บทที่1 บทนำ
ว่ากันว่าในบรรดาสามหัวเมืองใหญ่ของแคว้นต้าจง ที่ถูกปกครองโดยท่านอ๋องทั้งสาม เมืองถังเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องทัศนียภาพและความสะอาดบริสุทธิ์ที่สุด
ทั้งผู้คนก็มีน้ำใจ ช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกันดั่งญาติสนิทมิตรสหาย ทั้งทหารและชาวบ้านก็เป็นดั่งคนบ้านเดียวกันอย่างแท้จริง เป็นหัวเมืองทางเหนือที่มั่งคงเพราะความเป็นปึกแผ่นอย่างแท้จริง
รัชศกเจิ้นจงที่สาม ท่านอ๋องผู้ปกครองหัวเมืองถัง ได้ขยายดินแดนขึ้นเหนือไปอีกพันหมู่ รุกรานและรวบรวมชนเผ่าเข้าสู่แคว้นต้าจงได้สำเร็จ
รัชศกเจิ้นจงที่สี่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานราชทรัพย์ส่วนพระองค์ พร้อมแต่งตั้งฮูหยินของท่านอ๋อง กลายเป็นฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่ง และเรียกฮูหยินรวมถึงครอบครัวท่านอ๋องเข้าเมืองหลวง
รัชศกเจิ้นจงที่ห้า ฟากฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว มีดวงดาวสีแดงตกลงจากฟากฟ้าอย่างรวดเร็ว ขณะที่หญิงสาวผู้มีรูปร่างผอมบาง วิ่งหนีเข้าป่าหัวซุกหัวซุน
วันที่สิบสาม เดือนสิบ ขณะที่ท้องฟ้าเป็นสีแดง ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง ชายที่นางหลงรักตั้งแต่แรกเห็น
ดวงตาของชายหนุ่มที่มองลงมา มีเพียงความเคียดแค้นชิงชัง ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวราวกับปีศาจร้าย มือของเขาถือดาบเล่มใหญ่เท่าแขนผู้ใหญ่เงื้อสุดมือ ก่อนที่คมดาบจะฟันลงมาที่ร่างของนางอย่างรุนแรง จนรู้สึกได้ว่าร่างกายของนางถูกตัดออกครึ่งหนึ่ง
ไร้เสียงกรีดร้อง ไร้การร่ำไห้ มีเพียงความรู้สึกสงสัย
‘ข้าหลงรักท่านไปได้อย่างไรกัน ทั้งที่ท่านไม่เคยมองข้าด้วยสายตา ดีดี เลยสักครั้ง ข้าต้องโง่งมเพียงใดกันจึงมองความรู้สึกเกลียดชังของท่านไม่ออก’
หากว่านางรักเขาหมดหัวใจก็คงไม่ใช่ นางรักเขาเพียงเพราะเขาเป็นคู่หมั้นของตนเองเท่านั้น เมื่อปีที่แล้วขณะที่นางเพิ่งอายุได้สิบสอง และเข้ามาอยู่อาศัยในเมืองหลวงใหม่ๆ โหวซื่อจื่อผู้นี้ก็ส่งเทียบสู่ขอมา
ท่านแม่มองว่าโหวซื่อจื่อผู้นี้ไร้อำนาจอย่างแท้จริง เมื่อเทียบกับบรรดาคุณชายตระกูลอื่นที่ส่งเทียบสู่ขอมา มีเพียงตระกูลเหยาโหวที่ไร้อำนาจในมือ และเพื่อหลีกเลี่ยงความหวาดระแวงของฝ่าบาท ครอบครัวนางจึงรับปากหมั้นหมายเอาไว้
ที่ผ่านมาเวลาพบเจอกัน นางมักทำเป็นมองไม่เห็นสายตาโหดเหี้ยมอำมหิตของเขา มองเพียงความเหมาะสม และเฝ้าคิดว่าตนเองจะต้องดูแลเขาให้ดีในฐานะคู่หมั้น และต่อไปในฐานะภรรยาของเขา ทำหน้าที่ภรรยาดั่งคำสอนหญิงที่ได้อ่านมาตั้งแต่ยังเยาว์
แต่แล้ว เกิดอะไรขึ้นกัน ผีห่าซาตานที่ใดไปเป่าหูฮ่องเต้ก็ไม่ทราบได้ อยู่ๆท่านพ่อก็ถูกนำหัวที่น่าสยดสยองมายังวังหลวง ถูกเสียบประจานไว้หน้าประตูใหญ่สีเหลืองทอง
ขณะเดียวกัน โหวซื่อจื่อผู้เป็นคู่หมั้นของนางก็นำทหารหลวงบุกเข้ามายังบ้านของนาง เข่นฆ่าทุกชีวิตอย่างไร้ความปราณี ท่านแม่ของนางอ้อนวอนร้องของชีวิตให้นาง สุดท้ายข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ก็พาตัวนางที่เป็นคุณหนูเพียงคนเดียวของบ้าน หนีออกจากจวนได้
แต่ก็ไม่อาจหนีชะตาและความตายได้ … ร่างของนางถูกผ่าครึ่งอย่างน่าอนาถ ศพถูกโยนทิ้งลงเหวอย่างไม่ใยดี ไร้ซึ่งเกียรติยศและศักดิ์ใดใด
ชีวิตสิบสามปีที่ผ่านมา จะว่ามีความสุขน่าจดจำทั้งหมดก็คงไม่ใช่ นางแค่ไม่เข้าใจความแค้น หรือสิ่งที่ต้องแย่งชิง
นางไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมต้องแย่งชิงความโดดเด่นกับผู้อื่น สุดท้ายก็มีแต่ความตายไม่ใช่หรือ ขณะที่วิ่งหนีนางก็พยายามครุ่นคิดว่าท่านพ่อนาง ที่ปกครองเมืองถังอย่างสงบสุขเป็นกบฎจริงๆหรือ
แต่แล้วนางก็เริ่มคิดได้ในวันที่สอง ขณะพระอาทิตย์ขึ้น หลังจากนางบังเอิญสะดุดหินสีแดงก่อนหนึ่งจนล้มกลิ้งกับพื้น มีเศษหินสีแดงฝังตามแขนขานางทั่ว แต่ตอนนั้นก็ทำให้นางเริ่มคิดออก
จริงสินะ...สามปีนับแต่เสด็จพ่อปรับปรุงเมืองถัง นอกจากค่ายทหารที่เกิดขึ้นมากมาย ท่านพ่อยังก่อสร้างที่ว่าราชการที่สวยงามราวกับราชวัง ยิ่งใหญ่จนนางนึกสงสัยว่าทำไปเพื่ออะไร
แล้วไหนจะบัลลังค์สีทองที่ท่านพ่อแอบซ่อนไว้คล้ายรออะไรบางอย่าง กลางดึกคืนหนึ่งนางเคยเดินไปเห็นท่านพ่อและสนมคนหนึ่งของท่านพ่อ เสพสุขกันอยู่บนบัลลังค์นั้น และกล่างเรียกท่านพ่อว่า ‘ฝ่าบาท’ ซึ่งตอนนั้นนางไม่ทันคิด
ยังมีค่ายทหารมากมายนั่นอีก ยังมีการร่วมมือกับชนเผ่าเร่รอนทางเหนือขึ้นไป เพื่อให้พวกเขาได้ปักหลักและมีที่ยืนในเมือง แต่คนพวกนั้นส่วนมากล้วนถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารไม่ใช่หรือ
ท่านพ่อนางคิดกบฎบ้านเมืองจริงๆ ท่านพ่อทรงใฝ่สูงจริงๆ ใฝ่สูงเกินตนและถูกจับได้ แต่นางก็ยังไม่เข้าใจ เหตุใดโหวซื่อจื่อตระกูลเหยา ผู้ที่ไม่มีอำนาจใดใด จะต้องโกรธแค้นตระกูลซ่งมากขนาดนั้น
นางไม่เข้าใจเลย ไม่เข้าใจ…
…
“ลี เจ๊...เจ๊ลี! เจ๊ลีเอ้ย!! หลับอีกแล้วนะเจ๊ ต้นฉบับยังไม่เสร็จเลยเนี่ย เฮ้ย! ร้องไห้ทำไม!”
เสียงน่าหงุดหงิดทำให้หญิงสาวที่ฟุบหลับค่อยๆเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเธอซีดขาวเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ดวงตาแดงก่ำราวกับคนไม่ได้นอน ใต้ตาดำคล้ำไร้การดูแลรักษาที่ดี
“อะไรหรอเสี่ยวจาง รอก่อนได้มั้ยช่วงนี้เจ๊นอนไม่พอเลย” ลีเป็นลูกเสี้ยวหลายสัญชาติ ซึ่งมีเชื้อสายต่ำต้อยอย่างมาก
มารดาเธอท้องโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก เมื่อคลอดลูกแล้วผู้ชายไม่ยอมรับเพราะเสี่ยวลีเป็นผู้หญิง มารดาของเธอก็นำตัวเด็กทารกสีแดงๆไปทิ้งไว้ที่บ้านเด็กกำพร้า
เสี่ยวลีใช้ชีวิตช่วงวัยเด็กไปกับการพยายามทำอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาดกว่าคนอื่น ความสามารถของนางเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดีในสมัยโบราณ แต่ในสมัยนี้กลับไม่เป็นที่น่าประทับใจสักนิด
นางหัวไวอย่างมาก แต่สุดท้ายกลับผันตัวเป็นนักเขียน เพียงเพราะความฝันแปลกประหลาดที่นางมักจะฝันถึงอยู่เสมอ จนรู้สึกว่านั่นอาจจะเป็นอดีตชาติของตนเอง
แต่เมื่อนางเขียนนิยายแล้วก็หยุดไม่อยู่ สุดท้ายเลยกลายเป็นนักเขียนมืออาชีพและเขียนเรื่องราวของคนอื่นๆในความฝันออกมา โดยให้พวกเขาเป็นตัวละครหลัก
แน่นอนว่ามันเป็นงานมโนที่นางได้เสริมเติมแต่งเรื่องราวเข้าไปให้มันเข้ากับยุคสมัย
และเรื่องที่แน่นอนอีกอย่าง ก็หญิงสาวบอบบางอ่อนแอและแสนใจดีอย่างเสี่ยวลี ย่อมไม่อาจสู้รบปรบมือกับวิถีชีวิตได้ เธอจึงจ้างเพื่อนสมัยเด็กคนหนึ่งให้มาคอยดูแลตนเอง นั่นก็คือเสี่ยวจางนั่นเอง
“เจ๊พักบ้างเถอะ ทำงานงกๆๆๆๆ ลูกก็ไม่มี สามีก็ไม่มีให้ใช้ พ่อแม่ก็ไม่มีให้ดูแล เจ๊จะขยันไปไหนเนี่ย เงินที่ได้จากต้นฉบับจะทับเจ๊ตายแล้วนะ นอนพักเยอะๆบ้างเถอะ เจ๊...” เสียงบ่นของเสี่ยจางขาดห้วง ขณะที่นางจัดเก็บโต๊ะรกๆของเจ้านาย ควบตำแหน่งเพื่อนสมัยเด็กที่จ้างให้นางเป็นแม่บ้านส่วนตัว
สายตานางเหลือบไปเห็นศรีษะของเจ้านายตนกำลังจะกระแทกกับโต๊ะอีกรอบแล้ว จึงได้ส่ายหน้าถอนหายใจแล้วยื่นมือไปประคองคออ่อนปวกเปียกของเจ้านายเอาไว้
“เฮ้อ พี่นี่นะ นอนหลับกลางอากาศได้ตลอดเวลาเลย ว่าแต่ทำไมตัวเย็นๆล่ะพี่ เฮ้ย!! อย่าเล่นอย่างนี้นะ ฉันไม่ตลกด้วยนะ พี่...เจ๊...เสี่ยวลี เจ๊ลี!!!”
ตอนแรกเสี่ยวจางก็คิดว่าเพื่อนหยอกตนเองเล่น แต่เพราะรู้สึกว่าร่างกายของเสี่ยวลีอ่อนปวกเปียกผิดปกติ นางจึงหันไปมองดีดี เมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวราวกระดาษของเพื่อนแล้ว เสี่ยวจางก็กรีดร้องออกมาสุดเสียง
ไม่นานรถพยาบาลก็มาถึงบ้านเล็กๆซึ่งจัดสวนไว้อย่างสวยงามของเสี่ยวลี มีชาวบ้านออกมามุงดูมากมาย ชี้ไม้ชี้มือด้วยความสนใจ
“น่าสงสารจริงๆ ดูสิอายุยังน้อยอยู่เลยแท้ๆ ได้ยินว่าหัวใจวายเฉียบพลัน ไม่คิดเลยว่าคนอายุน้อยสมัยนี้ก็เป็นกันได้” เสียงป้าข้างบ้านคนหนึ่งดังขึ้น
“แหม ก็น่าเป็นโรคหัวจงหัวใจอยู่หรอก วันๆไม่เห็นทำอะไรนอกจากออกมารดน้ำต้นไม้นิดหน่อย นอกนั้นก็เห็นหมกมุ่นอยู่กับหนังสือเป็นตั้งๆ กับหน้าจอคอมนั่นน่ะ อายุยังน้อยแต่ทำตัวเองขนาดนั้น ไม่แปลกๆ” ป้าอีกคนหนึ่งพูดเหมือนรู้แจ้งเห็นจริง
“จริงของป้าหลิว ฉันอยู่บ้านนี้มาได้ห้าปี เห็นเด็กบ้านนี้ออกจากบ้านสองครั้งเองมั้ง มีแต่สาวใช้คนนั้นแหละที่เข้าๆออกๆ คอยดูแลนางอยู่”
เสียงวิพากย์วิจารย์เหมือนไม่มีจบสิ้น แต่คนที่ตายไปแล้วก็เท่ากับว่าจบสิ้นไปแล้วในโลกใบนี้
ตอนนี้เสี่ยวลีที่เป็นที่วิพากย์วิจารย์ของคนข้างบ้าน กำลังนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ ดื่มชาด้วยกริยามารยาทที่เหมือนกับหญิงสาวชนชั้นสูงที่ถูกสอนมาดี ก่อนจะใช้แขนเสื้อสีขาวของตนเช็ดปากอย่างเคยชิน เมื่อเงยหน้าขึ้นนางก็ยิ้มน้อยๆให้คนที่อยู่ตรงหน้า
“ข้าตายแล้วเหรอคะ ท่านคงเป็นยมทูตสินะคะ ส่วนน้ำชานี้คงจะเป็นน้ำชาลืมภพชาติ ข้าดื่มแล้วท่านส่งข้าไปยังที่ที่ต้องไปเถอะค่ะ ท่านทำงานหนักมากดังนั้นข้าไม่บังอาจรบกวนท่านนาน” หญิงสาวพูดอย่างสุภาพ
“แฮ่ม” ผู้ที่เชิญวิญญาณของหญิงสาวมากระแอมเบาๆ ก่อนจะรินน้ำชาอีกจอกให้หญิงตรงหน้าเขา ตอนนี้เขาอยู่ในชุดจีนโบราณสีขาวสะอาด ใบหน้ามีหมอกปกคลุม จึงไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้
ส่วนวิญญาณของเสี่ยวลีก็อยู่ในชุดจีนโบราณแขนกว้างสีขาว ดั่งชุดไว้ทุกข์
“ข้าไม่ใช่ยมทูตหรอก ข้าเป็นเพียง...จะว่าอย่างไรดีล่ะ...ช่วย...ช่วยเซ็นหนังสือให้ข้าด้วยแล้วกัน” ว่าแล้วหนังสือเป็นตั้งๆก็ปรากฎขึ้นบนโต๊ะที่คั่นระหว่างทั้งสอง พร้อมกับปากกาขนนกอย่างดี
“เอ๋?? เอ่อ...ค่ะ” เสี่ยวลีหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นหนังสืออย่าง งงๆ หลังจากนั้นไม่นานหนังสือก็ค่อยๆลดน้อยลงเรื่อยๆ รอยยิ้มของวิญญาณสาวก็เริ่มปรากฎบนใบหน้า
“เจ้ายิ้มทำไมหรือ การตายคือเรื่องดีสำหรับเจ้าหรือ?” พระเจ้าถามอย่างแปลกใจ เขากำลังคิดว่าควรส่งหญิงผู้นี้ไปที่ที่ต้องไปในลักษณะใดดี เพื่อเป็นค่าตอบแทนสำหรับหนังสือพวกนี้
ต้องบอกว่าหญิงผู้นี้มีจักรวาลของตนเอง หนังสือของนางล้วนเป็นจักรวาลเดียวกัน เขาจึงคิดหนักว่าควรส่งนางลงไปในฐานะใดดี นางเอก นางรอง ตัวประกอบ หรือตัวร้าย
“ข้าเพียงดีใจมากๆ ที่มีแฟนหนังสือมาขอลายเซ็นต์แม้แต่ตอนที่ข้ากลายเป็นวิญญาณไปแล้ว” เสี่ยวลีพูดจากใจจริง
“เช่นนั้นเจ้าอยากกลับไปตระกูลซ่งหรือไม่ ข้าสามารถให้เจ้ากลับไปได้ แต่ช่วงเวลามัน...และ...เจ้าไม่น่าเปลี่ยนอะไรได้”
“ข้าคงเป็นบุตรสาวของกบฎเมื่อชาติที่แล้วจริงๆสินะเจ้าคะ” เสี่ยวลีชะงักมือที่เขียนหนังสือ รอยยิ้มแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มหยัน
“ใช่! มีบางคนที่เป็นเช่นเจ้า เจ้าเคยบำเพ็ญจนกลายเป็นเทพและในมิติที่เจ้าบำเพ็ญตน มีกฎว่าสามารถเก็บความทรงจำของอดีตชาติเอาไว้ได้ เจ้าได้ทำคุณครั้งใหญ่เอาไว้และได้รับพรนั้นมา ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะต้องดื่มน้ำชาลืมภพชาติเลย”
“นอกจากนี้ มิติที่เจ้าจากมา ภพชาติที่เจ้าไม่อาจก้าวข้าม…กำลังวิกฤติหนัก” พระเจ้าบอกเล่าอย่างใจกว้าง
“มิติ? ข้าเคยอ่านนิยายแนวๆนี้มามาก ท่านคงเป็นพระเจ้าจริงๆสินะคะ” เสี่ยวลียิ้มๆ
“ใช่ ข้าคือพระเจ้า...และข้าก็เป็นแฟนหนังสือของเจ้าด้วย มิติที่ข้าพูดถึงเป็นผลงานของข้าเองแหละ บังเอิญว่าข้าต้องการสร้างมิตินิยายของนักเขียนผู้หนึ่งขึ้นมา”
“แต่ไม่คิดเลยว่าวิญญาณของเจ้าจะกลายเป็นผู้มีความสามารถพิเศษ เมื่อตายก็ได้รับพรไปเกิดในมิติที่มีพลังวิญญาณสูง และสุดท้ายก็ได้ไปเกิดในโลกมนุษย์โดยมีความทรงจำชาติที่แล้วติดไปด้วย”
“ท่าน...จะส่งข้าไปที่ใดหรือคะ”
“แน่นอนว่าต้องส่งเจ้ากลับไปยังมิติเดิม เพียงแต่ข้าคิดไม่ตกว่าจะส่งเจ้าไปในช่วงเวลาใด แต่ข้า...คิดออกแล้วล่ะ เมื่อเร็วๆนี้มิติบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม ข้าเกรงว่ามิติทั้งสองที่เจ้าอาศัยอยู่จะชนกันเข้า(หมายถึงมิติในชาติแรก และชาติที่เกิดเป็นเทพ) เจ้าช่วยลงไปแก้ไขให้ข้าได้หรือไม่ แน่นอนว่าข้ามีสิ่งตอบแทน”
“ข้าทำผิดต่อประชาชนมาก ข้าย่อมอยากทำเพื่อคนอื่นบ้าง ในชาติภพแรกข้าเห็นแก่ตัวและโง่เขลาเหลือเกิน”
“เด็กน้อย ตอนนั้นเจ้าอายุสิบกว่าปีเท่านั้นเอง เจ้าจะทำอะไรได้มากนักเชียว ข้าจึงได้บอกว่าแม้ข้าส่งเจ้ากลับไปในร่างเดิมในชาติแรกของเจ้าได้ เจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้อยู่ดี ...เอาล่ะเสี่ยวลี ข้าจะมอบเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสมให้แก่เจ้า”
พระเจ้ายิ้มนิดๆ ให้ดวงวิญญาณที่บริสุทธ์ดวงนี้ หากไม่ใช่เพราะนางเป็นดวงวิญญาณที่ดีมากๆ เขาคงไม่คิดดึงนางกลับมายังมิติเดิมเพื่อขอให้นางช่วยแก้ไขเรื่องนี้
อีกเหตุผล เป็นเพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นเพราะดวงวิญญาณที่แปลกประหลาดของนาง ทำให้สองมิติเกิดความสามารถเชื่อมต่อกันได้
และหากพลังบริสุทธิ์ในอีกมิติหนึ่งเข้าสู่มิติของมนุษย์ธรรมดา… นั่นเป็นปัญหาใหญ่แน่ๆ และผู้ที่สามารถแก้ได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่ก่อเรื่องเท่านั้น
“นี่คือเสี่ยวเฉิน เป็นปัญญาประดิษฐิ์ระดับสูงที่จะคอยรับส่งภารกิจ และให้คำแนะนำ เอาล่ะแม่หนูลี เมื่อเจ้าเซ็นหนังสือครบแล้วก็ไปเกิดใหม่เถิด ข้าต้องขออภัยล่วงหน้าด้วย เพราะค่าความดีของเจ้าถูกยึดเอาไว้ในแต่ละมิติ ในมิติที่เจ้าจะไปเกิด ตัวเจ้าไม่เคยมีแต้มบุญมาก่อน(จนถึงติดลบ)… ดังนั้น...”
“ไม่เป็นไรค่ะพระเจ้า ข้าขอเพียงได้กลับไปที่นั่น ใช้ความรู้ความสามารถที่ข้าสั่งสมมาสองชาติ ช่วยเหลือประชาชนที่ต้องลำบากเพราะเสด็จพ่อ แค่นั้นก็เกินพอแล้วค่ะ”
สิ้นคำพูดของวิญญาณสาวลี พระเจ้าก็ยิ้มให้นางน้อยๆ รอยยิ้มนั้นเป็นประกายเจิดจ้า ภาพสุดท้ายที่นางเห็นก็เพียงหน้าจอโฮโลแกรมสีแดงอ่อนตรงหน้าเท่านั้น ดูเหมือนว่า...นี่จะเป็นเสี่ยวเฉิน