเช่นไรดี พวกเราจะต้องตายไปจริงๆ หรือ"
เมื่อเหมยลี่ได้เห็นถึงความหวาดกลัวของผู้คนเหล่านั้น เธอก็ได้แต่ยกยิ้มอย่างพอใจ เธอไม่คาดคิดเลยว่า โทรศัพท์ในยุคปัจจุบัน จะสามารถช่วยชีวิตของเธอเอาไว้ได้ ถึงแม้นว่าจะยังไม่รู้ถึงสถานการณ์ของตนเองในตอนนี้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอมั่นใจเป็นอย่างมาก ก็คือ นี่ไม่ใช่การถ่ายละคร แต่มันคือยุคโบราณอย่างแท้จริงผู้คนเหล่านี้ก็คือของจริง และหากเธอพลาดเธอก็จะถูกพวกเขาจับเผาไฟจริงๆ เช่นกัน
ท่ามกลางความตกตะลึง ด้วยความตกใจของทั้งสองฝ่าย ได้มีสายตาลุ่มลึกของบุรุษผู้หนึ่งกำลังจ้องมองมาที่เหมยลี่อย่างไม่วางตา
"ช่างน่าสนใจเสียจริง" กลิ่นอายที่ไร้ซึ่งการฆ่าฟันนั้น หรือยังแววตาสีฟ้าที่เต็มไปด้วยความใสซื่อ นางหาใช่ปีศาจร้ายแต่อย่างไร
เขาเคยอ่านเจอในหนังสือปกิณกะของชาวโพ้นทะเล ที่มาอาศัยอยู่ในแคว้นเหลียว จนสามารถพูดและเขียนอักษรของแคว้นเหลียวได้ ในเนื้อหาบางตอนได้ระบุถึงลักษณะภายนอกของผู้คนชาวโพ้นทะเลเอาไว้อย่างละเอียด บางคนจะมีนัยน์ตาที่มีสีแปลกประหลาด และผมสีทองหรือน้ำตาลแตกต่างกันออกไป ซึ่งหากเขาเข้าใจไม่ผิด สตรีผู้นี้อาจจะเป็นชาวโพ้นทะเลก็เป็นได้
และยังอุปกรณ์ที่นาง เอาออกมาหลอกล่อผู้คนเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าจะเป็น อุปกรณ์ในยุคสมัยของชาวโพ้นทะเลที่ได้ระบุเอาไว้ว่า มีความแปลกประหลาด และน่าอัศจรรย์ บางคนถึงกับเรียกพวกเขาว่า เป็นปีศาจแต่แท้ที่จริงแล้ว พวกเขาก็เป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดา ที่ไร้ซึ่งพลังอำนาจลึกลับแต่อย่างใด
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขา รู้สึกว่านางช่างน่าค้นหา จนไม่อาจละสายตาไปจากนางได้ ร่างกายกำยำสมกับเป็นบุรุษเพศ ก็ได้ลุกขึ้นท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของผู้คนโดยรอบ เขาตรงดิ่งไปที่สตรีประหลาดผู้นั้น ในสายตาก็จ้องมองไปที่นางอย่างไม่วางตา
"ท่านอ๋องคิดจะทำสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ"
แม้นแต่เหมยลี่เองก็ยังอดตกตะลึงไปกับความหล่อเหลาและน่าเกรงขามนั้นของเขาเสียไม่ได้ บุรุษผู้มีรูปร่างใหญ่โต คิ้วคมเข้มรูปกระบี่จมูกเป็นสันรับกับหน้าผาก ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรง โดยไม่ได้บ่งบอกถึงอารมณ์ใด แต่สายตาของเขาที่จ้องมองมาที่นาง กลับเต็มไปด้วยความลุ่มลึก ไร้ซึ่งความหวาดกลัวอย่างเช่นคนอื่น
"อย่านะอย่าหาว่าข้าไม่เตือน หาไม่แล้วข้าจะดูดวิญญาณของเจ้า ลงสู่นรกภูมิจริงๆ ด้วย" เสียงที่ติดจะออกไปทางสั่นเล็กน้อย พร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวสั่นไหวไปมาในขณะที่จ้องมองมาที่เขาทำให้ชินอ๋องเกาเจี้ยนหาน ถึงกับยกยิ้มของตนเองออกมาอย่างนึกขบขันเสียไม่ได้
เพียงเท่านี้เขาก็รู้แล้วว่านางกำลังรู้สึกหวาดกลัว กับการกระทำของเขาอยู่ เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้นางมากเท่าไหร่ กลิ่นอายของความกลัวนั้นยิ่งเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางการกระทำที่ไม่คาดคิดของเขา ผู้คนได้แต่มองมาอย่างตกตะลึงเสียไม่ได้ ที่ชินอ๋องบุรุษผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่า เย็นชาดุจน้ำแข็งใน เหมันต์ฤดู กำลังถอดเสื้อคลุมของตนเองไปคลุมทับร่างของสตรีผู้นั้นเอาไว้
"อาภรณ์ของเจ้าแนบไปกับเนื้อตัวจนหมดแล้ว รับมันไว้ก่อนที่เจ้าจะทำเรื่องน่าอายไปมากกว่านี้"
ท่ามกลางความไม่คาดคิด ว่าเขาจะทำเช่นนี้เหมยลี่ถึงกับอ้าปากค้าง จนไม่สามารถหุบมันลงได้เสียแล้ว
ชินอ๋องยังก้มลงไปกระซิบที่ข้างใบหูของนางเพื่อให้ได้ยินเพียง 2 คน
"เจ้าจะเอาตัวรอดกับสถานการณ์นี้เช่นใด ข้าชักอยากจะรู้เสียแล้ว" เขายกยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก หลังจากที่ได้คิดว่าจะได้ชมเรื่องสนุกต่อจากนี้ พร้อมกับเดินจากมาด้วยรอยยิ้มกระหยิ่มในใจ
เหมยลี่เองหลังจากที่ตั้งสติของตนเองได้ เธอก็พบว่ายังมีสถานการณ์ที่เธอต้องแก้ไขอีกหนึ่งอย่างในตอนนี้ คือสตรีที่นอนใบหน้าขาวซีดกำลังจ้องมองมาที่เธออยู่อย่างไม่วางตา เธอต้องรีบเร่งแก้ไขสถานการณ์โดยด่วน
"ข้าจะช่วยเจ้าเอง" เหมยลี่ก้มลงไปกระซิบที่ข้างใบหูของหลี่ไห่อิง เพื่อให้ได้ยินเพียง 2 คน เธอลุกขึ้นไป ด้วยท่าทีที่ดูมั่นใจ ,และดูน่าเกรงขามชวนให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว เธอกระชับเสื้อคลุมที่บุรุษผู้นั้นมอบให้แน่นขึ้น และกล่าวออกไปเสียงดัง
"สตรีผู้นี้สามารถพิสูจน์ตนเองแล้วว่านางยังสามารถมีชีวิตได้หลังจากที่จมลงไปในน้ำ นั่นก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า นางหาได้เป็นอย่างที่พวกเจ้ากล่าวหานางแต่อย่างใด เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะสังหารนาง หรือจับนางมาถ่วงน้ำได้อีก เรื่อง ทวงความบริสุทธิ์ของนาง รอให้นางรู้สึกดีขึ้นกว่านี้ ข้าจะเป็นผู้ไขข้อข้องใจเหล่านั้น ให้กับพวกเจ้าด้วยตนเอง"