บทที่ 3 โชคชะตา
แม้บรรยากาศรอบกายจะมืดสนิทและน่ากลัวเพียงใด แต่ฉันก็ไม่ลังเลที่จะหมุนตัววิ่งหนีออกจากจุดนี้ เสียงเปิดประตูรถดังขึ้นตามหลัง ก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงฝีเท้าของใครหลายคนดังตามมา
ผู้ชายสามคนบนรถก่อนหน้านี้กำลังวิ่งตามหลังฉัน สายตาที่เริ่มปรับเข้ากับความมืดทำให้ฉันมองเห็นรอบกายราง ๆ แต่มันก็บอกได้แค่ว่าตำแหน่งที่ฉันกำลังวิ่งอยู่นั้น ไม่ใช่ถนนแล้ว...
“ฮ่า ๆ วันนี้แหละมึงเอ๊ย!” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น ทำให้ฉันรีบเร่งฝีเท้าหนีด้วยความรวดเร็ว ทว่า
กึก!
ตุบ!
“อ๊ะ!...” ฉันกลับสะดุดอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น ทำให้ตัวของฉันล้มลงอย่างแรง ความเจ็บแปล๊บเข้าเล่นงานหัวเข่าของฉัน และฉันก็รู้สึกถึงเลือดที่ไหลเป็นทาง
“ฮึก ฮืออ~ แม่คะ ฮืออ...” ความกลัวทำให้ฉันเรียกหาแม่ ฉันลุกขึ้นไม่ไหว ขณะเดียวกันเสียงฝีเท้าที่ดังตามมายิ่งเข้าใกล้เรื่อย ๆ ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกกำลัง ก่อนจะใช้แรงเฮือกสุดท้ายพยุงตัวเองขึ้น ทว่ามันก็ไม่ทันเสีย
หมับ!
“กรี๊ดด!!” ฝ่ามือหยาบกร้านคว้าหมับที่ต้นแขนของฉัน แรงเหวี่ยงที่เกิดขึ้นทำให้ร่างของฉันปลิวไปติดแผ่นอกของผู้ชายคนหนึ่ง
“หึ ได้ตัวมันแล้วเฮีย”
“แฮ่ก ๆ เอามันมานี่ กูจะสั่งสอนมันสักหน่อย” ฉันกลืนน้ำลายลงคอ ความหวาดกลัวทำให้ฉันร้องไห้ออกมาไม่หยุด สติสตังก็แตกกระเจิงจนไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ฉันดิ้นขัดขืนอย่างสุดชีวิต ร่างของฉันก็เล็กนิดเดียว...ฉันจะสู้พวกมันได้อย่างไร
“เฮ้ย!! ถ้ามึงไม่หยุดร้องไห้นะกูจะฆ่ามึงให้ตาย!!” ฉันสะดุ้งให้กับเสียงตะคอกที่ดังออกมาในระยะประชิด ไม่เพียงแค่นั้น...ฝ่ามือหยาบกร้านข้างหนึ่งของมันก็ยกขึ้นมาบีบกรามฉันไว้
“อึก...อื้ออ~~”
“เฮีย เอามันตรงนี้เลยไหม...เอาท์ดอร์ที่เฮียอยากลองไง”
“ฮ่า ๆ เอางั้นเลยเหรอวะ...แต่ก็ดีเหมือนกัน” เสียงแหบแห้งที่ฉันได้ยินมันเต็มไปด้วยความหื่นกระหาย ขณะเดียวกันที่ตัวของฉันกำลังลอยเหนือพื้นจากการอุ้มของผู้ชายคนหนึ่ง ร่างกายของเขาใหญ่มาก ฟังจากเมื่อครู่เขาคนนี้คงเป็นลูกน้องของผู้ชายร่างท้วมที่อยู่ในผับก่อนหน้า และเขากำลังคิดจะทำมิดีมิร้ายฉัน
ฉันพยายามดิ้นอย่างสุดแรง ทั้งจิกเล็บลงแผ่นหลังของชายร่างใหญ่คนนี้ ภาวนาให้ใครสักคนผ่านมาพบ แต่รู้ไหม...โชคชะตาไม่เคยเข้าข้างฉันเลยสักครั้ง ฉันไม่เคยพานพบอะไรดี ๆ ในชีวิต และครั้งนี้โชคชะตากำลังกลั่นแกล้งฉัน...อีกครั้ง
“กรี๊ดดด!!...”
-Other-
อีกด้านหนึ่ง...อาจจะเป็นเพราะเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เห็น รู้สึกไม่พอใจในการกระทำของเธอคนนั้น ความคาดหวังในตัวของเธอในครั้งแรกที่พบพังไม่เป็นท่าเมื่อรู้ว่าเธอเป็นเพียงผู้หญิงขายตัวคนหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นภายใต้จิตสำนึกเล็ก ๆ ได้บอกให้เขาหมุนพวงมาลัยกลับไปรับเธอ ชายหนุ่มส่ายหน้าเบา ๆ ด้วยความหงุดหงิด แม้จะไม่เข้าใจว่าตนหงุดหงิดเรื่องอะไร
ความมืดมิดของเส้นทางหลักไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงเธอคนนั้น ชายหนุ่มผิวปากเพื่อให้หลุดจากความผิดหวังเหล่านั้น ทว่าพอเครื่องยนต์แล่นกลับไปในทางเดิม รถยนต์คันหนึ่งที่จอดแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นทำให้เขาฉงนใจ
น้ำไนล์หักพวงมาลัยรถยนต์คันหรูเข้าชิดข้างทางอีกฝั่งหนึ่ง ก่อนที่เขาจะลงจากรถในทันที คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน แสงไฟสีส้มดวงเดียวนั้น ไม่ได้ทำให้เขาเห็นเธอ...แม้แต่เงา
“เขินอาย!!” เสียงตะโกนดังลั่นออกจากลำคอหนา ความรู้สึกบางอย่างบอกให้เขาส่งเสียงเรียกหาเธอ ขณะเดียวกันนั้นเอง
“กรี๊ดดดด....!!” ราวกับว่าเธอได้ยินเสียงของเขา ความเงียบสงบของเวลากลางคืน และความหนาวเย็นรอบกายทำให้เสียงของเธอดังกึกก้องไปทั่วลานกว้าง
น้ำไนล์มองไม่เห็นอะไรจากตรงนี้ เขาหันรีหันขวางก่อนจะกลับไปขึ้นรถ ชายหนุ่มขับรถไปตามเสียงกรีดร้องของเธอ ก่อนที่เขาจะมองเห็นกลุ่มคนอยู่ในทุ่งหญ้าไกลออกไป
ชายหนุ่มไม่รอช้าที่จะลงจากรถ เขาไม่ได้ดับเครื่องยนต์ปล่อยให้แสงไฟจากรถยนต์นำทางให้เขาไปหาเธอ ร่างกำยำของชายหนุ่มวัยแรกรุ่นวิ่งลงข้างทางอย่างไม่นึกลังเล ขณะเดียวกันที่แสงไฟของรถยนต์ทำให้ชายฉกรรจ์สามคนหันขวับไปมองพร้อม ๆ กัน
เขินอายหายใจโรยริน เสื้อผ้าของเธอถูกฉีกขาดจนไม่เหลือชิ้นดี ร่างบางขาวนวลเต็มไปด้วยร่องรอยฝ่ามือของชายฉกรรจ์ เธอยกมือขึ้นปิดหน้าพร้อมกับร้องไห้ออกมาเสียงสั่นเครือ ทว่าขณะนั้นเอง
ตุบ!!
ร่างหนาของชายคนหนึ่งได้ล้มลง หญิงสาวมองไม่เห็นว่าบุคคลมาใหม่นั้นเป็นใคร ด้วยแสงที่สะท้อนอยู่ทางด้านหลังของเขา ทำให้เธอเห็นแค่เงาของพวกเขาเท่านั้น
“มึงเป็นใครวะ!! อึก!!” ไม่มีเสียงใด ๆ จากผู้มาใหม่ เหตุการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็วพร้อมกับร่างหนาสองร่างที่ได้ล้มลงไปกองกับพื้นหญ้า
“ฮึก ฮืออ~” เขินอายลุกขึ้นนั่งชันเข่า เธอมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาพร่าเลือน เสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวดของชายคนหนึ่งดังลั่นไปทั่ว ก่อนที่มันจะเงียบลงในที่สุด
ตุบ!
ร่างของชายฉกรรจ์คนสุดท้ายได้ล้มลง เขินอายไม่ได้ยินเสียงการประทุษร้ายแล้ว เธอถึงได้เอ่ยปากออกมาอีกครั้ง
“ชะ ช่วย ฮือออ ช่วยด้วย” ริมฝีปากบางสั่นระริก ร่างของเธอไม่เหลือเสื้อผ้าเพียงพอต่อการห่อหุ้มให้พ้นจากความหนาวเหน็บ ก่อนที่เธอจะเห็นผู้มาใหม่เดินเข้ามาใกล้ เขายกหลังมือขึ้นเช็ดมุมปากราวกับว่ามีเลือดไหลซิบที่มุมปากของเขา
ชายผู้มาใหม่ไม่ได้พูดอะไร เขามองเห็นเธอทุกส่วนทุกตรง ต่างจากเธอที่มองเห็นแค่เงาดำ ๆ เพราะแสงไฟตกกระทบแผ่นหลังของเขา
“ชะ ช่วยฉัน ฮือออ ขอบคุณ ฮืออ ขอบคุณ ฉะ ฉัน ฮืออ~” ตัวเธอสั่นระริก ก่อนที่ชายตรงหน้าจะถอดเสื้อยืดตัวโคร่งสวมใส่ให้กับเธอ ร่างบางอ่อนปวกเปียก ตัวของเธอเย็นเฉียบจนเขาสัมผัสได้ ก่อนที่ชายหนุ่มจะช้อนตัวเธอขึ้นแนบอก
“อึก ขะ ขอบคุณ...” หญิงสาวพล่ามคำว่าขอบคุณออกมาไม่หยุด เธอรู้สึกขอบคุณเขาจนอธิบายเป็นคำพูดไปมากกว่านี้ไม่ได้ ก่อนที่ชายหนุ่มจะหมุนตัวกลับไปทางเดิม และทำให้เธอมองเห็นใบหน้าของเขาในที่สุด...
“...คุณ” ริมฝีปากบางพึมพำออกมาคล้ายคนละเมอ เธอสะลึมสะลือคล้ายจะเป็นลม เขินอายซบหน้าลงที่แผ่นอกกว้าง น้ำตาที่ไหลรินชายหนุ่มสัมผัสมันได้ เธอสะอื้นไห้ออกมาอย่างแผ่วเบา ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรดี เขาทิ้งเธอ...เธอควรโกรธเขา ทว่าพอรู้ว่าเป็นเขาที่มาช่วย ใจดวงน้อยกลับสั่นไหว
วันต่อมา...
แสงแดดในช่วงสายของวันตกกระทบมู่ลี่หน้าต่าง ทอดผ่านเข้ามายังคอนโดมิเนี่ยมหรู เปลือกตาบางกะพริบในทันที เขินอายพลิกตัวหนีแสงแดดนี้ ทว่าความปวดร้าวตามร่างกายทำให้เธอลืมตาขึ้นทันที
“อ๊ะ!...” หญิงสาวส่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา เธอหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความเจ็บปวด เขินอายค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง เธอยกมือขึ้นกุมศีรษะด้วยความรู้สึกเวียนหัว ก่อนที่เธอจะส่ายหน้าเบา ๆ เมื่อเหตุการณ์เมื่อคืนพรั่งพรูเข้ามา
เขินอายก้มมองเนื้อตัวของเธอ เสื้อผ้าที่ถูกเปลี่ยนนั้นทำให้หญิงสาวขมวดคิ้ว จากเสื้อยืดของเขาเมื่อคืนกลายเป็นเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งแทนเสียอย่างนั้น แถมทั้งเนื้อทั้งตัวก็ไม่มีซับในสักกะตัวอีกด้วย
“ให้ตายสิ...” เธอพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบาพร้อมกับเม้มริมฝีปากเข้าหากัน แม้ว่าจะขายตัวให้กับเขาไปแล้ว มันก็น่าอายอยู่ดีที่มีผู้ชายที่เพิ่งเจอกันเห็นอะไรต่อมิอะไรของเธอแล้ว เจ้าหล่อนอยากจะส่งเสียงกรีดร้องออกไป แต่ลำคอก็แห้งผากเกินจะทำได้ ทว่า
แกร็ก!
“อ๊ะ...” เขินอายสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก เธอสบตากับผู้มาใหม่อย่างจัง ริมฝีปากบางอ้าค้างกลางอากาศ ขณะที่สายตาคมของเขากำลังไล่มองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“_”
“_” ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากของคนสองคน น้ำไนล์ไม่ได้หลับนอนเพราะมีเรื่องให้คิดอยู่เต็มหัว ชายหนุ่มเห็นว่าเธอฟื้นแล้ว เขาก็เลยปิดประตูกลับที่เดิม ก่อนจะออกจากคอนโดไปโดยไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ราวกับรอให้เธอตื่นเขาค่อยจากไป
ต่างจากหญิงสาว
เธออยากต่อว่าเขาแต่ก็อยากขอบคุณเขาเช่นกัน สมองของเธอตีกันวุ่นอยู่ภายใน มีเรื่องอยากถามหลายอย่างเช่น...เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าและทำแผลให้กับเธอใช่หรือไม่ ทั้งตัวของเธอที่เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลนั้นกลับมีผ้าปิดแผลเต็มไปหมด
หญิงสาวส่ายหน้าเบา ๆ เขาน่ะเหรอ...ผู้ชายอย่างเขาน่ะเหรอจะทำแผลให้กับเธอ มันเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด...
-เขินอาย-
มีคนเคยบอกกับฉันว่าถ้าเราผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมา สมองบางส่วนจะปิดกั้นทำให้เราจำมันไม่ได้ ฉันว่ามันต่างจากฉันนะ...ฉันจำได้หมดทุกอย่าง แม้ว่าตอนนี้เวลาจะเดินมาจนถึงช่วงเย็นของวันแล้วก็ตามแต่
ในตู้เย็นไม่มีแม้แต่น้ำเปล่า ในตู้เสื้อผ้ามีแค่เสื้อผ้าของเขาคนนั้น ฉันรู้ว่าห้องนี้เขามีไว้ทำเรื่องอย่างว่ากับผู้หญิง และหลังจากนี้มันจะเป็นห้องที่เอาไว้เลี้ยงฉัน ฉันเริ่มหิวแล้วล่ะ...แม้ก่อนหน้านี้จะไม่รู้สึกหิวเลยก็ตามแต่ แต่ถ้าจะให้ออกไปหาอะไรกินในสภาพแบบนี้ก็กระไรอยู่ คงไม่มีใครวิ่งเข้ามาอุ้มฉันไปโรงพยาบาลหรอกมั้ง ดูสิ...แม้แต่ปลายคางฉันก็แตก ใครมาเห็นก็คงแตกตื่น ฉันโทรหาใครก็ไม่ได้ โทรศัพท์ กระเป๋าขาด ๆ ของฉันก็ไม่เห็น ฉันเหมือนกับหมาหลงทาง สิ้นไร้หนทางที่จะไปต่อ หิวก็หิว...น้ำสักหยดก็ไม่มีให้กิน
“ฮึก...ฮืออ~” นอกจากความเจ็บปวดตามเนื้อตัวแล้ว ความหิวทำให้ฉันร้องไห้ออกมา ตลอดชีวิตแม้ว่าฉันจะไม่มีเงินสักแดงเดียว แต่ก็ไม่เคยเลยที่แม่จะให้ฉันอดดอยากทั้งวันแบบนี้ แต่แล้วระหว่างที่ฉันกำลังกอดเข่าร้องไห้อยู่นั้นเอง
ติ๊ด!
ฉันกลับได้ยินเหมือนกับเสียงแตะคีย์การด์ เหมือนจะมีคนมา และดูเหมือนว่าฉันจะเดาไม่ผิด
แกร็ก!
ประตูห้องนอนเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับบุคคลที่ฉันนึกถึงทั้งวัน
“ลุก” เขาพูดขึ้นทันทีที่เปิดประตูเข้ามา ในมือของเขามีถุงหูหิ้วพลาสติกและในนั้น....
“ของกิน” ฉันพึมพำออกก่อนจะรีบขยับตัวลงจากเตียง แต่ด้วยความที่ฉันยังเจ็บหัวเข่าอยู่ทำให้ฉันร้องออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“โอ๊ย!”
“ระวังหน่อยสิวะ ไม่รู้หรือไงว่ากว่าฉันจะทำแผลเน่า ๆ ให้เธอได้” ฉันสะดุ้งเล็กน้อยที่อยู่ ๆ เขาก็อารมณ์เสีย คุณเขาเดินไปวางถุงกล่องข้าวไว้ที่โต๊ะติดกับประตู ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ฉันที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนที่นอน
“ทะ ทำอะไรคะ”
“บีบคอเธอให้ตายไง” คำพูดของเขาทำให้ฉันตกใจ แต่ไม่ทันที่ฉันจะได้ว่าอะไรต่อ ร่างของฉันก็ถูกท่อนแขนแกร่งอุ้มขึ้นแนบอกทันที
“อ๊ะ!..” ทำไมไม่บอกดี ๆ” เขากำลังอุ้มฉันออกไปที่โต๊ะอาหารข้างนอกห้องนอน อดไม่ได้จริง ๆ ที่จะพูดอะไรออกมา คุณเขาวางฉันลงให้นั่งที่เก้าอี้ เขามีสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีเลยสักนิด ฉันกลับรู้สึก...แปลก ๆ ที่ใจเสียอย่างนั้น
“ฉันหิวทั้งวัน...” ฉันไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ฉันกล้าพูดคำนี้ออกมา พูดตามตรงเลยนะ ถ้าเขาไม่ทิ้งฉันไว้ข้างถนนเรื่องบ้า ๆ ก็ไม่เกิดขึ้น เขาผิดและเขาควรรับผิดชอบฉัน แต่กลับทิ้งให้ฉันหิว
แต่แล้ว
“ฉันไปโรงพัก” คำพูดตอบกลับของเขาทำให้ฉันนิ่งงัน เขากำลังหมายถึงสถานีตำรวจอย่างนั้นใช่ไหม ฉันนึกว่าเขา...ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เสียอีก