ตอนที่ 21

4019 Words
"คุณพี่... นี่ก็พระบิฑบาตรให้แล้วเจ้าบัวยังมิกลับเรือนเลยข้าเป็นห่วงลูกเหลือเกินเจ้าค่ะ" เศรษฐีบุญช่วยได้แต่ปลอบภรรยาให้ใจเย็น พวกท่านไม่เป็นอันกินอันนอนตั้งแต่เมื่อคืน ท่านนั่งรอฟังข่าวจนสว่างแม้แต่เรือนพระยาไชยากรยังต้องช่วยกันออกตามหา ป้าศรีขึ้นเรือนมาหาผู้เป็นนายที่มานั่งรอฟังข่าวของบัวตั้งแต่เช้า "แม่นายเจ้าคะ! เมื่อตะกี้พระครูที่วัดให้เด็กขี่ม้าเร็วมาแจ้งข่าวว่าคุณยศกับเจ้าแก้วได้หายไปจากวัดตั้งแต่เมื่อวาน! ทั้งสองแลพวกเด็กๆในวัดแอบออกไปเที่ยวงานฉลองโบสถ์แล้วก็หายไปเลย!" ทุกคนตกใจกับข่าวใหม่ที่ได้รับ "เกิดกระไรขึ้นนี่ความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก! ต้องแบ่งคนไปหาไอ้สองตัวนี่อีกหาแต่เรื่องให้ตลอด มิใช่มันไปด้วยกันแล้วทะเลาะแทงคอกันตายแล้วกระมัง" ท่านพระยาไชยากรบ่นด้วยความเหนื่อยใจกับลูกหลานไม่รู้ความ ตอนท่านเลี้ยงลูกไม่เห็นหาเรื่องให้ทุกข์ใจเช่นนี้เลย "ได้เรื่องแล้วขอรับท่าน!" ยอดกับม่วงวิ่งหน้าตาตื่นมาแต่ไกล ยอดรีบรายงานข่าวที่ไปสืบมา "คุณพุ่มให้พวกกระผมมาแจ้งข่าว พบเรือจอดที่ท่าตลาดคุณหนูตามชาวบ้านไปงานปิดทอง คุณหนูได้ขอแลกเปลี่ยนผ้าผ่อนกับคนแถวนั้นแล้วหายไปในงานดู บ่าวดูแล้วเป็นผ้าของคุณหนูบัวจริงๆกระผมได้ไปแจ้งผู้ตรวจการให้ช่วยหาตามคำสั่งแล้ว อีกไม่นานคงเจอขอรับ" ยอดยื่นสะไบของบัวให้เจ้านายดู นางพุดซ้อนพยักหน้ายืนยันว่าเป็นของลูกสาว "เอ้...หรือว่าแม่บัวจะหายไปกับไอ้สองคนนั่น เออจริงสิ ข้าลืมไอ้เผือกลูกอีผินทาสเก่ามันเกลอกันอาจจะไปหากันก็เป็นไปได้ ไอ้ม่วงตอนนี้ไอ้แก้วกับไอ้ยศหายออกจากวัดตั้งแต่เมื่อวานสั่งคนไปหาไอ้เผือกแลไปถามคุณนายนิ่มทีว่าเจ้าแก้วไปหาหรือไม่" พระยาไชยากรสั่งการบ่าวรับใช้ ทุกคนดูวุ่นวายกับการตามหาคนจนไม่เป็นอันทำอะไร คุณหญิงประยงค์เริ่มรู้สึกผิดที่ตนเป็นต้นเหตุการณ์หายตัวไปของหลานสาวถึงกับรับประทานอะไรไม่ลง เรไรกับหมื่นพิพัฒน์เดินขึ้นบันไดมาทันได้ยินว่าแก้วหายตัวจากวัดก็ใจหาย หรือสองคนจะหายไปด้วยกัน หล่อนมองหน้าญาติผู้พี่อย่างกังวลใจ "กระผมร้อนใจแทบนอนไม่หลับ แม่เรไรก็เช่นกันนี่ก็ว่าจะกลับเข้าวังแล้วแต่เป็นห่วงน้องจึงมาถามไถ่" เรไรรู้ว่าแก้วมีท่าทีอย่างไรกับบัวแต่หล่อนคิดว่าตนจะเอาชนะใจแก้วได้ และบัวคงไม่กล้าแย่งคนที่หล่อนชอบพอและมีคู่หมายอยู่แล้ว หมื่นพิพัฒน์คิดหนักถ้าเป็นจริงอย่างที่คนส่งสัยละก็ เขากับแก้วเห็นทีจะอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันไม่ได้! "ฮ้าว...ปวดหัวจังอืม...แค่กๆ ...เมี่ยงขอน้ำให้ข้าหน่อย" บัวไอสองสามทีเรียกหาบ่าวคนสนิทหล่อนลืมตาขึ้นเห็นด้านหน้าเป็นหัวคนที่มีผ้าปิดหน้าอยู่ก็ตกใจว่าใครนอนกอดตนอยู่ ใจหายแวบรีบก้มมองดูที่ตัวเห็นผ้ายังอยู่ก็โล่งใจ หล่อนดึงผ้าออกมองดูชัดๆ เห็นเป็นแก้วหลับอยู่ก็ตกใจมากเผลอตบหน้าผากแก้วอย่างแรงจนเขาตกใจตื่น "คุณบัวมาตีกระผมทำกระไรเนี้ย..." แก้วลูบหน้าผากตนเองหงุดหงิดที่ถูกปลุก "ก็เอ็งนั่นแหละมานอนกอดข้านี่ไอ้ชั่ว! " บัวซัดหมัดใส่ปากแก้ว "โอ้ย! เจ็บนะโว้ย! แหกตาดูก่อนสิขอรับไม่ได้อยู่สองคนเสียหน่อย! แล้วคิดดูดีๆใครกอดใครกันแน่! แขนร้าวไปหมดแล้วตัวก็นิดเดียวหมัดหนักชะมัด..." บัวมองไปรอบตัวเห็นยศนอนอยู่ข้างตนถัดไปเป็นแตงอ่อนและเผือกนอนโกรนแข่งกัน หล่อนพยายามนึกว่าตนมาอยู่กับคนพวกนี้ได้อย่างไร ความจำสุดท้ายคือตอนนั่งขายเหล้าให้แตงอ่อนจากนั้นก็แอบชิมเหล้าต้มของแตงอ่อน "ตายละนังบัวเอ็งทำกระไรลงไปวะ... ทั้งเมาเหล้าแถมผิดผีมานอนกอดผู้ชายทั้งคืนอีกตายๆ ๆตายแล้ว!" บัวรีบขยับออกจากแก้วอายๆหล่อนถามแก้วว่าตนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรแก้วเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังคราวๆพยายามเขี่ยเอาขี้ตาตนเองออกให้มองได้ชัดขึ้น "ประเดี๋ยวนะ คุณบัวรู้สึกเหมือนเรือขยับหรือไม่ขอรับ" บัวนิ่งก่อนพยักหน้า ทั้งสองรีบออกจากที่ซ้อนเห็นเรือสำเภาที่ตนซ้อนตัวอยู่แล่นตามแม่น้ำเพื่อจะออกทะเล แก้วตกใจรีบกลับไปปลุกทุกคนให้ตื่นพอดีกับคนเดินเรือสำเภาชาวจีนพร้อมลูกน้องเดินมาดูที่เก็บสินค้าเพราะได้ยินเสียงคนคุยกัน คนเดินเรือเห็นพวกเขาโวยวายใหญ่คิดว่าเป็นโจรมาขโมยสินค้า พวกแก้วพยายามอธิบายแต่ไม่มีใครเข้าใจภาษาเพราะเป็นคนจีนมารับสินค้า ไต๋ก่งเรือสั่งลูกน้องจับทุกคนไว้แต่ยังโชคดีที่มีเด็กเดินเรือคนหนึ่งจำแก้วกับเผือกได้ เขาเคยเป็นเด็กส่งของร้านเถ้าแก่เซ่งและเด็กหนุ่มก็สามารถพูดไทยได้แก้วให้เขาอธิบายให้ไต๋ก่งเรือฟังตามความจริง "ข้าเป็นหลานชายพระยาไชยากร เรื่องที่เล่ามานี้เป็นเรื่องจริง ถ้าข้าวของเสียหายพวกข้าจะรับผิดเอง คนที่ชักภาพกับข้าคือน้องสาวท่าน" ยศช่วยพูดยืนยันอีกคนทั้งยังยื่นล็อกเก็ตประจำตัวที่มีภาพถ่านตนกับคุณนิ่มให้ดู ไต๋ก่งยอมเชื่อให้คนตรวจสอบสินค้าแต่ไม่พบความเสียหาย พวกเขายอมเข้าเทียบฝั่งส่งพวกแก้วขึ้นฝั่งที่ใกล้ที่สุดปล่อยให้พวกเขาหาทางกลับเอง ทั้งห้าคนยืนมองเรือที่แล่นจากไปริมตลิ่งคิดหนักจะหาทางกลับกันอย่างไร "พวกเราที่นี่ที่ไหนวะข้าก็ลืมถาม แล้วพวกเราจะกลับคลองบางรักกันเช่นไร" แก้วหันหน้าไปถามทุกคน "ซวยแล้ว/ซวยแล้วว่ะ! " เผือกกับแตงอ่อนร้องขึ้นพร้อมกันให้กับชะตากรรมของทุกคน บัวทำไม่รู้ไม่ชี้แอบสนุกอยู่ในใจ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยตื่นเต้นเท่านี้มาก่อนถ้าไม่นับเรื่องที่ช่วยแก้วจมน้ำแล้วผ้าแถบหลุด คุณนายนิ่มเดินนำหน้าบ่าวคนสนิทขึ้นเรือนพระยาภักดีดำรงค์ ยกมือไหว้ทุกคนนั่งลงตามคำเชิญ พระยาไชยากรไม่แปลกใจที่เห็นนางต่างจากคนในเรือนพระยาภักดีฯ ปกติไม่ได้ไปมาหาสู่กันนัก "ได้ข่าวว่าเจ้าแก้วหายไปไม่กลับวัดทั้งคืนดิฉันร้อนใจเลยมาหาท่าน นี่ไอ้สิงห์บ่าวดิฉันมันบอกว่าเห็นเจ้าแก้ว คุณยศแลไอ้เผือกที่ลานมวยตอนพลบค่ำได้กระมัง" "ใช่ขอรับตอนนั้นบ่าวกำลังขึ้นชก คุณแก้วกับนายน้อยที่ชื่อคุณยศแลไอ้เผือกไปรับเดิมพันมวยพอได้ค่าเดิมพันมา แบ่งให้บ่าวถึงสองบาท ก่อนจะชวนกันไปกินเหล้าต่อจากนั้นก็ไม่เห็นตลอดงานขอรับ" "ให้เบี้ยเอ็งเยอะเยี่ยงนั้นแสดงว่าทั้งสามจะต้องถือติดตัวเยอะพอควร หรือจะโดนปล้น" คุณนายนิ่มวิเคราะห์ ถามสิงห์อีกครั้ง "แล้วเอ็งรู้ไหมมีซุ้มเหล้าผู้ใดบ้างจะได้ไปถามถูก" "เท่าที่บ่าวเห็นน่าจะซุ้มลุงรี ซุ้มตามีและซุ้มไอ้เพิกวัดดอนเห็นมีอีกสองซุ้มบ่าวไม่รู้จัก น่าจะมาจากทางอื่น อ้อ... เมื่อวานนี้มีแข่งเรือยาวและเปรียบมวยพวกนักเลงมวยนักเลงเรือยาวมาเยอะพอควรขอรับพวกมาพนันขันต่อ บ่าวคิดว่าคุณแก้วหน้าจะไปซุ้มลุงรีหรือไม่ก็ซุ้มตามี แต่คุณแก้วไม่ค่อยถูกกับพ่อนางแตงอ่อนอาจจะไปซุ้มอื่นก็เป็นได้ขอรับ" สิงห์แจงเท่าที่รู้เห็น "อืม...เช่นนั้นเอ็งลองพาลูกน้องเอ็งไปถามพวกขายเหล้ายาดูซิ ได้ความอันใดรีบมารายงานข้าโดยเร็ว" คุณนิ่มรีบใช้บ่าวไปตามหาแก้วอย่างเร็ว นางยกมือไหว้เหนือหัวขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองแก้วให้ปลอดภัย "เจ้าพระคุณเจ้าที่เจ้าทางเทวดาฟ้าดินขอให้เจ้าแก้วแลทุกคนกลับมาปลอดภัยด้วยเถิด ถ้าเจ้าแก้วกลับมาโดยปลอดภัยลูกจะทำโรงทานแจกข้าวปลาอาหารทั่วคลองบางรักแถมนางรำถวายคณะใหญ่งานนี้หมดเท่าใดเท่ากัน!" คุณหญิงประยงค์กับลูกสาวมองหน้ากัน แค่บ่าวหายไปแค่นี้นางถึงกลับร้อนใจเพียงนี้หรือ คราวก่อนก็พระยาไชยากรที่หนึ่งถึงขนาดรับเป็นหลานชายออกหน้าออกตาพวกนางชักจะสงสัยแล้วแก้วเป็นลูกชายผู้ใดกัน "เรือที่เราโดยสารมาเป็นเรือสำเภาเล็กคงจะไปถ่ายโอนสินค้าใส่เรือที่ใหญ่กว่าเพื่อไปแผ่นดินจีน ข้าจึงคิดว่าแถวนี้น่าจะเป็นแถวเมืองปากน้ำสมุทรปราการเลยไปไม่ไกลเป็นคลองปลากัดพวกชาววิลันดาชอบอาศัยค้าขายแถวนี้ ท่านขุนมาเก็บค่าจังกอบปีก่อนข้าเลยตามมาด้วย" แก้วมองแม่น้ำและทิศทางที่เรือสำเภาขนส่งสินค้าแล่นไป "เอ็งแน่ใจนะไอ้แก้ว" ยศถามเพื่อความมั่นใจแค่วันเดียวเขาก็จะทนไม่ไหวแล้ว อยู่ที่วัดสบายกว่านี้เยอะอย่างน้อยก็มีข้าวกินอิ่มนอนหลับสบาย "กระผมก็ชักไม่แน่ใจเท่าใด เดาเส้นทางเรือทีเรามามันออกไปทางกระโน้นเราก็ต้องกลับทางนี้ถ้าเดาผิดเราก็จะได้ไปว่ายน้ำเล่นที่ทะเล" "ข้าอยากไป! พี่แก้วจ๋า... ข้ายังมิเคยเห็นทะเลเลยนะ เขาว่ามันใหญ่มากน้ำมันก็เค็มสงสัยเรือขนเกลือจะคว่ำเราไปดูกันเถอะนะ" "แตงอ่อน...กลับเรือนให้ได้เสียก่อนเดี๋ยวข้าจะพาเอ็งเอาคุไปตักน้ำเค็มไปฝากหลานกับพ่อเอ็งด้วย" เผือกร้องขัดมือล้วงย่ามติดตัวหายาเส้นมาพันกันเพื่อสูบดับความเครียดแต่โดนแก้วดึงทิ้งเพราะกลิ่นฉุนทำให้บัวกับยศเหม็น พวกแก้วเดินเลียบตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยาไปเรื่อยเนื่องจากไม่มีเรือให้พวกเขาอาศัยเข้าพระนคร ยศเดินบ่นตลอดทางจนทะเลาะกับแตงอ่อนบ่อยครั้ง หล่อนโทษยศที่เป็นเหตุให้ทุกคนมีสภาพลำบากเช่นนี้ ทั้งสองโทษกันไปมาจนเป็นที่น่ารำคาญของทุกคน "ข้าชักหิวแล้วว่ะ ต้องเดินอีกนานไหม ปวดเท้าด้วยดูท่าเท้าจะบวม" ยศลูบท้อง ทุกคนเริ่มหิวเพราะสายมากแล้ว พวกเขาหยุดพักใต้ต้นไม้ริมแม่น้ำเผือกอาสาทำคันเบ็ดไปตกปลา ส่วนบัวกับแตงอ่อนไปเก็บมะละกอสุกที่มองเห็นอยู่ไม่ไกลนัก แตงอ่อนยังคงปากเสียพูดจากระแนะกระแหนยศอยู่ไม่ขาดปากเพราะไม่ชอบใจในตัวชายหนุ่มที่ชอบหาเรื่องแก้วมาแต่เด็ก บัวไม่ขัดปล่อยหล่อนพูดไปคนเดียวด้วยรู้ว่าแตงอ่อนก็ไม่ชอบหน้าตนเท่าใดนัก ถ้าพูดขัดอาจจะทะเลาะกันเปล่าๆ บัวตัดมะละกอสุกแบ่งทุกคนกินแก้หิวก่อน เผือกและแก้วนั่งตกปลาตั้งนานได้ปลาเพียงตัวเดียวกำลังคิดจะแบ่งกันอย่างไรดี "โห...ตัวใหญ่จริง...พวกเอ็งกินกันเถอะนะ เอาเลยไม่ต้องเกรงใจไอ้เผือกคนนี้จะเสียสละเพื่อทุกคนเอง" "ถุย...ปลาตัวเท่าหัวแม่ตีนหมามันยังกินไม่อิ่มเลยทำเป็นเสียสละ มันวันซวยชัดๆนังแตงอ่อนเอ้ย... ป่านนี้พ่อข้าตามหาแย่แล้ว เฮ้อ..." ทุกคนเริ่มคิดไปต่างๆ นาๆ นั่งแสบท้องกันเพราะมะละกอที่ทานไปก็เริ่มย่อยแล้ว "ถ้ามีแหติดตัวมาก็ดีสิ" แก้วคิดหาอาหาร มองแม่น้ำเจ้าพระยาที่อาหารค่อนข้างจะสมบูรณ์แต่ดูเหมือนเทวดาจะกลั่นแกล้งพวกเขา วันนี้แม่น้ำไหลเชียวจนเขาไม่กล้าลงงมหากุ้งแม่น้ำ "ทุกคนรอตรงนี้ข้ากับไอ้เผือกจะเข้าไปหารังแตนในป่า เผื่อได้ไก่ป่ากระรอกกระแตมาย่างแก้หิว" "ไม่ต้องดอกพี่แก้วพี่เผือก เรามันคนเมืองไม่ชำนาญหาของป่าจะอันตรายเอา ข้าทนได้" แตงอ่อนเตือน ตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยเห็นสองคนนี้หาของป่าขืนปล่อยไปมีหวังได้เรื่องแน่ "แถวนี้เป็นริมแม่น้ำไม่ไกลอาจมีหมู่บ้านข้าว่าเราเดินไปเรื่อยๆก่อนดีกว่า" บัวเห็นด้วยกับแตงอ่อนอยากให้เกาะกลุ่มกันไว้ ทุกคนเริ่มออกเดินทางอีกครั้งโดยยึดเส้นทางเลียบริมแม่น้ำเข้าพระยาไว้ ระหว่างทางก็ขุดหัวมันหัวเผือกเอาไว้รับประทาน "โชคดีจังเจอกล้วยสุกพอดี" บัวกัดกินกล้วยน้ำหว้าอย่างหิวโหย มีเผือกอาสาแบกเครือกล้วยให้ "ร้อน! นี่ก็พระอาทิตย์เลยหัวไปแล้วหยุดพักได้ไหมข้าปวดขาหมดแล้ว" ยศบ่นปาดเหงื่อไปพลาง ตอนนี้เขาแทบจะก้าวขาไม่ออกเกิดมาไม่เคยเดินนานขนาดนี้มาก่อน "เป็นผู้ชายเสียเปล่าอ่อนแอชะมัด" แตงอ่อนแขวะไม่ชอบที่ยศบ่นตลอดทาง "นังแม่ค้าว่าข้าอีกแล้วนะ ใช่ซี้... ข้ามิใช่ไพร่เหมือนพวกเอ็งนี่จะได้ทนลำบาก ซวยๆๆ! "เป็นไพร่แล้วจะทำไมไอ้คุณยศ! ที่ต้องตกอยู่สภาพนี้เพราะผู้ใดกัน อย่ามาชี้หน้าข้าหาใช่คนในเรือนที่ต้องกลัวเจ้า!" "นัง! นัง!" "พอ! จะทะเลาะกันไปไย รำคาญหู! ทะเลาะกันอยู่ได้แยก! คุณยศคุณก็ทนเดินอีกหน่อยค่อยพักตรงนี้ยุงชมเดี๋ยวก็ไข้แดก นังแตงอ่อนเอ็งไปเดินฝั่งโน้นกับคุณหนูบัวไป แล้วช่วยหุบปากทั้งสองคนไม่เช่นนั้นข้าจะทิ้งไว้ตรงนี้ให้หาทางกลับเอง!" แก้วแยกทั้งสองคนให้ห่างกันเข้าไว้เร่งหาที่พักที่ปลอดภัยกว่านี้ กว่าจะได้ทำเลดีทุกคนก็แข้งขาอ่อนไปตามกัน "ตะบันไฟเอ็งเสียหรือไม่เผือกทำไมไม่ติด" บัวสงสัยพยายามก่อกองไฟเพื่อเผาหัวมันที่หามาได้ตามทาง "ฟู! ฟู! ติดแล้ว! เย้! ข้าจุดไฟติดแล้วดูสิ!" "เออๆ รีบเอาใบไม้ซุมเยอะๆ จะดีใจกระไรหนักหนา แม่นี่ก็แปลกคน?" แตงอ่อนหักไม้ให้บัวที่ดูจะสนุกสนานอยู่คนเดียว "แล้วมันกินหรือ ข้าเห็นมีแต่เขาเอาไว้ให้ไก่กินนี่" ยศสงสัยมองแก้วย่างหัวมันสี่หัว ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยทานของพวกนี้มาก่อน "กินๆไปเถิด ไก่กินได้คนก็กินได้แต่จะอืดท้องนิดหน่อยดีกว่าอด เรานอนตรงนี้แหละเดี๋ยวย่างเสร็จไอ้เผือกเติมฟืนไล่ยุงเยอะๆเลย สักสองกองเผื่อไล่สัตว์ด้วย" พอท้องอิ้มทุกคนก็เตรียมพักผ่อนท่ามกลางความหวาดกลัว เกิดมาไม่เคยลำบากขนาดนี้มาก่อน อากาศช่วงหัวค่ำช่างเย็นจนขนลุกชันต้องเขยิบเข้าไกล้กองไฟ มองไปรอบตัวมีแต่ความมืดมิดและเสียงแมลงกลางคืนร้องชวนหลอน "มืดเยี่ยงนี้ข้าชักกลัวล่ะ" บัวจากที่คึกคักกว่าใครตอนนี้แนบชิดแตงอ่อนที่นั่งร้อยเหรียญใส่เชือกเก็บไว้อย่างดี "เราจะรอดใช่หรือไม่ ข้าไม่อยากตายที่นี่" ยศขอนั่งตรงกลางระหว่างเผือกกับแก้วมองรอบตัวอย่างระแวง ดึกแล้วเขาเริ่มหิวอีกครั้งครั้นจะขอทานกล้วยอีกลูกก็กลัวทุกคนจะหาว่าเขาตะกละ ได้แต่ดื่มน้ำตามเยอะๆให้อิ่มท้อง "ป่านนี้ทุกคนคงจะตามหาเราให้วุ่น เฮ้อ... ครบวันใช้หนี้เถ้าแก่หลี่วันนี้ด้วยป่านนี้พังเรือนข้าแล้วกระมัง" แตงอ่อนเป็นห่วงครอบครัวเพราะเงินใช้หนี้อยู่ที่ตน "ยังไม่หมดอีกหรือ ข้าเห็นเอ็งใช้มานานแล้วนี่" แก้วสงสัย วันๆหนึ่งแตงอ่อนทำงานแทบไม่ได้หยุดพักหนี้ของพ่อนางหน้าจะหมดแล้ว "ข้าส่งแต่ดอก นาที่ทำน้ำก็ดีเกินชาวบ้านท่วมทุกปีได้ข้าวปีละไม่กี่เกวียน ขืนเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยพ่อคงขายข้าเป็นเมียใครสักคน" แตงอ่อนดูจะเศร้าสร้อยต่างจากเมื่อตอนกลางวัน ครอบครัวนางมีกันเจ็ดชีวิตล้วนแต่เป็นคนแก่และเด็กถ้านางหายไปเช่นนี้ทุกคนต้องลำบากมาก นางเป็นห่วงปู่กับย่าและน้องชายคิดไปต่างๆนาๆ บัวได้ยินหล่อนปรับทุกข์กับแก้วและเผือกก็นึกเห็นใจอยากจะช่วย คิดว่าถ้ากลับเรือนได้จะให้เบี้ยหล่อนสักก้อนไปใช้หนี้ "เอ็งยังดีที่ได้ทำเพื่อคนที่รัก ดูข้านี่สิ พ่อกับแม่หายหน้าไปเป็นสิบปีแล้วมิรู้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่" "เอ็งสองคนจะเศร้าไปไยวะ เปลี่ยนเรื่องพูด นี่เอ็งได้ยินข่าวเรื่องไก่ชาวบ้านที่หายไปหรือไม่" เผือกเปลี่ยนเรื่องชวนคุย "เออๆ ข้างเรือนข้าก็หายไก่อีกระแตด้วย แล้วตกลงผู้ใดขโมย" "เขาว่าผีปอบมันเอาไปกิน" "ปอบ! มันอยู่แถวลาสมิใช่หรือ เขาว่ามันชอบกินสัตว์สดๆนี่" แตงอ่อนเขยิบเข้าใกล้บัวทันที "ไอ้ขวัญกับทิศรุณที่ตีเหล็กขายบอกว่าเห็นยายเม้ากัดกินไก่สดๆ ตอนกลางคืนตอนที่มันไปขี้ ยายเม้ายังหันมายิ้มให้มันเลย บรึ้ย! ขนลุก!" เผือกเล่าเป็นตุเป็นตะ "เขาว่ากลางวันนี่นอนทั้งวันแต่พอถึงกลางคืนลุกขึ้นมาหาของกิน เสร็จแล้วยังเอาปากไปเช็ดผ้าถุงชาวบ้านอีก แถวหมูบ้านข้าเริ่มมีคนตายแล้วด้วย" ทุกคนเริ่มขยับเข้าหากันด้วยความกลัว บรรยากาศชวนขนหัวลุกจนแตงอ่อนต้องบอกให้หยุด ฮูก... ฮูก... ฮูก... "สะ สะเสียงอันใด..." ยศปากคอสั่นกอดแขนแก้วแน่น เสียงนี้ที่เรือนเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน "นกฮูก จะกลัวไปไยกัน ดีนะคืนนี้เป็นคืนเดือนหงายมีแสงบ้างไม่น่ากลัวเท่าไหร่ นอนกันเถิดดึกมากแล้วจะได้ออกเดินทางแต่เช้า" แตงอ่อนกับบัวสำรวจดูใบไม้ที่ปูเป็นที่นอนอีกครั้งว่ามีแมลงหรือไม่แล้วล้มตัวลงนอนตัวแนบชิดกันไว้ เผือกเอาผ้าคาดเอวตบที่นอนตนล้มตัวลงนอนห่างจากแก้วเล็กน้อย "ปวดฉี่... " ยศกระซิบสายตาเว้าวอนให้แก้วพาไปปัสวะ "เฮ้อ... ตั้งแต่เด็กยันโตกลัวกระไรนักหนาที่เที่ยวเล่นดึกดื่นกับคุณมาโนชไม่เห็นกลัว" แก้วบ่นที่ยศกลัวผีไม่เลิกรีบพาเขาไปทำธุระแล้วกลับมานอน ยศกอดแขนแก้วไว้แน่นจนเขาอึดอัดแต่ให้ทำอย่างไรได้จิตใจแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน วิว....... วู...... เสียงลมตอนกลางคืนพัดกระทบกับต้นไม้และกอไผ่ชวนหลอกหลอนทุกคนจนต้องขยับเข้าใกล้กัน ถึงแม้จะก่อกองไฟลุกโชนแต่อากาศก็เย็นยะเยือกจนต้องกอดตัวเอง ยศกับบัวไม่เคยลำบากมาก่อนได้แต่พลิกตัวไปมานอนไม่หลับจมอยู่ในความคิดของตนเองไปต่างๆนาๆ ต่างจากทั้งสามคนที่ชีวิตไม่ได้สุขสบายนักพอล้มตัวนอนก็หลับได้ทันที "ฮือ... " "...." "ฮือ... " เสียงครางของยศทำเอาแก้วที่นอนติดกันตื่น เขาหงุดหงิดที่ยศมีปัญหาได้ตลอด "เป็นกระไรอีกวะ... คุณยศ... คุณยศ..." "อือ.... ปวดหัว..." "ฮือ... ปวดหัวรึ ไหนดูซิ" แก้วลองจับหน้าผากยศก็รู้ได้ทันทีว่าโดนไข้เล่นงาน "ตัวรุมๆมีไข้นี่" แก้วนั่งคิดหนัก ปกติยศก็เป็นคนเจ็บไข้ง่ายตากฝนตากลมหน่อยก็ไม่สบายแล้ว วันนี้เดินทั้งวันอากาศก็ร้อนพอกลางคืนเจอกับอากาศเย็นเข้าไปจึงทำให้ไม่สบาย "พี่แก้วเกิดอันใดหรือพี่ทำไมไม่นอนนี่ก็จะยามสี่แล้วหนา" แตงอ่อนรู้สึกตัวมองแก้วที่นำผ้าชุบน้ำมาเช็ดตามตัว "คุณยศโดนไข้เล่นงาน ทางที่เราเดินผ่านมีฟ้าทะลายโจนน่าจะช่วยได้แตงอ่อนเฝ้าคุณยศไว้นะ" แก้วคิดจะออกไปหาสมุนไพร เผือกกับบัวตื่นพอดี บัวอาสาไปกับแก้วให้เผือกอยู่กับแตงอ่อน "ต้องใช้ฟ้าทะลายโจนหรือแล้วจะใส่อันใดต้มล่ะ?" "กระบอกไม้ไผ่คงได้ มีบอระเพ็ดแต่ต้องหมักกับน้ำผึ้งถึงจะถอนพิษไข้ให้กินเปล่าๆคุณยศไม่กินแน่ คุณหนูเดินดีๆระวังสัตว์มีพิษ" แก้วใช้คบเพลิงส่องนำทางสายตากวาดหาสมุนไพร บัวเดินตามติดๆพออยู่ในที่มืดกันสองคนอย่างนี้หล่อนชักกลัวขึ้นมา "รางจืดนี่แก้ว" บัวชี้ไปที่เครือรางจืดที่เลื้อยขึ้นต้นไม้ "เอารางจืดนี่ไปแทนฟ้าทะลายโจรได้ป้าศรีเคยต้มให้กิน" แก้วรีบดึงเถาต้นรางจืดจะเอาไปต้ม บัวถือคบเพลิงให้ หล่อนแอบยิ้มให้แก้วที่ดูจะเคร่งเครียดมากเมื่อเห็นยศไม่สบายทั้งๆที่ยศก็ไม่ได้ทำดีกับเขาเลย ช่างเป็นคนดีกระไรเช่นนี้ ^...^ "ข้าว่าตอนเด็กเหมือนจะเคยเจอแก้วนะ คุ้นๆว่าเลยเล่นด้วยกันแก้วจำได้หรือไม่ หล่อนว่าจะถามนานแล้ว แก้วใช้ความคิดพักใหญ่ก่อนจะส่ายหน้า "กระผมเคยตกเรือนจนความจำลางเลือน แต่กระผมก็ว่าคุ้นชื่อคุณหนูบัวอยู่หนา" สวบ.... "...." เสียงกระไร!" บัวกระโดดกอดแขนแก้วทันที หล่อนกลัวจะเป็นสัตว์อันตรายแก้วส่องดูทั่วแต่ไม่เจอเจ้าของเสียงจึงเร่งเท้า เขากุมมือน้อยๆของบัวไว้แน่นพยายามปลอบใจหล่อนไม่ให้กลัว "ใกล้จะสว่างแล้วคงเป็นสัตว์กลางคืนที่จะกลับบ้านมันคุณไม่ต้องกลัวดอก บ่าวอยู่ทั้งคน" "ถ้าเกิดอันใดขึ้นแก้วจะไม่ทิ้งข้านะ..." "อืม... ถ้าเกิดเหตุอันใดขึ้นบ่าวจะไม่ทิ้งคุณบัว คุณจะต้องปลอดภัยไอ้แก้วคนนี้สัญญา" บัวอุ่นใจที่แก้วรับปาก หล่อนกระชับมือแน่นขึ้นรีบเดินเคียงข้างชายหนุ่มที่ตอนนี้หล่อนชักจะใจเต้นกับเขาแปลกๆ "ป้าศรีนั่นคือสิ่งใด" ขุณวิชิตทักเมื่อเห็นป้าศรีเดินออกจากห้องนอนของแก้วในมือถือกะลาใบเล็กออกมา เขาส่องดูมีพวงดอกไม้แห้งขดอยู่ "จะเอาไปทิ้ง เหี่ยวขนาดนี้แล้ว" ขุณวิชิตพยักหน้าอนุญาตก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านั่นคือพวงดอกไม้ที่บัวเคยให้แก้วคอนเป็นเด็ก เขาเรียกป้าศรีไว้ให้เอาไปเก็บไว้ข้างเตียงเหมือนเดิม "กระไรของคุณชิดเขา" "มันเป็นของสำคัญ ถ้ามันจะทิ้งคงทิ้งนานแล้วไม่เก็บไว้ตั้งหลายปี ป้าแค่เก็บกวาดก็พอแล้ว เออ อย่าลืมหาข้าวปลาให้พวกคนงานด้วยหนาให้เขาอิ่มหนำจะได้ทำงานให้เราดีๆ" ขุนวิชิตมองลอดหน้าต่างไปยังเรือนหลังเล็กที่กำลังสร้างใหม่อีกสองเรือน "ท่านให้คนสร้างเรือนใหม่ใครจะอยู่หรือเจ้าคะ หรือคุณวาดกับสามีจะกลับมา" "ประเดี๋ยวก็รู้..."

Read on the App

Download by scanning the QR code to get countless free stories and daily updated books

Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD