บทที่3.1 ผิดใจ1

4919 Words
บทที่3 ผิดใจ ท่านพ่อกลับมาในตอนเย็นจริงๆ แต่คนที่บาดเจ็บกลับกลายเป็นพี่ใหญ่ของนางแทน พวกเขาล่าหมูป่าได้ตัวหนึ่ง แต่ไม่ได้ตัวหมูป่ากลับมาเพียงเพราะท่านยายนำไปหมดแล้ว เฟิงลี่พยุงตัวเองลุกจากที่นอนอย่างยากลำบาก นางเกาะขอบประตูมองบิดาของตนที่นั่งทำแผลให้พี่ชาย ซ่งเฟิงอายุ11หนาวเท่านั้น เด็กชายอย่างเขากลับต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่และต้องช่วยเหลืองานครอบครัว แม้ร่างกายของเขาจะผอมแห้งไม่ต่างจากคนอื่นๆก็ตามที “พี่ใหญ่” เสียงเรียกทำให้ชายต่างวัยทั้งสองหันไปมอง “ลี่เอ๋อร์ เจ้าออกมาทำไม” ซ่งเฟิงฝืนความเจ็บปวด เดินกระเผกไปหาน้องสาว เฟิงลี่ก้มหน้ามองขาของพี่ชายที่ถูกพันเอาไว้ มีเลือดซึมออกมามาก น้ำตานางก็ไหลออกมาทันที “พี่ใหญ่ท่านเจ็บมั้ย” “ไม่เจ็บหรอก...วันนี้พี่เก็บเห็ดป่ามาให้เจ้าได้ด้วยนะ ช่วงต้นใบไม้ผลิเช่นนี้มีเห็ดมาก” ซ่งเฟิงลูบผมน้องสาวอย่างเอ็นดู เขารู้สึกปวดใจยิ่งที่นางร้องไห้น้ำตาไหลพรากเพราะเป็นห่วงเขา “ให้ข้าดูหน่อย” ตอนนี้เฟิงลี่ยังมีวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นในหัว นางรีบบังคับให้พี่ชายนั่งลง ก่อนจะนั่งจ้องแผลของเขาอย่างไม่วางตา เมื่อซ่งเฟิงเปิดผ้าพันแผลออกแล้ว นางจึงร้องไห้มากกว่าเดิม เพราะขาของพี่ชายนางถูกทิ่มเป็นรูใหญ่ เนื้อหายออกไปเป็นหลุมเลยทีเดียว คาดว่าขาของพี่ชายนางอาจจะไม่เหมือนเดิมไปตลอดชีวิต “พี่ใหญ่ ท่านพ่อ...พาพี่ใหญ่ไปหาหมอกันเถอะเจ้าค่ะ” เฟิงลี่ไม่ยอมเด็ดขาด นางไม่ยอมให้พี่ใหญ่ต้องพิการแน่ “ลี่เอ๋อร์...” บิดาก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด ในบ้านนอกจากเงินไม่กี่อีแปะที่เอาไว้ซื้อธัญพืช ก็ไม่มีเงินในส่วนอื่นแล้ว อย่าว่าแต่เงินไปหาหมอเลย มันต้องใช้เป็นร้อยอีแปะทีเดียว “ท่านพ่อ...พาพี่ชายไปหาหมอเถอะเจ้าค่ะ ลูกมีเงิน...มีเงินนะเจ้าคะ” เฟิงลี่ร่ำไห้ออกมา พร้อมกับล้วงเข้าไปในอกตนเอง ก่อนจะเรียกเงิน100อีแปะนั้นออกมา มันใส่อยู่ในถึงสีแดง “ลูก...ไปเอาเงินมาจากที่ใดกัน”ผู้เป็นบิดามองถุงเงินนั้นอย่างแปลกใจ แม้จะเป็นผ้าสีแดงธรรมดา แต่ถุงเงินที่ทำจากผ้าเนื้อดีเช่นนี้เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก “ลี่เอ๋อร์ เจ้าเก็บเงินมาจากที่ใดกัน เจ้าต้องเอาไปคืนเจ้าของนะ”ซ่งเฟิงเองก็ไม่เชื่อเช่นกันว่านี่เป็นเงินของน้องสาวตน “นี่เป็นของข้าจริงๆ ท่านพ่อใช้เงินนี้พาท่านพี่ไปหาหมอเถอะเจ้าค่ะ” เฟิงลี่ส่ายหน้าพร้อมร้องไห้ ทำให้ทุกคนไม่อาจทำใจคาดคั้นนางต่อไป ซ่งจิ้นผู้เป็นบิดายอมรับเงินจากมือบุตรสาวไปเสียที เขาพยุงบุตรชายไปหาหมอประจำหมู่บ้านเงียบๆ โดยเก็บเงินไว้ในอกเสื้ออย่างดี แน่นอนว่านี่เป็นเงินของบุตรสาวของเขา แม้ท่านป้าจะมาเอ่ยขอเขาก็ไม่ให้(ท่านป้าหมายถึงท่านยายที่อยู่บ้านใหญ่) “อ้าว พ่อเจ้าและพี่ใหญ่เจ้าไปไหนแล้ว” ท่านแม่ถือถังน้ำและผ้าสะอาดเดินออกมาจากครัว อีกมือหนึ่งถือจานผัดผักซึ่งเหมือนลวกผักมากกว่า “ท่านพ่อพาที่ใหญ่ไปหาหมอเจ้าคะ” เมื่อได้ยินคำตอบให้บุตรสาว ตี้จิงหรุยชะงักไป แต่ก็ไม่ได้ซักถามต่อ เพียงเรียกให้เฟิงลี่ไปกินข้าว และตลอดค่ำนั้นท่านพ่อก็ไม่ได้กลับมา ทั้งบุตรสาวและมารดาจึงนอนกอดกันหลับไปทั้งอย่างนั้น ในเช้าวันถัดมา เสียงระบบก็ดังขึ้นก่อนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง [ระบบทำการปลดล็อกเป็นรางวัลสำหรับวันที่สอง ปลดล็อกระบบวงล้อโชคลาภ] เฟิงลี่ลืมตาขึ้นมาทันที เมื่อนางมองไปรอบๆก็พอจะรู้สึกได้ว่าตอนนี้เพิ่งจะต้นยามเหม่า(ตี5) นางจึงยังไม่ลุกแต่เรียกระบบขึ้นมาตรงหน้า ตอนนี้ตรงหน้าจอมีระบบ ‘วงล้อโชคลาภ’ เพิ่มเข้ามาจริงๆ และตรงรูปวางล้อมีเขียนไว้ว่า 1 แปลว่าให้นางหมุนได้ฟรีหนึ่งครั้งต่อวันสินะ ‘ระบบ ข้าสามารถหมุนวงล้อได้แค่ครั้งเดียวสินะ’ [ตอบโฮสต์ นั่นคือจำนวนทั้งหมดที่โฮสต์หมุนได้ ไม่ใช่จำนวนรายวัน] ‘อ้าว’ เฟิงลี่รู้สึกเหมือนตัวเองโดนเอาเปรียบ [หากโฮสต์ต้องการหมุนวงล้อโชคลาภ จำเป็นต้องสำเร็จเควส บางเควสจะได้รับรางวัลเป็นจำนวนการหมุนวงล้อโชคลาภ และโฮสต์สามารถปลดล็อกฟังก์ชั่นเพิ่มเติมของวงล้อโชคลาภได้โดยการสะสมแต้มบุญ] ได้ยินอย่างนั้นเฟิงลี่ก็ย่นจมูก ก่อนจะเปิดหน้าวงล้อโชคลาภขึ้นมา มันมีข้อมูลเด้งขึ้นมาก่อน ในวงล้อมีรางวัลทั้งหมด7อย่างด้วยกัน คือเงิน100อีแปะอัตราการได้50% เงิน1ตำลึงอัตราการได้30% เงิน10ตำลึงอัตราการได้20% บัตรกำนัลอัตราการได้15% อุปกรณ์ระดับB-F 15% อุปกรณ์ระดับS-A 5% อุปกรณ์ระดับSSS-SS 0.1% เฟิงลี่นั่งคิด ก่อนจะเลือกหมุนสักครั้ง หากได้มาอีก100อีแปะก็ยังดี เพราะจะได้เอาไว้จ่ายค่าหมอให้พี่ชายเพิ่ม หรืออาจจะจ่ายค่ายาก็ได้ หัวลูกศรหมุนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะช้าลงเรื่อยๆ และหยุดลงอย่างเชื่องช้า คล้ายต้องการให้คนลุ้นตาม แต่บุคคลอย่างเฟิงลี่ไม่ได้ตื่นเต้นแม้แต่น้อย ติ้ง… ทันทีที่สิ้นเสียง ลูกศรก็หยุดลงตรง เงิน1ตำลึง เฟิงลี่เลิกคิ้วพอใจ ก่อนจะกดรับของที่ขวาล่างของหน้าจอ เงินที่ได้ก็จะถูกส่งไปยังช่องเก็บของทันที [ยินดีด้วยโฮสต์ได้รับรางวัลจากการหมุนวงล้อโชคลาภ เป็นเงิน1ตำลึง] [-ภารกิจ- ฟื้นฟูสภาพร่างกายของตนเอง รางวัล ยาเพิ่มพลังกาย1ขวด(บรรจุ10หยด)] [-ภารกิจ- ฟื้นฟูสภาพร่างกายของสมาชิกในครอบครัว รางวัล ยาเพิ่มพลังกาย1ขวด แต้มบุญ3] เสียงพร้อมหน้าต่างที่เด้งแจ้งเตือนภารกิจทำให้เฟิงลี่ยิ้ม นางต้องเรียกหน้าต่างภารกิจขึ้นมาจึงสามารถมองเห็นได้ ดูเหมือนจะเป็นภารกิจง่ายๆ ก่อนอื่นนางก็แอบนำน้ำวิเศษที่เหลืออยู่ครึ่งเหยือกไปเทใส่โอ่งน้ำกินของบ้าน จากนั้นก็ตักน้ำขึ้นมาจิบ แล้วแอบดูในครัวว่ามีอะไรกินบ้าง สองวันมานี้นางได้กินแค่น้ำข้าวสีแดงซึ่งเป็นข้าวที่ไม่ได้ขัดสีจนขาว ในโลกใบนี้หาข้าวขาวกินยากมากๆ แต่ข้าวแดงก็มีประโยชน์มาก แม้ครอบครัวนางจะกินแต่น้ำข้าว(ข้าวต้มที่มีแต่น้ำ) แต่ก็ทำให้รอดตายมาได้กว่าสามปี ไม่สิ...อาจจะมากกว่าสิบปี เมื่อเห็นว่ามีเห็ดป่าที่พี่ใหญ่พูดถึง เฟิงลี่ก็คิดถึงเมนูอาหาร ต้องบอกว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านนี้เลย นางไม่เคยทำอาหารกินเองมาก่อนทั้งสองชาติ แต่เมื่อนางเพ่งมอง เห็ดป่าก็ขึ้นข้อมูลมา มีเห็ดชนิดหนึ่งในตะกร้าที่หากกินนานๆแล้วไม่ดีต่อร่างกาย นางจึงแยกออกมาเพื่อให้ครอบครัวไม่กินมันเข้าไป จากนั้นก็เอาใส่ไว้ในช่องเก็บของก่อน เพราะหากมารดามาเห็นว่านางแยกเห็ดที่กินได้ออกมา แม้นางจะบอกว่ามันไม่ดีมารดาก็คงไม่เชื่อแน่ หลังจากดื่มน้ำวิเศษเมื่อวาน อาการไข้ของนางก็ดีขึ้นมาก แต่ยังไม่ดีพอ เฟิงลี่ต้องได้กินยาและตอนนี้นางมีเงิน1ตำลึงแล้ว แต่จะทำยังไงล่ะ… ขณะที่เฟิงลี่นั่งคิดอยู่ห้องนอก ซึ่งมีชานเรือนเปิดกว้างตรงหน้าบ้าน ตี้จิงหรุยผู้เป็นมารดาก็ลุกออกมามองบุตรสาวที่นั่งเหม่อด้วยสายตาหลากหลาย “ลี่เอ๋อร์ เจ้าออกมานั่งตากน้ำค้าง ประเดี๋ยวก็ไข้กลับอีกหรอก” คำพูดของมารดาคล้ายดุ แต่ก็เป็นคำพูดที่ออกมาเพราะความเป็นห่วง “ท่านแม่...เราไปหาท่านพ่อกับพี่ใหญ่ที่โรงหมอกันดีมั้ยเจ้าคะ” เฟิงลี่หันไปหามารดา ก่อนจะเสนอความคิดนี้ขึ้นมา หากนางเป็นคนถือเงิน ใครก็มาแย่งจากมือนางไม่ได้แน่ “อืม ...ประเดี๋ยวสายๆบิดาเจ้าและพี่ใหญ่เจ้าก็กลับมาแล้ว ไม่ต้องห่วงไปหรอก” มารดาเอ่ยบอก ก่อนจะเตรียมทำอาหาร “ท่านแม่ ข้าอยากไปหาหมอเช่นกัน” เฟิงลี่หันไปบอกหน้าตาเฉย นางตี้จิงหรุยตกใจอย่างมาก ในใจเริ่มคิดแล้วว่า สามีของตนเอาเงินมาจากที่ใดมากมาย เหตุใดจึงทำให้บุตรสาวอยากไปหาหมอเช่นนี้ ทั้งที่ปกติลี่เอ๋อร์ของนางเป็นคนไม่ค่อยพูดแท้ๆ “เฮ่อ! ก็ได้ แม่จะพาเจ้าไปหาท่านพ่อ และหากท่านพ่อเจ้ามีเงินเหลือเราจะนำมารักษาเจ้ากัน” ตี้จิงหรุยไม่ได้รู้เลยว่า เงินที่สามีตนพาบุตรชายไปหาหมอ ไม่ได้มาจากการล่าของเขาแต่มาจากบุตรสาวผู้นี้ “เจ้าค่ะ” เฟิงลี่ยิ้มปริ่ม หลังจากกินอาหารเช้าง่ายๆ ซึ่งไม่ได้อยู่ท้องเอาเสียเลย สองแม่ลูกก็เดินตามกันไปที่บ้านท่านหมอของหมู่บ้าน ซึ่งจริงๆบ้านของท่านหมอนั้นตั้งอยู่ระหว่างสามหมู่บ้าน เพื่อให้ชาวบ้านสะดวกในการเดินทางไปหาหมอ ระหว่างที่เดินทาง เฟิงลี่มองปฏิกริยาของคนในหมู่บ้านด้วยสายตาหมดหวัง เพราะทุกคนนั้นทำเหมือนนางตี้จิงหรุยเป็นเชื้อโรค นอกจากเข้ามาพูดถากถางเยาะเย้ยแล้ว ก็หลีกเลี่ยงไปไกลราวกับกลัวว่าพวกนางจะเข้าไปขอข้าวกิน เฟิงลี่จำได้ดีว่ามารดาจำต้องขอข้าวเพื่อนบ้านพวกนี้กินจริงๆ บ้างก็ขอยืมเงิน เพียงเพราะท่านยายไม่ยอมให้เงินมารักษาตัวนางที่เจ็บป่วยง่ายมาแต่เล็ก เพราะอย่างนั้นคนในหมู่บ้านเลยมองเหมือนมารดานางเป็นคนใช้เงินเก่ง ทั้งที่จริงๆครอบครัวนางก็คืนเงินให้พวกเขาตลอด เฟิงลี่คิดว่า ครอบครัวนางคงอยู่ในหมู่บ้านนี้อย่างไม่มีความสุขแน่ๆ นางต้องหาทางให้ท่านพ่อท่านแม่ย้ายบ้านให้ได้!! กว่าจะเดินถึงบ้านท่านหมอ ก็ต้องใช้เวลาเป็นชั่วยาม ไปตามถนนที่เชื่อมระหว่างสามหมู่บ้านและเมืองใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป ท่านหมออาศัยอยู่ในทางหลักนี้นั่นเอง บ้านของท่านหมอนั้นเล็กๆแต่อบอุ่น ท่านหมอมีภรรยาคนหนึ่ง แต่ไม่มีทายาทดังนั้นจึงรับเด็กมาเลี้ยงและสอนวิชาแพทย์ให้สองคน เป็นบุตรชายหญิงจากอีกสองหมู่บ้าน คงเพราะหมู่บ้านของนางเป็นพวกเห็นแก่ตัวซะส่วนใหญ่ และท่านหมอคงมองออก จึงไม่ได้รับคนจากหมู่บ้านนางด้วย เฟิงลี่ยิ้มน้อยๆ เมื่อมองเห็นสวนสมุนไพร ในสวนสมุนไพรมีเด็กสองคนและหญิงสาววัยกลางคนอยู่คนหนึ่ง คล้ายกำลังช่วยกันทำงาน คาดว่านั่นน่าจะเป็นภรรยาของท่านหมอและเด็กที่ท่านอุปการะไว้ เมื่อเข้ามาในเรือนของท่านหมอ มีห้องแบ่งด้วยผ้าออกเป็นหลายๆห้องคล้ายกับเป็นเตียงในโรงพยาบาล ซึ่งเด็กรับใช้ของท่านหมอจะเดินนำไปยังเตียงของคนไข้ เมื่อเดินไปถึงห้องเล็กๆห้องหนึ่ง เฟิงลี่ก็มีน้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อเห็นพี่ชายตนเองนอนหลับหน้าซีดอยู่บนฟูกที่วางกับพื้น มีบิดาอยู่ข้างกาย หน้าซีดเผือดไม่ต่างกัน “บิดา” “ลี่เอ๋อร์ จิงหรุย...พวกเจ้ามาได้อย่างไร” ซ่งจิ้นหันมองผู้มาใหม่อย่างแปลกใจ “ท่านพ่อ พี่ใหญ่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เฟิงลี่เข้าประชิดฟูก มองผ้าพันแผลที่ขาที่ถูกพันไว้อย่างเป็นระเบียบ “เสี่ยวเฟิง เสี่ยวเฟิงลูกแม่...ท่านพี่ เสี่ยวเฟิงอาการหนักมากหรือเจ้าคะ” “ท่านหมอบอกว่า เขาอาจจะเดินกระเผกไปตลอดชีวิต แต่หากเราสามารถหาเงินมาให้ลูกได้รับการตรักษาต่อเนื่อง เขาจะหายขาดในสองเดือน แต่ต้องนอนที่นี่สิบคืน คืนละ50อีแปะ ยังไม่รวมค่ายา...” ซ่งจิ้นเอ่ยเสียงเคร่ง “ท่านพ่อ...ให้ท่านหมอรักษาท่านพี่ต่อไปเถอะนะเจ้าคะ” เฟิงลี่เอ่ยขึ้น รีบหยิบเงิน1ตำลึงออกมาจากอกเสื้อเหมือนเดิม แต่คราวนี้เงินออกมาเป็นตำลึงตรงๆ ไม่ได้อยู่ในถุงผ้าแล้ว “ลี่เอ๋อร์ เจ้าเอาเงินมาจากที่ใดมากมายกันแน่” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามอย่างเคร่งเครียดกว่าเดิม ผู้เป็นแม่เพียงมองอย่างตกใจ และกวาดตามองรอบด้านเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครหันมาสนใจ หากท่านป้าของนางรู้เรื่อง(หมายถึงท่านยายที่อยู่บ้านใหญ่) นางจะต้องหาเรื่องและหาว่าบ้านเล็กขโมยเงิน หรือทำเรื่องผิดกฎหมายเพื่อเอาเงินมาเป็นแน่ หรืออย่างเลวร้ายที่สุดคือนางมายึดเงินตำลึงนี้ไปเสียเฉยๆเลย “ท่านพ่อ ลูกสามารถหามาได้เอง ไม่ได้ขโมยใครมาแน่นอนเจ้าค่ะ ให้ท่านพี่รักษาตัวที่นี่ต่อเถอะนะเจ้าคะ” เฟิงลี่เอ่ยอย่างจนใจ นางไม่อาจหาข้ออ้างมาได้ ว่าเอาเงินมาจากไหน “ลี่เอ๋อร์ เจ้าเอาเงินมาจากที่ใดกัน แม่ไม่เห็นรู้ว่าเจ้าได้เงินมาจากใคร เจ้ารีบเอาไปคืนเขาเดี๋ยวนี้!!” มารดาเอ่ยขึ้นเสียงดุ ตี้จิงหรุยยังไม่เคยเห็นเงินตำลึงมาก่อนด้วยซ้ำในชีวิต เพราะเงินส่วนมากไหลเข้าบ้านใหญ่ทั้งหมด “ท่านแม่ ท่านพ่อ หากข้าบอกว่า...” เฟิงลี่ทำเสียงจนใจ กระซิบบอกทั้งสองเกี่ยวกับระบบของตนเองแบบคร่าวๆ บอกว่าเป็นของที่ท่านเทพมอบให้ บางครั้งก็อาจจะได้ของวิเศษมา บางครั้งก็ได้เป็นเงิน เมื่อทั้งสองได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะรีบบอกให้เฟิงลี่เก็บไว้เป็นความลับและอย่าบอกคนอื่นอีก เนื่องจากกลัวว่าคนอื่นจะไม่เข้าใจและทำให้เฟิงลี่เดือดร้อน จากนั้นทั้งสองก็หันไปกระซิบกระซาบปรึกษากันอย่างจริงจัง ปล่อยให้เฟิงลี่นั่งป้อนน้ำวิเศษให้พี่ชายตน เฟิงลี่ซื้อน้ำวิเศษมาเพิ่ม และเมื่อพ่อแม่นางรู้เรื่องระบบ(ท่านเทพ)แล้ว นางเลยหยิบของออกมาจากช่องเก็บของได้ แต่ต้องทำในที่ลับตาเท่านั้นเอง ส่วนพ่อแม่ก็ไม่สงสัยอะไรอีกเลย ราวกับว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่เข้าใจได้ง่ายๆ สมแล้วที่นางอ้างเทพเจ้า เพราะมนุษย์ในโลกนี้นับถือเรื่องเหนือธรรมชาติมาก แม้จะเริ่มมีนิกาย หรือศาสนาบ้างแล้วก็ตาม หลังจากนั้นเฟิงลี่ก็กรอกน้ำวิเศษใส่ถุงไว้ให้ท่านแม่ เนื่องจากท่านตัดสินใจจะเป็นคนอยู่เฝ้าพี่ใหญ่เอง ขณะที่เฟิงลี่จะกลับบ้านกับท่านพ่อ เฟิงลี่ไม่ได้ซื้อสมุนไพรกลับมา เพราะกลัวว่าเงินจะไม่พอสำหรับรักษาพี่ใหญ่ของนาง แต่ระหว่างเดินผ่านสวนสมุนไพร นางลองเพ่งมองข้อมูล และข้อมูลของสมุนไพรก็ปรากฎ -ต้นหลี กลิ่นจากดอกสามารถไล่แมลงได้ ใบมีฤทธิ์ขับพิษที่เกิดจากแมลง -รากเลือด นำรากไปต้มบำรุงเลือด และสมุนไพรอื่นๆอีกมาก ทั้งที่นางไม่มีความรู้เรื่องสมุนไพรมาก่อน แต่แค่เพ่งมองก็สามารถรู้ข้อมูลของมัน ดังนั้นเฟิงลี่จึงรู้ว่า คอนแทคเลนส์ตรวจสอบนั้นมีค่าอย่างมาก และนางสามารถเก็บแต้มไว้อัพเกรดมันได้ แม้จะแพงมากก็ตามที “อาลี่ เจ้าบอกว่าเทพเจ้าจะมอบของวิเศษเมื่อเจ้าทำงานให้ท่านด้วยใช่มั้ยลูก” บิดาเอ่ยถามเบาๆ ขณะเดินผ่านป่า “ใช่เจ้าค่ะท่านพ่อ” เพื่อให้ง่าย เฟิงลี่จึงบอกไปว่าตนเองเป็นสื่อกลางและทำงานให้ท่านเทพ และท่านเทพจะมอบของรางวัลให้นาง เหมือนกับคนทรง “แล้วที่เจ้าบอกว่า ท่านเทพไม่ชื่นชอบที่อยู่บ้านเรานั้นจริงหรือ” ข้อนี้เฟิงลี่พูดอย่างเห็นแก่ตัวสุดๆและอ้างเทพ นางต่างหากที่ไม่ชอบหมู่บ้านนี้ หากยังอยู่ในหมู่บ้าน ท่านยายก็ยังจะหาเรื่องมาขูดรีดบ้านตระกูลซ่งได้เรื่อยๆ โดยอ้างกฎของขุนนางและราชสำนัก เป็นจิ้งจอกอ้างบารมีพยัคฆ์โดยแท้ “ท่านเทพต้องการให้เราอยู่ใกล้เมืองเจ้าค่ะ หากอยู่ในเมืองได้จะดีมาก” เฟิงลี่เอ่ยยิ้มๆ “พวกเราไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอก” ซ่งจิ้นเอ่ยอย่างหนักใจ “เงินของลูกไงเจ้าคะ หากเราประยุกต์ใช้น้ำวิเศษที่ท่านเทพมอบให้ ก็น่าจะทำอะไรได้บ้างนะเจ้าคะ อย่างเช่นปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ขาย…อ้อ ลูกได้ตำราและเข็มปักผ้ามา ให้ท่านแม่เรียนรู้และใช้หาเงินได้นะเจ้าคะ แต่ว่า...บ้านใหญ่จะ...มายุ่งด้วยหรือไม่” เฟิงลี่เอ่ยพร้อมบิดตัวไปมาน้อยๆด้วยความกังวล ได้ยินอย่างนั้นซ่งจิ้นก็หน้าเครียดขึ้นมา “หากเจ้าไม่ทำตามท่านเทพบอก จะมีผลอะไรรึเปล่า” ซ่งจิ้นถามเสียงเข้ม “เราอาจจะโดนลงโทษได้เจ้าค่ะ ข้าอาจจะไม่เป็นอะไรมาก แต่หาก ท่านพ่อ ท่านแม่ หรือพี่ใหญ่โดนลงโทษแทนข้า ข้าคงเจ็บปวดใจมาก”เฟิงลี่เอ่ยกลั้วสะอื้น สมกับที่เคยเป็นหญิงงามในห้องหอ นางสามารถบีบน้ำตาได้ง่ายดาย ซ่งจิ้นได้ยินอย่างนั้นก็เงียบไปตลอดทาง เมื่อเดินผ่านชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นพวกเขาทักทายกันอย่างแจ่มใส แต่หากเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน พวกเขากลับเมินสองพ่อลูกไป เมื่อถึงบ้าน เฟิงลี่เข้าครัวอุ่นข้าวต้มแดงให้บิดารองท้อง ก่อนที่เขาจะขึ้นเขาอีกรอบ นางออดอ้อนจนเขายอมพานางขึ้นเขาด้วย โดยตกลงกันว่านางจะไปรออยู่แถบชายป่า ไม่ให้เข้าไปที่ลึกๆด้วย เฟิงลี่เพียงจะไปหาสมุนไพรมาบำรุงตนเองและครอบครัวเท่านั้น นางเลยตอบตกลง เมื่อไปถึงชายป่าใหญ่บิดาก็ปล่อยนางไว้ บอกว่าไม่ให้ไปไหนไกล เฟิงลี่เดินวนอยู่บริเวณนั้นพักหนึ่ง นางเก็บสมุนไพรที่เป็นยอดอ่อนมาเยอะเลย เพราะน้ำแข็งเพิ่งจะเริ่มละลาย ทำให้ต้นไม้ยังเป็นแค่ยอดอ่อนเท่านั้น ถึงอย่างนั้นนางก็ยังสามารถเก็บเปลือกไม้ ยางไม้ และรากไม้ที่มีประโยชน์มาได้อีกสองสามชนิด รวมถึงเมล็ดพืชที่แห้ง แต่มีผลบำรุงสุขภาพ นอกจากนี้เฟิงลี่ยังเดินเก็บเห็ดที่ขึ้นอย่างหนาตากว่าอย่างอื่น ดั่งว่าฤดูกาลนี้เป็นฤดูเก็บเห็ดก็ไม่ปาน ขณะที่นางก้มๆเงยๆอยู่บริเวณพุ่มไม้ เสียงกร็อบเกรบก็ดังขึ้นที่เบื้องหลัง เฟิงลี่รีบหันกลับไปมอง ก่อนจะเห็นหมูป่าตัวใหญ่มองมาที่นางเช่นเดียวกัน ดวงตาของมันแดงก่ำ เขี้ยวโก้งโค้ง ตัวสูงเท่าเอวนาง มันทำเสียงฮึดฮัด ก่อนจะเตะขาสองครั้ง เตรียมพุ่งมาทางนางด้วยสายตาอาฆาต เฟิงลี่รู้ได้ทันทีว่านี่เป็นสถานการณ์อันตราย [ภารกิจ รอดจากการถูกหมูป่าทำร้าย รางวัลเพิ่มค่าโชค+1] ได้ยินอย่างนั้นเฟิงลี่ก็รีบวิ่งทันที หมูป่าเองก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าระยะของมันและนางสั้นลงเรื่อยๆทุกลมหายใจ ขณะที่กำลังหมดสิ้นหนทาง และรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกแรงกระแทกจากด้านหลัง เสียง ฟิ้ว~ ก็ดังตัดอากาศขึ้น ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงดัง ตึง! ลูกศรผ่านแขนนางไป ยิงใส่หมูป่าด้านหลังจนมันล้มลง ขณะที่เฟิงลี่ยืนนิ่งด้วยความตกใจ มองตรงไปยังผู้ที่อยู่บนหลังม้าเบื้องหน้า ‘เขา!!’ นางเบิกตากว้าง มองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ ขณะเดียวกันทหารสองนายรีบลงจากม้าแล้วมานำตัวหมูป่าไป เขาที่เพิ่งเก็บคันธนูลง เหลือบสายตามองมาทางนางแว็บเดียว ก่อนจะหันม้ากลับไปด้านหลังจากไปโดยไม่คิดทักทายเด็กหญิงชาวบ้านที่ยืนตัวแข็งทื่อเหมือนเพิ่งกลับมาจากความตาย เหล่าทหารเองก็เพียงมองนางเล็กน้อย และตามเจ้านายไปหลังจากนำร่างหมูป่าขึ้นลากเลื่อนที่ต่อกับม้าของพวกเขาไว้แล้ว เฟิงลี่มองตามขบวนม้านั้นไปอย่างใจลอย ไม่รู้ว่านานเท่าไร กระทั่งเสียงบิดาดังขึ้น “ลี่เอ๋อร์ อาลี่!” เสียงเรียกดังขึ้น ก่อนที่บิดาจะโผล่มาจากด้านในของป่า “ท่านพ่อ” เฟิงลี่เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา นางหันไปมองบิดา ก่อนจะมองกองเลือดแล้วถอนหายใจ ...ใบหน้าเช่นนั้น สายตาเช่นนั้น เขาคือโหวซื่อจื่อผู้นั้น คู่หมั้นเก่าของนางในชาติแรก นางก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงมาอยู่แถบนี้ แต่มันทำให้นางหวาดกลัวถึงขั้วหัวใจ นางยังจำความเย็นชาของเขาได้ ยังจำคมดาบที่ฟาดฟันลงมาที่ตัวนางได้ ทุกอย่างเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน “อาลี่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง พ่อเห็นพวกทหารลากหมูป่าไปด้านนั้นจึงรีบวิ่งออกมาดูเจ้า” เมื่อซ่งจิ้นมาถึงตัวบุตรสาว เขาก็หมุนนางสองสามรอบเพื่อให้แน่ใจว่านางไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน “ข้า...ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” เฟิงลี่ตอบเสียงแผ่ว “เจ้าคงตกใจมาก” ซ่งจิ้นเหลือบตามองกองเลือด ก่อนจะกอดบุตรสาวไว้กับอก ลูบหัวปลอบนางอย่างแผ่วเบา “กลับบ้าน...กันเถอะเจ้าค่ะ” เฟิงลี่รู้สึกตัวแล้ว นางผลักอกบิดาเบาๆ ใบหน้าเล็กเขินเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินลงเขาไปเงียบๆ ซ่งจิ้นผู้เป็นบิดาได้แต่เกาหัวเบาๆ ก่อนจะหัวเราะเมื่อนึกขึ้นได้ว่าบุตรสาวของตนโตเป็นสาวแล้ว รีบวิ่งตามบุตรสาวไปทันที ที่เอวเขาผูกไก่ฟ้าไว้ตัวหนึ่ง โชคดีนักที่เขาได้ไก่ฟ้ามาในวันนี้ “ท่านพ่อ เราไม่ต้องขายไก่ฟ้า แล้วทำแกงไก่ไปให้ท่านแม่กับพี่ใหญ่กินกันดีมั้ยเจ้าคะ” เฟิงลี่เอ่ยถามเมื่อมาถึงถนนของหมู่บ้านแล้ว นางจำได้ว่าหากใช้สมุนไพรที่กลิ่นดีหน่อยปรุงน้ำแกง รสชาติของน้ำแกงจะดีขึ้นและยังมีสรรพคุณเป็นยาอีกด้วย นั่นจะทำให้ภารกิจของนางเสร็จเร็วขึ้น แน่นอนว่านางไม่ลืมกดรับรางวัลภารกิจที่จบไป ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเจอกับภารกิจที่ไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้น และไม่คิดเลยว่าจะได้พบเจอกับอดีตคู่หมั้นเช่นนี้ แต่ก่อนที่บิดาของนางจะได้เอ่ยตอบ ทันทีที่สองพ่อลูกลงจากเขามา ร่างท้วมซึ่งมีผมขาวไปแล้วครึ่งหัวก็วิ่งปรี่มาแต่ไกล พร้อมกับส่งเสียงร้องเอะอะ เรียกความสนใจของชาวบ้านที่สัญจรไปมา "เจ้าลูกเลี้ยงลูกลิงอกตัญญู นางเด็กอกตัญญูอยู่ที่นี่เอง บอกมันคืนเงินตำลึงที่ขโมยไปจากน้าสี่ของมันมาเดี๋ยวนี้!" ผู้ที่โวยวายวิ่งมา คือ ตี้เหวียน ผู้เป็นป้าของตี้จิงหรุย และมีศักดิ์เป็นยายของซ่งเฟิงลี่นั่นเอง ซ่งจิ้นหันมามองเฟิงลี่ แต่เมื่อเห็นใบหน้าสงสัยปนสับสนของบุตรสาว เขาก็หน้าเข้มขึ้นมา แน่ใจหลายส่วนว่าเงินนี้ไม่ใช่ของบ้านใหญ่แน่นอน แม้แวบแรกเขาจะกังขาในตัวบุตรสาวและท่านเทพที่นางกล่าวอ้างก็ตามที "ท่านป้า มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันเถอะ เงินตำลึงอะไรกัน" แม้จะแน่ใจว่าป้าผู้นี้ไม่ได้มาดี แต่ซ่งจิ้นยังคงสุภาพเช่นเคย เขายังสำนึกบุญคุณของท่านลุงเสมอมา ดังนั้นจึงนับถือท่านป้าตามไปด้วย แม้นางจะไม่ได้ดีกับเขานักก็ตาม "จะให้พูดอะไรอีกนอกจากนังเด็กนี่ขโมยเงินค่าเล่าเรียนของน้องสี่ของเจ้ามาน่ะสิ รีบเอามาคืนเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นแม้ข้าจะเห็นแก่เจ้า ก็ไม่แน่ว่าเรื่องจะไม่ไปถึงผู้ใหญ่บ้าน" นางตี้เหวียนรีบขู่ ด้วยรู้ดีว่าตนเองทำลายชื่อเสียงของบ้านเล็กไปมากแล้ว กระทั่งผู้ใหญ่บ้านก็อยู่ข้างตนเพราะเห็นแก่สามีที่ตายไป ดังนั้นโทษอย่างต่ำคือขับไล่เด็กผู้นั้นออกจากหมู่บ้าน โทษหนักคือจับส่งทางการ "ท่านป้า ใจเย็นๆก่อนเถิด เงินก้อนนั้นข้าเป็นคนเก็บหอมรอมริบกับมือ จะเป็นบุตรสาวข้าไปขโมยมาได้อย่างไร นางนอนซมเป็นไข้ตั้งแต่ต้นหนาว เพิ่งจะลุกขึ้นเดินได้ไม่กี่วัน ใครในหมู่บ้านนี้ต่างก็รู้ทั้งนั้น" "นี่เจ้า!...สรุปแล้วที่ผ่านมาเจ้าก็แอบยักยอกเงินจากบ้านใหญ่มาตลอดเลยใช่หรือไม่ ถึงว่าสิ บ้านเล็กจึงได้มีกินมีใช้ ถึงขนาดไปหาหมอได้ทุกเดือน ขณะที่บ้านใหญ่ต้องนับเม็ดข้าวกิน!!"เมื่อได้ยินที่ซ่งจิ้นยืนยัน นางตี้เหวียนก็รีบเปลี่ยนประเด็นในทันทีอย่างชำนาญ “พวกเจ้ามันอกตัญญูทั้งบ้านจริงๆ นับตั้งแต่หัวขาวยันหัวดำ เจ้าเล่ห์ขี้ขโมยไม่ต่างกันเลย” นางตี้เหวียนไม่ยอมเด็ดขาด นางจะต้องเค้นเงินตำลึงออกมาจากซ่งจิ้นให้ได้ จะบอกว่านางเสียดายก็ไม่ผิดนัก เพราะนางได้ยินข่าวจากเพื่อนบ้านที่กลับมาจากโรงหมอ เห็นบอกว่าบ้านเล็กร่ำรวยขึ้นมาถึงขนาดใช้เงินตำลึงจ่ายค่าหมอ นางเองก็ได้ข่าวที่ซ่งเฟิงบาดเจ็บแล้ว นางจะไม่ยอมให้พวกเขานำเงินไปละลายกับการรักษาคนพิการไร้ประโยชน์เด็ดขาด ได้ข่าวว่าซ่งเฟิงจะกลายเป็นคนขาเป๋ไปตลอดชีวิต เช่นนั้นจะเสียเงินตั้งตำลึงหนึ่งรักษาเขาไปทำไมกัน "ท่านป้า ข้านั้นไม่เคยยุ่งกับถุงเงินในบ้านใหญ่เลย ขณะเดียวกันเมื่อล่าสัตว์ล่าเนื้อมาได้ก็ส่งเข้าบ้านใหญ่ตลอด ทั้งเป็นส่วย เป็นค่าแสดงความกตัญญู" พอกล่าวถึงตรงนี้ ใบหน้าของซ่งจิ้นก็เต็มไปด้วยความละอายใจ เขาส่งของมีราคาไปให้บ้านใหญ่ตลอด จนครอบครัวของเขาเองอ่อนแอลงเรื่อยๆ เพราะไม่เคยได้รับการบำรุงที่ดีเลย แต่ท่านป้าก็ไม่ยอมลดวาลาศอก มีแต่ได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา สุดท้ายกระทั่งเงินตำลึงเดียวก็ยังจะให้เขาคว้าเนื้อมาจากปากเสือ เขาคิดว่าคงมีคนเห็นตอนเขาจ่ายเงินค่าหมอแน่ๆ และหากคนเห็นก็น่าจะรู้ว่าเขาจ่ายให้ท่านหมอไปแล้ว จะให้เขาไปขอคืนมางั้นหรือ? เป็นใครจะให้? ซ่งจิ้นไม่ใช่คนโง่ เขาเชื่อว่าต้องมีคนนำข่าวเรื่องที่เขาจ่ายเงินตำลึงให้ท่านหมอมาฟ้องบ้านใหญ่เป็นแน่ ดังนั้นท่ายป้าจึงวิ่งมาทวงเงินอย่างหน้าด้านๆเช่นนี้ ซ่งจิ้นยังหวังมาตลอด ว่าคนบ้านใหญ่จะมองพวกเขาเป็นครอบครัวบ้าง เขาจะได้รู้สึกอุ่นใจบ้าง เมื่อเขาตายไป บุตรสาวบุตรชายก็ยังจะมีญาติๆช่วยดูแล แต่เขาอาจจะคิดผิดมาตลอดก็ได้ เหตุการณ์เช่นนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เขานึกย้อนไปถึงอดีตช่วงสามปีมานี้ เวลามีเทศกาลปกติ บ้านของเขาไม่เคยถูกเชิญไปเข้าร่วมในฐานะญาติใดใดทั้งสิ้น จะมีก็แต่ตอนที่เขาล่าเนื้อมาได้ ที่ท่านป้าจะมาเยือนและนำเนื้อกลับไป นี่มันไม่ใช่การตบมือข้างเดียวหรอกหรือ? แล้วเขาจะฝากผีฝากไข้กับคนพวกนี้ได้อย่างไร? อย่าว่าแต่บ้านใหญ่เลย กระทั่งเพื่อนข้างบ้าน พวกเขายังไม่อยากจะคุยกับบ้านตระกูลซ่งของเขาเลย แต่ก่อนเขาเข้าใจว่าเป็นเพราะเขาเป็นคนนอกสกุลตี้ (ที่นี่คือหมู่บ้านสกุลตี้) แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD