ฉันเดินเข้าไปด้านในก่อนที่คนจ่ายยาจะเดินสวนฉันเพื่อกลับบ้าน ไฟหน้าร้านปิดลงหมอดินแดนก็ล็อกประตูบานเลื่อนผายมือให้ฉันเดินตามเข้าไปในห้องตรวจ
“ขอโทษด้วยนะคะคุณหมอ คือฉันทำงานเพลินไปหน่อยน่ะค่ะ... ทำให้คุณหมอกลับบ้านช้าเลย”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ คุณเอวาไม่ได้ผิดอะไร” คุณหมอดินแดนเดินไปยังด้านหลังโต๊ะของตัวเองเปิดลิ้นชักหาเอกสารที่เป็นประวัติของฉันเพื่อได้ที่ต้องการเขาก็หมุนเก้าอี้นวมทิ้งตัวลงนั่งพลางอ่านรายละเอียด
“คุณหมอดินแดนจำคนไข้เก่งนะคะ”
“ครับ ผมจดจำคนไข้ทุกคนที่มาให้ผมรักษา” รอยยิ้มที่เปื้อนบนใบหน้าทำเอาฉันจับจ้องมองไม่เบื่อเลย เขาเป็นผู้ชายคนแรกก็ว่าได้เลยนะที่ทำให้ฉันรู้สึกชอบรอยยิ้มนี้... รอยยิ้มที่ทำให้ตายิ้มไปด้วย “หลังจากทานยาที่หมอสั่ง คุณเอวาหายดีแล้วใช่ไหมครับ?”
“ค่ะ หายป่วยตั้งแต่วันแรกที่ทานแล้วค่ะ”
“แสดงว่าคุณเอวาทำตามที่หมอบอก ดีมากเลยครับ” จรดปากกาขีดเขียนบนเอกสาร ฉันก็ได้แต่ลอบมองใบหน้าหล่อเหลาที่เผลอทำให้ตัวเองยิ้มออกมาไม่รู้ตัว “คุณเอวายิ้มอะไรเหรอครับ?”
“คะ เออ... เปล่าค่ะ” ก้มหน้าลงมองมือของตัวเองที่บีบเข้าหากัน ก่อนจะมองเวลาที่ข้อมือก็พบว่าสองทุ่มกว่าแล้ว
“ยังไงหมอก็ขอให้คุณเอวาหลีกเลี่ยงเกสรดอกไม้ที่ทำให้คุณเอวาแพ้นะครับ” พยักหน้ารับ “ถ้าอาการภูมิแพ้กำเริบอีก มาหาหมอได้เสมอครับตามเวลาที่คลินิกเปิด”
ลุกขึ้นเดินเอาเอกสารไปเก็บไว้ในลิ้นชักตามเดิม จู่ๆ ในหัวของฉันก็ดันคิดถึงคำพูดของยัยปุ้ยเพื่อนที่ยุยงให้ฉันจีบหมอดินแดน
“คือว่าหมอคะ”
“ครับ” ฉันลุกขึ้นยืนมองสบตากับหมอดินแดนที่หยุดชะงักเตรียมเอาสมาร์ทโฟนสีน้ำเงินเข้มลงกระเป๋ากางเกง พร้อมกุญแจรถบีเอ็มที่มองดูก็รู้ว่าเป็นรถยี่ห้อไหน “คุณเอวา...”
“ไปทานข้าวกับฉันไหมคะ?” หมอดินแดนนิ่งไปทันทีจนฉันกัดปากตัวเอง เผลอพูดบ้าอะไรออกไปเนี่ยเอวา! “มันดึกแล้วน่ะค่ะ แล้วฉันก็รบกวนหมอดินแดนนอกเวลาด้วย”
“ไม่เป็นไรครับ” คำปฏิเสธของหมอดินแดนทำให้ฉันหน้าแตกดังเพล้งเลยล่ะ
“อะ โอเคค่ะ” ปรบมือเข้าหากันฉันก็หยิบกระเป๋ามาสะพายข้าง จากนั้นก็ยกมือไหว้ร่างสูงที่รับไหว้อย่างเต็มใจ “มีอีกเรื่องที่ฉันอยากบอกหมอค่ะ”
“ได้สิครับ” เป็นคนที่จิตใจดีมาก สุขุมและเย็นชาสุดถึงจะยิ้มเก่ง ดูเป็นมิตรแต่เขาดูเข้าถึงยากจริงๆ ยากกว่าผู้ชายคนอื่นที่เข้าหาฉันด้วยซ้ำ
“ผู้ชายที่มากับฉัน เขาไม่ใช่สามีฉันค่ะ”
“...”
“เขาเป็นบอดี้การ์ดที่พ่อฉันให้ติดตามเวลาไปไหนมาไหนด้วย” หมอดินแดนฟังนิ่งๆ โดยไม่พูดอะไรด้วยซ้ำ “ที่จะบอกก็มีแค่นี้ค่ะ ไม่อยากให้หมอเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองคิด”
เมื่อได้พูดในสิ่งที่อยากพูดฉันก็ขอตัวออกจากคลินิกของเขา แต่ทว่ารถไม่ได้ขยับไปไหนสายตาของฉันทอดมองร่างสูงที่กำลังปิดคลินิกของตัวเองจากนั้นก็ตรงไปยังรถบีเอ็มสปอร์ตสีขาวสองประตู
“เดี๋ยวนะเอวา... จะมาแอบดูเขาเป็นโรคจิตทำไมเนี่ย!”
บ้านในเวลาสี่ทุ่มช่างเงียบเหงาจริง หลังจากกลับจากคลินิกหมอดินแดนฉันก็พาตัวเองเข้าห้องทันทีโดยไม่กินข้าวที่แม่บ้านทำให้หลังจากอาบน้ำเสร็จสวมชุดนอนสายเดี่ยวผ้าลื่นก็ทิ้งตัวนั่งลงปลายเตียงเปิดทีวีดูพลางต่อสายหาใครสักคนที่ป่านนี้คงจะกระวนกระวายอยู่แน่นอน แล้วก็จริง
(“เพิ่งกลับเหรอครับ?”)
“ใช่แล้วค่ะ คงไม่ห่วงแล้วนะคะ”
(“ไม่แล้วครับ”)
“หรือจะให้ส่งรูปไปให้ดู?”
(“ไม่ต้องครับ แค่คุณถึงบ้านอย่างปลอดภัยผมก็หายห่วงแล้ว”) น้ำเสียงถอนหายใจของเตชินทร์ทำให้ฉันยิ้มออกมาพลางเดินอ้อมจากปลายเตียงไปนั่งข้างเตียงแทนและเปิดเกะลิ้นชัก
“นอนแล้วนะคะ พรุ่งนี้ต้องเข้าไปตัดชุดสูทให้พ่อสองคน”
(“ครับ? พ่อสองคนอะไรผมไม่เข้าใจ”)
“ก็พ่ออัตพลกับพ่อเตชินทร์ไงคะ” บอกเองก็ขำเอง แต่ทว่าปลายสายกลับเงียบไปจนฉันยกหน้าจอออกมาดูก็พบว่าสายไม่ได้หลุดไป “เฮ้”
(“แค่นี้นะครับ มะรืนคุณท่านจะกลับ”)
“ค่ะ”
วางสายไปเฉยๆ เลยแหะ... ฉันวางสมาร์ทโฟนไปยังหัวเตียงทอดสายตามองของในเกะมุมปากก็ยกขึ้น พลางปิดมันไว้ตามเดิมทิ้งตัวลงนอนมองเพดานห้อง
คนอย่างเอวาไม่เคยตามจีบใครมาก่อนเลยนะ คุณหมอดินแดนทำให้ฉันหน้าแตกแบบสุดๆ แค่คิดว่าอายตัวเองชะมัด