บทที่7 หุ่นฟางต้าฟาง1

2565 Words
บทที่7 หุ่นฟางต้าฟาง [-ภารกิจ- ช่วยชีวิตซ่งจิ้น รางวัลแต้มบุญ10 ยาเพิ่มพลังใจ1ขวด(10หยด) คูปองวางล้อโชคลาภ*2 บัตรกำนัลลดราคา30%(ใช้ได้แค่ในระบบเท่านั้น)] เฟิงลี่เห็นรางวัลแล้วตกใจอย่างมาก นางได้คูปองสำหรับใช้งานวงล้อโชคลาภถึงสองใบ แปลว่านางจะหมุนวางล้อโชคลาภได้สองครั้ง แน่นอนว่านางดีใจมาก เพราะแม้เงิน100อีแปะก็มีค่าอย่างมากสำหรับครอบครัวนางตอนนี้ เมื่อท่านพ่อทรุดลง เสาหลักของครอบครัวก็ไม่มี ไม่มีใครสามารถหาเงินได้อีกแล้ว และไม่รู้ว่าท่านพ่อต้องพักฟื้นกี่วันหรือกี่เดือน ดังนั้นนางจึงเครียดไม่แพ้มารดาเลย นอกจากนี้ยังมีบัตรกำนัลลด30%ซึ่งนางจะเก็บเอาไว้ก่อน เพราะตอนนี้แต้มบุญสะสมของนางเกิน20แล้ว คาดว่าน่าจะมีของในร้านค้าปลดล็อกเพิ่มขึ้น และเมื่อเฟิงลี่เปิดเข้าไปในหน้าร้านค้าก็เป็นดังที่คาด มีเครื่องมือเปิดเพิ่มสองอย่าง ตำรากายวิภาคของสิ่งมีชีวิต(แนะนำดื่มยาเพิ่มพลังใจครบ10หยดก่อนจึงสามารถรองรับได้) ราคา500แต้ม โปรแกรมประเมินราคา(แนะนำติดตั้งคอนแทคเลนส์ตรวจสอบก่อนเพราะเป็นโปรแกรมเสริม) ราคา100แต้ม เรื่องนี้ทำให้นางรู้ว่า ตำราต่างๆมีราคาแพงกว่าสินค้าอื่นๆในระบบ อย่างตำราสมุนไพรก็แพงถึง100แต้ม และนางก็ไม่ได้หาแต้มได้เร็วขนาดนั้น แต่คราวนี้นางก็ยังไม่มีแต้มมากพอจะไปแลกในระบบอยู่ดี มันดูเกินความสามารถมาก แต่เฟิงลี่คิดว่าอยากแลกโปรแกรมประเมินราคา หากนางสามารถประเมินราคาได้ นางก็จะสามารถนำของดีมาขายได้โดยไม่ขาดทุน และยังใช้ในการตั้งราคาผักได้อีกด้วย(มักน้อยจังนะแม่คุณ) หลังจากกินข้าวเย็น เฟิงลี่นั่งอยู่ลานหน้าบ้านและเริ่มไหว้พระสวดมนต์ ทำให้มารดามานั่งมองด้วยความสนใจเพราะคิดว่านางกำลังทำพิธีติดต่อกับท่านเทพ แต่เมื่อนางท่องบทสวดจบก็กราบลงสามครั้ง ก่อนจะหยิบคูปองออกมาและฉีกตามวิธีใช้ที่บอกไว้ จากนั้นก็เปิดหน้าวงล้อโชคลาภขึ้นมา “ท่านแม่จับมือข้าหน่อยเจ้าค่ะ” เฟิงลี่ยื่นมือน้อยเย็นเฉียบไปให้มารดา มารดาก็รับไปจับแต่โดยดี จากนั้นเฟิงลี่ก็ใช้มือของนางสะบัดให้วงล้อหมุนทันที วงล้อหมุนอย่างรวดเร็วและค่อยๆช้าลงเหมือนเดิม คราวนี้เฟิงลี่ตื่นเต้นนิดหน่อย นางหวังว่าจะได้10ตำลึง หรือไม่ก็ของระดับแรร์ เข็มหมุนช้าลงเรื่อยๆ นางตี้จิงหรุยก็มองบุตรสาวที่เบิกตามองความว่างเปล่าตรงหน้า แม้นางจะพยายามองตามสายตาบุตรสาวก็ไม่เห็นว่านางกำลังมองอะไร จึงได้แต่ส่ายหน้าด้วยความไม่เข้าใจ เข็มค่อยๆเดินทีละนิดๆ ราวกับรู้ว่ามีคนลุ้นอยู่ ตอนนี้มันอยู่ระหว่าง100อีแปะ กับช่องอุปกรณ์ระดับS-A ซึ่งดูเหมือนจะเดินไปตกที่100อีแปะมากกว่า เฟิงลี่รีบยกมือมารดาขึ้นมาพนมและเลิกมองจอ ก่อนจะท่องนะโมสามจบอีกครั้งแล้วค่อยเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฎตรงหน้าจอนางก็ร้องกรี๊ดขึ้นมาเสียงดัง “เย่!! ได้ของแรร์ๆๆๆๆ” นางพูดซ้ำๆ ก่อนจะดึงมือมารดาไปด้วยขณะที่กระโดดโลดเต้นไปทั่ว “เป็นอะไรไปอาลี่” มารดามองเหมือนเฟิงลี่ถูกสิง นั่นทำให้นางสงบลงในที่สุด ก่อนจะมองจอตรงหน้าเพื่อดูรายละเอียดของที่ได้มา -เครื่องมือหุ่นไล่กาการเกษตรครบวงจร สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ในโลกของโฮสต์ได้อย่างแนบเนียน สามารถไถพรวนดิน หว่านเมล็ด เก็บเกี่ยว รดน้ำ ใส่ปุ๋ย ได้อัตโนมัติตามที่ตั้งค่าไว้ คำเตือนเป็นเพียงหุ่นไล่กา ไม่สามารถพูดคุยหรือทำสิ่งต่างๆเหมือนมนุษย์ได้ กรุณาระมัดระวัง เฟิงลี่ตกใจมาก มันเหมือนกับหุ่นยนต์ระดับล้ำสมัยในโลกที่สองของเธอเลยน่ะสิ!! นี่มันสุดยอดมากๆ ต่อไปก็มีคนดูแลสวนให้แล้ว น่าเสียดายที่สวนหลังบ้านเธอมีขนาดเล็กไปสักนิด “ท่านแม่...ข้าแค่ดีใจมากเกินไป เอาล่ะข้าขอไปใช้ดวงของพี่ใหญ่ดูบ้าง” เฟิงลี่เชื่อว่าดวงของมารดาดีใช้ได้ แต่ต้องลองดวงของซ่งเฟิงดูด้วยเพื่อความเท่าเทียม แม้ไม่ได้อะไรแต่ตอนนี้ก็ไม่ขาดทุนแล้ว แม้ได้100อีแปะมาก็ยังถือว่าได้ค่ายาของบิดา นางตี้จิงหรุยเดินกลับเข้าห้องของสามีอย่างงงๆ และบอกให้ซ่งเฟิงออกไปหาน้องสาวของเขาพร้อมกับย้ำให้เขาจับตาดูเฟิงลี่ดีดี เพราะเหมือนนางจะติดต่อกับท่านเทพอีกแล้ว หากมีอะไรผิดปกติก็ให้เรียกนาง อย่างน้อยจะได้ช่วยกันรับมือ ซ่งเฟิงเชื่อคำมารดาจริงจังมาก เขาจับตามองทุกท่วงท่าการขยับกายของเฟิงลี่เลยทีเดียว เขาเห็นนางสะบัดมือครั้งหนึ่งแล้วจ้องด้านหน้าที่ว่างเปล่าอย่างตื่นเต้น จากนั้นก็โห่ร้องออกมาอย่างดีใจ เหมือนว่าท่านเทพจะให้ของรางวัลนางหรือ? เขาแน่ใจว่าท่านเทพต้องดีกับนางมากแน่ และเป็นดังที่ซ่งเฟิงคิด ท่านเทพ(ระบบ) ให้ของดีกับเฟิงลี่จริงๆ นางถึงได้โห่ร้องออกมาระบบมอบบัตรกำนัลลดราคา50%ในร้านค้าระบบ ซึ่งทำให้เฟิงลี่รู้สึกเหมือนตัวเองโชคดีมากๆ ตอนนี้นางมีบัตรลดราคา30%ใบหนึ่ง และ50% อีกใบ แต่ก่อนอื่นนางต้องแนะนำหุ่นไล่กาให้คนในบ้านรู้จักก่อน เห็นบอกว่ามันใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการเคลื่อนไหว และมีพลังงานเก็บสะสมได้2วัน แต่สามารถอัพเกรดแบตเตอร์รี่ได้ แน่นอนว่ามันต้องใช้แต้มในการอัพเกรด เฟิงลี่ตื่นขึ้นมาในวันถัดมาก่อนคนอื่น นางไปหาเสื้อผ้าเก่าๆที่ท่านแม่ตัดเป็นผ้าขี้ริ้วไปแล้วมาสวมให้หุ่นฟาง ก่อนจะปิดหน้าปิดตาหุ่นฟางที่เหมือนกับคนทุกอย่างให้เหมือนคนไร้บ้านและเมื่อถึงเวลานางก็พาเขาเข้าไปพบคนในบ้าน “ท่านแม่ ท่านลุงผู้นี้คือข้ารับใช้ของเราที่ท่านเทพส่งลงมาให้เราเจ้าค่ะ ท่านทำไร่สวนและดูแลไร่สวนแทนเราได้” เฟิงลี่อธิบายอย่างคล่องปาก ตอนนี้นางสามารถอ้างท่านเทพได้อย่างสบายปากแล้ว และสามารถพูดชื่อท่านเทพได้ด้วย ท่านเทพของนางก็คือ *เสี่ยวเฉิน ยังไงล่ะ ฮ่าๆๆ “จริงหรือ แล้วท่านเป็นเทพหรือเซียนด้วยหรือไม่เล่าอาลี่” มารดาเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ก่อนจะสังเกตชายหนุ่มวัยกลางคนที่ดูร่างกายแข็งแรง แต่ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่าเป็นคนของท่านเทพส่งมา เขาดูเหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วไปเท่านั้น “นอกจากไม่ต้องดื่มกินแล้ว ท่านผู้นี้ก็เหมือนมนุษย์เราทุกอย่างเจ้าค่ะ อ้อ ท่านผู้นี้พูดหรือตอบโต้เรามากไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ” เฟิงลี่รีบบอก “อ้อ...เพราะเป็นข้ารับใช้ที่ท่านเทพส่งมาสินะ คงกลัวว่าจะมีคนมาแอบถามความลับของเจ้า ท่านเทพช่างดีกับเจ้าเหลือเกินอาลี่” นางตี้จิงหรุยเชื่อหมดใจ ยิ่งได้เห็นความวิเศษมากมายที่เฟิงลี่แสดงออกมาแล้ว นางไม่มีทางที่จะไม่เชื่อแล้ว “อาลี่ คนผู้นี้เป็นคนที่ท่านเทพส่งมาแน่นะ” ซ่งเฟิงยังกังขาอยู่เล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อเรื่องที่นางติดต่อท่านเทพได้ แต่กลัวว่าน้องสาวจะถูกหลอก มากกว่า “แน่นอนเจ้าค่ะ เดี๋ยวท่านผู้นี้อยู่ไปสักสองสามวันโดยที่ไม่กิน พวกท่านก็จะเห็นเองแหละเนอะ ไม่ต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ ข้าไม่โกหกหรอก” เฟิงลี่ยิ้มแฉ่ง “แน่นอนเจ้าไม่โกหกอยู่แล้ว ข้าแค่กลัวเจ้าจะโดนหลอก” “พี่ใหญ่คิดมากเกินไปแล้ว” เฟิงลี่หันไปเขียนคำสั่ง โดยมันจะมีหน้าจออยู่ตรงหน้าของหุ่นฟาง ซึ่งนางจะเห็นได้คนเดียว เมื่อสั่งมากพอแล้วก็หันไปหาอีกสองคน “ดูสิเจ้าคะ เขาเริ่มไปตักน้ำมาเติมในตุ่มแล้ว ลูกจะนำปุ๋ยวิเศษไปใส่ก่อนนะเจ้าคะ อ้อ แล้วก็...พี่ใหญ่วันนี้ขึ้นเขากัน” เฟิงลี่เอ่ยชวนซ่งเฟิง เพราะเขาเคยขึ้นเขากับบิดาหลายครั้ง น่าจะรู้ทางอยู่บ้าง เพราะนางไม่รู้ทางเลย “เสี่ยวลี่ริอ่านจะขึ้นเขางั้นรึ ไม่กลัวเจอหมูป่าอีกหรือ” เรื่องที่เฟิงลี่เจอหมูป่าและบังเอิญทหารช่วยเอาไว้ทันนั้น ถูกเล่าให้ทุกคนฟังแล้ว เฟิงลี่ย่นจมูก ก่อนจะส่งเสียงฮึอย่างดื้อรั้น “ข้าไม่ได้บอกว่าจะขึ้นไปถึงตรงนั้นเสียหน่อยนี่พี่ใหญ่ ข้าแค่จะให้ท่านพาไปจุดที่ข้ายังไม่เคยไปเท่านั้น” เพราะนางเก็บสมุนไพรมาหมดแถบนี้แล้ว นางจึงอยากไปแถบอื่นบ้าง “อ้อ เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปเอง ขาข้าใกล้หายดีมากแล้วด้วย ท่านแม่ลูกขอไปเดินเล่นกับน้องสักพักนะขอรับ” “ได้สิ ดูแลเสี่ยวลี่ของเราด้วยล่ะ” “แน่นอนขอรับ” กล่าวจบสองพี่น้องก็เดินออกไป โดยมีคนแปลกหน้าสวมชุดขาดๆเดินตักน้ำจากลำธารมาเติมตุ่มที่เตรียมไว้สำหรับรดน้ำผักโดยเฉพาะ เฟิงลี่วิ่งไปใส่น้ำวิเศษลงไปในนั้นกว่าครึ่งเหยือก ก่อนจะวิ่งตามพี่ชายไป นางตี้จิงหรุยมองตามบุตรสาวบุตรชายด้วยความชุ่มชื้นจิตใจ แต่แม้นางจะเดินเข้าครัว ก็ยังคอยสอดส่องมองว่าข้ารับใช้ที่ท่านเทพมอบให้ทำอะไรบ้าง แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเขาทำงานสวนอย่างคล่องแคล่ว ดูแลถอนหญ้า รดน้ำ รวมถึงเปิดหลังคาเพื่อให้ผักได้รับความอบอุ่น จนถึงกำจัดสัตว์เล็กน้อยที่อยู่รอบๆสวน ทั้งที่ตัวนางก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีสัตว์พวกนี้อยู่ เมื่อเฟิงลี่กลับมาพร้อมกระต่ายตัวหนึ่งที่ซ่งเฟิงเป็นคนล่ามาได้ นางก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่ามีสัตว์เล็กจำนวนหนึ่งถูกขังไว้ในตะกร้าไม้ไผ่ขนาดใหญ่และมีฝาปิด มีกระทั่งงูทั้งที่มีพิษและไม่มีพิษ แต่แน่นอนว่ามันถูกฆ่าตายหมดแล้ว “ท่านแม่ แง...” เฟิงลี่ร้องไห้ออกมาทันทีเมื่อเห็นงูในตะกร้า นางกลัวงูที่สุด เมื่อวิ่งมาเห็นบุตรสาวนั่งกระถดตัวอย่างหวาดกลัวและชี้ไปที่ตะกร้า นางตี้จิงหรุยมองไปที่ตะกร้าแล้วแทบหยุดหายใจเมื่อเห็นจำนวนสัตว์ในนั้น มีทั้งสัตว์เล็กน้อย และซากศพงู “อ๊าย” นางกรีดร้องเบาๆ ก่อนจะวิ่งไปอุ้มบุตรสาวออกมาอย่างลืมตัว ซ่งเฟิงทำใจกล้าเดินเข้าไปสะกิดศพงู ก่อนจะพบว่ามันตายหมดแล้ว ไม่เช่นนั้นสัตว์เล็กพวกนั้นคงไม่เหลือ “มีหนูมากมายเลยท่านแม่ ทั้งหนูตัวแดงๆด้วย เขาไม่ได้ฆ่าพวกมัน” เฟิงลี่ได้ยินซ่งเฟิงบอกเช่นนั้น นางก็จำได้ว่าตนเองบอกให้หุ่นฟาง หรือชื่อต้าฟาง กำจัดศัตรูพืชที่ดุร้ายโดยการฆ่า แต่ถ้าเป็นสัตว์เล็กที่ไม่ปราดเปรียวอย่างหนูก็ไม่ต้องฆ่า นางจำได้ว่าในเมืองหลวงนิยมกินหนูเลี้ยงอย่างมาก แต่ต้องเป็นหนูเลี้ยงเท่านั้นนะ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่ยอมกิน ดังนั้นฟาร์มหนูจึงปรากฎตัวขึ้นจำนวนมาก นางจึงคิดว่าจะลองทำฟาร์มหนูบ้าง แม้ราคาจะไม่สูงแต่หนูก็ไม่ได้กินจุขนาดนั้น แถมยังเลี้ยงด้วยธัญพืชที่เสียหาย หรือผลผลิตที่ไม่ดีได้ อย่างเช่นชาวบ้านมักขายข้าวโพดงอก(ข้าวโพดที่มีรากโผล่ขึ้นมาเพราะเก็บไม่ดีและได้รับความชื้น) ในราคาถูกมาก แต่หนูไม่ได้เลือกกินขนาดนั้น ดังนั้นการเลี้ยงหนูจึงมีต้นทุนไม่สูง แต่ผลผลิตกลับสูงมาก เพราะหนูขยายพันธ์เร็วมาก และอัตราการเติบโตถือว่าเร็ว แต่เฟิงลี่ไม่ได้คิดทำเองหรอก นางไม่มีความสนใจในธุรกิจค้าเนื้อ แต่นางอยากแนะนำให้ตี้เว่ย น้องชายตัวเล็กที่ขยันขันแข็งของบ้านใหญ่ได้มีอาชีพเลี้ยงตัวเองแลครอบครัวได้ นางรู้ดีว่าคนที่เหนื่อยกว่าคนอื่น จะไม่ได้อะไรดีดีกว่าคนอื่นหรอก แต่จะโดนเอาเปรียบ เพราะสังคมยุคโบราณนั้น คนทั่วไปไม่ค่อยมีเงินเป็นของตัวเองแต่เงินที่ทำงานได้จะเป็นของตระกูล “หนู...หนู...แม่ได้ยินว่าในเมืองรับซื้อหนูตัวละแพงเลย เราเอาไปขายกันเถอะ แล้วตัวแดงๆนี่ขายได้มั้ย?” นางตี้จิงหรุยเอ่ยถามอย่างดีใจ “ไม่ได้นะท่านแม่ ข้าคิดว่าเราเลี้ยงพวกมันไว้ก่อนเถอะเจ้าค่ะ เราสามารถซื้อธัญพืชเสีย หรือข้าวโพดที่ชื้นมาเลี้ยงพวกมันได้” “นั่นมันต้องใช้เงินนะลูก” ตี้จิงหรุยเอ่ยอย่างอ่อนใจ “งั้นเราจะขายเอากระต่ายตัวนี้ไปขาย พร้อมกับหนูตัวโตๆอีกสักสองสามตัว ถึงจะเสี่ยงแต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย” ความเสี่ยงที่เฟิงลี่พูดถึง นางหมายถึงเจ้าตัวแดงๆทั้งหลาย เพราะไม่มีวิธีแยกแยะได้ว่าหนูตัวไหนเป็นแม่ของพวกมัน ดังนั้นการแยกหนูไปขายอาจจะทำให้ลูกหนูตายได้ แต่นางไม่มีทางเลือก พวกนางยังต้องหาเงิน300อีแปะเพื่อจ่ายค่ายาให้บิดาอีก ตี้จิงหรุยและซ่งเฟิงช่วยกันนำศพงูไปเผาห่างจากตัวบ้านและฝังกลบดินเรียบร้อย เมื่อมาถึงเฟิงลี่ก็กำลังใช้งานข้ารับใช้ใบ้ของบ้านให้จับหนูใส่ตะกร้าปิดผาแบบเล็กอีกสามตัว เมื่อนางพอใจแล้วจึงปิดฝาแน่นหนา “ไปกันเถอะพี่ใหญ่” เฟิงลี่เอ่ยชวน “พวกเจ้าจะไปกันยังไง นั่งเกวียนไปเถอะ เอาเงินที่แม่” ค่ารถเกวียนเข้าเมืองต้องใช้5อีแปะต่อคนต่อเที่ยว เฟิงลี่ตั้งใจจะปฏิเสธแต่มารดาไม่ยอมให้นางได้พูด ยัดเงินใส่มือและผลักทั้งสองออกจากบ้านทันที พวกนางจึงทำได้เพียงยอมไปนั่งเกวียน ตอนแรกเฟิงลี่ก็คิดจะไม่นั่งเกวียนเหมือนกัน แต่แค่เดินไปถึงโรงหมอนางก็เหนื่อยแทบแย่แล้ว ดังนั้นนางจึงนั่งรอเกวียนจนกระทั่งเกวียนมาจึงขึ้นไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD