บทที่8 คุณหนูน้อย2

2736 Words
ทางด้านเฟิงลี่ นางเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ออกมาจากบ้าน วันนี้มารดาผูกผมให้นางอย่างดี เพราะผมของนางนุ่มลื่นน่าจับ มารดาจึงมาช่วยมัดให้จะได้ไม่เป็นที่สนใจของคนอื่น ส่วนผมของซ่งเฟิง เขามัดเองได้อยู่แล้วเพราะโดยปกติเขาเป็นคนค่อนข้างมีระเบียบเรียบร้อย เขารู้สึกว่าเสื้อผ้าหน้าผมต้องดูแลให้ดี เด็กสองคนแต่งตัวด้วยชุดผ้าป่านเนื้อหยาบก็จริง แต่ใบหน้าและผิวพรรณดูดีไม่หยอกบ่งบอกว่าสุขภาพดี บางคนเห็นซ่งเฟิงแล้วต้องตกใจด้วยซ้ำ เพราะเมื่อต้นเดือนเขายังพิการอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับเดินได้แทบจะปกติแล้ว เมื่อมาถึงหน้าบ้านหมอ เด็กทั้งสองบังเอิญเจอกับฮูหยินท่านหมอเข้าพอดี ฮูหยินจำเด็กทั้งสองได้ก็ทักทายพร้อมถามไถ่ “พวกเจ้าลูกบ้านตระกูลซ่งนี่นา เด็กชายขาเจ้าหายดีแล้วหรือ?” “ผู้น้อยซ่งเฟิงหายดีแล้วขอรับ ทั้งนี้เพราะท่านหมอมีฝีมือรักษาผู้น้อยไม่นานก็ฟื้นตัว” “นั่นเพราะเจ้าแข็งแรงต่างหาก แล้วนี่พวกเจ้ารอเกวียนเข้าเมืองหรือ?” ฮูหยินลู่เจิ้งถามอย่างแปลกใจปนสงสัย นางเองก็รอรถเกวียนเข้าเมืองอยู่เช่นกัน “ใช่เจ้าค่ะ ข้าและพี่ชายจะนำสัตว์ที่ล่าได้ไปขายในเมือง” เฟิงลี่เป็นคนตอบ ฮูหวินลู่เจิ้งจึงยิ้มให้เด็กหญิง นางรู้สึกว่าเด็กทั้งสองน่าเอ็นดูอย่างมาก “พอดีเลย ข้าก็จะเข้าเมืองเช่นกัน แล้วบิดาพวกเจ้าอาการเป็นเช่นไรบ้าง” ฮูหยินลู่เจิ้งรู้สึกผวาเมื่อได้ยินว่ามีโจรอยู่ใกล้ๆนี้ ปกติแล้วเส้นทางทั้งสามหมู่บ้านไม่ค่อยมีโจรป่า กระทั่งตลอดทางเข้าเมืองก็ไม่เคยมีโจรป่ามาก่อน ไม่คิดเลยว่าอยู่ๆวันหนึ่งจะมีคดีโจรปล้นกันขึ้นมา แม้ว่าสามีนางจะบอกว่ามีเงื่อนงำบางอย่าง แต่อย่างไรก็ทำให้คนผวาจริงๆ “ท่านพ่อดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ต้องขอบคุณท่านหมอจริงๆที่ช่วยชีวิตท่านพ่อไว้ได้” เฟิงลี่ยิ้มหวาน “ขากลับพวกข้าก็จะแวะรับยาจากท่านหมอเช่นกันขอรับ” ซ่งเฟิงรีบเอ่ยขึ้นมา ลู่ฮูหยินได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้าให้คนรับใช้ของตนเข้าไปแจ้ง เด็กจ่ายยาเอาไว้ก่อน เพื่อไม่ให้สองพี่น้องนี้รอนาน นางยังกำชับว่าเด็กๆจะกลับมาแวะหลังจากเข้าเมืองแล้ว สองพี่น้องรีบขอบคุณลู่ฮูหยินยกใหญ่ ทั้งสองสนทนากับฮูหยินท่านหมออีกไม่กี่คำรถเกวียนก็มาถึง เมื่อคนขับรถเกวียนเห็นฮูหยินท่านหมอเขาก็รีบกุลีกุจอพานางไปนั่งยังจุดที่ดีที่สุด แน่นอนว่าไม่มีชาวบ้านบ่นเลยสักคำ นั่นทำให้เด็กทั้งสองไม่ได้คุยกับฮูหยินอีกกระทั่งถึงเมือง เมื่อกล่าวลาฮูหยินผู้แสนใจดีแล้ว สองพี่น้องก็มุ่งหน้าไปยังร้านจงเหมิน แน่นอนว่าต้องไปหลังร้าน ... วันนี้ ‘เซี่ยเอ้อ’ เป็นผู้ดูแลประตูหลังร้าน โดยปกติแล้วหน้าที่นี้จะเป็นของบรรดาเสี่ยวเอ้อร์ที่ใกล้ชิดกับผู้จัดการ แต่เพราะเขามีเส้นสายจากตระกูลสายรองของตระกูลจงผู้เป็นเจ้าของร้านนี้ ทำให้เซี่ยเอ้อได้ตำแหน่งนี้มาครอบครอง เพราะตำแหน่งนี้หาประโยชน์ได้ง่ายมาก หน้าที่ของตำแหน่งคนเฝ้าประตูหลังคือรอให้พรานป่าและชาวบ้านมาเสนอขายวัตถุดิบ แม้จะมีฝ่ายจัดซื้อเดินตลาดและจัดหาแหล่งสินค้าอยู่ตลอดแล้ว แต่เพื่อไม่ให้พลาดไข่ทองคำร้านจงเหมินจึงมีนโยบายให้มีเสี่ยวเอ้อร์หลังร้านขึ้นมา ไม่เหมือนร้านอื่นที่ผู้จัดการจะเป็นคนจัดการเรื่องวัตถุดิบจากชาวบ้าน แน่นอนว่าเป็นตำแหน่งที่หาประโยชน์ได้มาก เพราะเขาสามารถกดราคาชาวบ้านได้ตามใจ โดยอ้างว่าจะให้พวกเขาเป็นคู่ค้าประจำของร้าน แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนตัดสินใจเรื่องนั้นแต่ใครจะรู้ล่ะ? เซี่ยเอ้อเป็นคนฉลาดแกมโกง นอกจากเงินที่ได้จากชาวบ้าน เขายังได้ส่วนแบ่งที่ทางร้านจัดให้อีกด้วย หากว่าวัตถุดิบดีมีราคา ดังนั้นเขาจึงยัดตัวเองเข้ามาอยู่ในตำแหน่งนี้ โดยปกติเซี่ยเอ้อมักจะยืดอก คอตั้ง หน้าแหงนมองฟ้าและปรายตามองคน แม้รูปร่างเขาจะเตี้ยและตันแค่ไหนก็ตามที แต่ดวงตาเล็กหรี่ของเขาก็ยังหยิ่งผยองเมื่อมองชาวบ้านบางคน ที่ยอมแม้กระทั่งคุกเข่าขอร้องให้เขารับวัตถุดิบ แต่เมื่อนานๆเข้าทางร้านก็เริ่มรู้ แต่ไม่อาจปลดเขาออกได้ สุดท้ายจึงเปลี่ยนกฎ ให้เสี่ยวเอ้อร์เวียนมาเฝ้าหลังร้าน7วัน ก็7คน สุดท้ายเขาเลยได้ผลประโยชน์น้อยลงเรื่อยๆ และหมดลงในที่สุด แต่วันนี้เหมือนจะมีเหยื่อตัวน้อย เข้ามาติดกับเขาสองคนแหะ … เมื่อเห็นลูกกระต่ายน้อยสีขาวกำลังเดินตรงเข้ามา เซี่ยเอ๋อรีบลุกขึ้นก่อนจะเชิดหน้าตาตั้งเหมือนกับที่ทำเสมอมา “มีอะไรมาขายล่ะ” เสียงเขาหยิ่งผยองและน่าหมั่นไส้ที่สุด ราวกับว่าคนที่เดินเข้ามากำลังมาขอข้าวกินอย่างไรอย่างนั้น “พี่ชายท่านนี้ พวกเรามาหาพี่เสี่ยวเอ้อร์ฉิงชิง” ได้ยินอย่างนั้นหัวคิ้วเซี่ยเอ๋อก็กระตุกหนัก เจ้าฉิงชิงผู้นั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายจัดซื้อ และไม่ได้อยู่ในรายชื่อผู้เฝ้าประตูหลัง แต่เมื่อวานเพราะความผิดพลาดของมันทำให้มันต้องออกไปหาวัตถุดิบมา และมันกลับทำได้ ทำให้ตอนนี้ได้บรรจุกลายเป็นเด็กเฝ้าประตูคนใหม่ไปแล้ว ตอนแรกเซี่ยเอ๋อเกือบถูกถอด หากเขาไม่ยืนยันความสัมพันธ์กับตระกูลจง คนที่ถูกถอดคงเป็นเขา โชคดีที่ผู้จัดการไม่ค่อยแยแสงานเล็กๆ ผู้ที่จัดการตำแหน่งงานจึงถอดคนอื่นแทนที่ชื่อเขา “ฉิงชิง มันทำไม?” เซี่ยเอ๋อถามด้วยน้ำเสียงดุดัน “คืออย่างนี้พี่ชาย...” ก่อนที่ซ่งเฟิงจะพูด เฟิงลี่ก็หยุดเขาไว้และพูดแทรกขึ้นมา “พี่ชายฉิงชิงให้เรามาหาวันนี้เจ้าค่ะ” เฟิงลี่เอ่ยตาใส ไม่ยอมบอกว่ามาทำไม แต่เซี่ยเอ๋อมีหรือจะไม่รู้ เพียงเขาเหลือบมองตะกร้าหลังของเด็กที่ปิดฝาเอาไว้ ก็รู้ว่าเด็กพวกนี้มาเสนอขายอะไรบางอย่าง “ไม่รับๆ พวกข้าไม่รับซื้ออะไรแล้ววันนี้ กลับไปซะเถอะ” “พี่ชาย พวกเรานัดกับพี่ฉิงชิงเอาไว้แล้วจริงๆเจ้าค่ะ” เฟิงลี่ย้ำ นางขมวดคิ้วน้อยๆ เพราะคนตรงหน้าดูเหมือนจะไม่ยอมไปเรียกคน และพยายามไล่พวกนางไม่ว่าอย่างไร “วันนี้ไม่เปิดรับซื้อไงวะ! เจ้าพูดไม่รู้เรื่องเรอะ พี่ฉิงชิงอะไรของเจ้า เขาไม่ได้มีหน้าที่ในส่วนรับซื้อด้วยซ้ำ อย่ามาวุ่นวายแล้วก็กลับไปซะ เจ้าเด็กพวกนี้นี่!” เซี่ยเอ๋อผลักเด็กทั้งสอง จนพวกเขาล้มลงไป ซ่งเฟิงรีบเอามือปิดฝาตะกร้าเอาไว้ ทำให้ไม่มีอะไรหลุดออกมาได้ “พี่ชาย ทำไมท่านต้องทำรุนแรงกับเรา ไม่ซื้อก็ไม่ซื้อ พวกเราไม่วุ่นวายกับท่านแล้ว” ซ่งเฟิงเอ่ยอย่างหมดความอดทน “เอะอะอะไรกัน อ้าว! นั่นไม่ใช่น้องซ่งทั้งสองหรือ วันนี้มีสิ่งนั้นมาขายอีกหรือไม่?” โชคดีหรืออะไรก็ไม่ทราบ แต่ก่อนที่เด็กทั้งสองจะจากไปเพื่อไปเสนอขายที่ร้านอื่น ฉิงชิงผู้เป็นตัวการก็โผล่มาพอดี ฉิงชิงมองรอบด้าน พอเขาเห็นเซี่ยเอ๋อก็เข้าใจทันที ใบหน้าเขามืดครึ้มลงหลายส่วน นึกคาดโทษในใจว่าจะต้องบอกเรื่องนี้กับผู้จัดการให้ได้ “มีอะไรก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า วันนี้ไม่ใช่วันเวรของเจ้า ใครจะได้เข้าหลังร้านหรือไม่เป็นข้าตัดสินใจ” เซี่ยเอ๋อเอ่ยอย่างทะนงตน “ร้านจงเหมินไม่เคยมีกฎเช่นนั้น เสี่ยวเอ้อร์ทุกคนสามารถรับซื้อสินค้ามีค่าได้ แต่ต้องผ่านการตรองราคาจากผู้ช่วยเท่านั้น เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้าว่าจะซื้ออะไรไม่ซื้ออะไร” ฉิงชิงไม่พอใจเซี่ยเอ๋ออยู่แล้ว วันนี้เจ้าตัวยังวางท่าเช่นนี้ใส่เขาอีก ฉิงชิงเป็นพนักงานเก่าแก่ของที่ร้าน เขาทำงานร้านนี้มาตั้งแต่ก่อตั้งดังนั้นจึงค่อนข้างมีหน้ามีตา และยังรู้กฎของร้านดี ดังนั้นเซี่ยเอ๋อจึงไม่อาจต่อปากต่อคำได้อีก “พี่ฉิง วันนี้เรามีสิ่งนั้นมาเจ้าค่ะ แต่ว่า...หากคราวหน้ามีสิ่งนั้นมาอีก แต่มาเจอคนขัดขวางเช่นนี้...” เฟิงลี่เห็นสถานการณ์ ก็รีบหาทางออกให้ตัวเองทันที นางรู้ว่าหากมาคราวหน้าแล้วเจอกับคนผู้นี้อีก ตนเองอาจจะโดนไล่ไปเฉยๆเลยก็ได้ “ไม่ต้องห่วง คราวหน้าพวกเจ้าไปบอกเสี่ยวเอ้อร์หน้าร้านได้เลยว่ามาหาข้า” “เจ้ามีสิทธิ์เรอะ!” เซี่ยเอ๋อได้ยินอย่างนั้นก็ตวาดลั่นทันที “ข้ามีสิทธิ์หรือไม่ เรื่องไปถึงผู้จัดการก็จะรู้เอง” ฉิงชิงไม่นึกสนใจคนพาลอีก เขาหันไปช่วยเด็กทั้งสองลุกขึ้น ก่อนจะเดินนำพาเข้าหลังร้านไป ขณะที่เซี่ยเอ๋อ ได้แต่กระทืบเท้าเร่าๆไม่พอใจอยู่หลังร้าน แต่ไม่อาจทำอะไรได้ เมื่อเข้ามาในร้านฉิงชิงก็รีบขอโทษเด็กทั้งสองทันที เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเด็กทั้งสองจึงมีเนื้อหนูมากเพียง นี้ เพราะเมนูหนูเพิ่งจะเริ่มแพร่หลายมาถึงเมืองนี้ได้ไม่นาน “ข้าต้องขอโทษพวกเจ้าด้วย ปกติแล้วร้านเราก็ดีกันทุกคน มีแต่คนผู้นั้นแหละที่เลวหน่อย” ฉิงชิงเอ่ยบอกหน้าเหยเก “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เพราะถึงไม่ขายให้ท่าน ก็มีหลายร้านหลายบ้านที่อยากลองกินเนื้อหนู ซึ่งกำลังเป็นเมนูดังของเมืองหลวง” “โอ้ เจ้ารู้ด้วยหรือเด็กน้อย ไม่สิ...คุณหนูซ่งเจ้าอย่าทำเช่นนี้เลย ตอนนี้มีเจ้าคนเดียวที่หาเนื้อหนูมาได้ ข้าหมดหนทางจริงๆ ดังนั้นได้โปรดอย่าทอดทิ้งข้าเลย นอกจากเนื้อหนูแล้วข้าจะรับซื้อวัตถุดิบจากเจ้าเป็นอันดับแรกเลยว่าอย่างไร” “โอ้ พี่ชายท่านทำการค้าเก่งมาก...” เฟิงลี่เอ่ยชมยิ้มๆ ซ่งเฟิงมองคนทั้งสองสลับไปมา เขาพยักหน้าในใจและเริ่มตั้งใจเรียนรู้ว่าต้องพูดอย่างไร ต่อไปเขาจะได้ช่วยน้องสาวเจรจาได้ “ว่าแต่วันนี้มีหนูมากี่ตัวล่ะ ช่วงนี้แขกผู้มีเกียรติจากเมืองหลวงมาเป็นขบวนใหญ่ ดังนั้นร้านเราจึงต้องการเนื้อหนู แต่แขกผู้มีเกียรติในเมืองก็เริ่มได้ลิ้มลองเนื้อหนูและติดใจ ดังนั้นหากเจ้ามีมากเท่าใดก็นำมา พวกข้ารับไว้ทั้งหมด ยิ่งเป็นๆยิ่งดี” “แน่นอนว่าเป็นหนูเป็นเหมือนเดิมเจ้าค่ะ” เฟิงลี่ว่าแล้ววางตะกร้าลงกับพื้นบันได “คุณหนูซ่งขึ้นไปนั่งรอก่อนสิ ดูเหมือนเราจะมีการค้าใหญ่กันแล้ว ข้าต้องรับรองท่านสักหน่อย” ฉิงชิงยิ้มแก้มปริ เขาได้ยินเสียงหนูร้องเบาๆบ่งบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นหนูเป็น ดังนั้นเขาจึงอยากทำการค้าระยะยาวกับเด็กทั้งสอง “ขอบคุณพี่ชาย” เด็กทั้งสองเดินตามฉิงชิงที่ถือตะกร้าเดินนำหน้าอย่างอารมณ์ดี ดูเหมือนจะพึงพอใจกับผลงานครั้งนี้ของพวกนาง ซึ่งนั่นต้องขอบคุณต้าฟาง(หุ่นฟางการเกษตรจากระบบ) เพราะเขาช่วยจับหนูรอบๆสวนนางจนหมดแล้วกระมัง ต่อไปคงต้องลุ้นเอาว่าจะดักได้บ้างหรือไม่ เมื่อนำเด็กทั้งสองมาถึงห้องรับรองที่ชั้นสองแล้ว ฉิงชิงก็เทน้ำชาให้พวกเขาคนละจอก นำขนมออกมารับรองสองชิ้นแล้วเดินจากไปพร้อมกับตะกร้าหนู “เสี่ยวลี่ กินของพวกเขาจะดีหรือ ขนมนี่ตั้งกี่อีแปะกัน พวกเขาอาจจะหักเงินเรา” ซ่งเฟิงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นนางหยิบขนมขึ้นกิน “พี่ใหญ่พวกเขาไม่หักเงินหรอก แถมเขาจะให้เพิ่มด้วยถ้าเรากินหมด” เฟิงลี่เอ่ยหยอกพี่ชายตนเอง ซ่งเฟิงหน้าเข้มขึ้นแต่สุดท้ายก็ทนต่อความยั่วยวนของขนมไม่ไหว หยิบชิ้นที่เหลือมากัดกินในที่สุด ก่อนจะแอบเอาครึ่งหนึ่งเก็บไว้ในอกเสื้อ “พี่ใหญ่ไม่กินให้หมด ไม่อร่อยหรือเจ้าคะ” เฟิงลี่เอ่ยถามอย่างสงสัย นางเองก็ชะงักไปหลังจากกินไปได้ครึ่งหนึ่ง เมื่อเห็นสิ่งที่พี่ชายทำ “อร่อย...แต่ข้าจะเก็บไว้ให้ท่านพ่อ ท่านแม่ด้วย” ได้ยินอย่างนั้นเฟิงลี่ก็ลดมือลง ก่อนจะเก็บขนมไว้ในอกเสื้อเช่นกัน ในใจรู้สึกขมๆฝาดและอบอุ่นอย่างประหลาด นี่คือความรู้สึกถึงความรักของครอบครัวใช่หรือไม่? ก่อนที่บรรยากาศจะแปลกไปมากกว่านี้ ฉิงชิงก็กลับมาพร้อมกับถุงเงินที่ทำจากผ้าเนื้อธรรมดาเช่นเคย “คุณหนูซ่ง คุณชายน้อยซ่ง นี่เป็นเงินค่าสิ่งนั้นของพวกเจ้า มีทั้งหมด12ตัว พวกเรารับซื้อตัวละ10ตำลึง เก็บเงินไว้ดีดีล่ะ” เฟิงลี่เบิกตากว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่าตนเองจะหาเงินได้ง่ายๆอย่างนี้ พวกคนรวยนี่เหลือเกินจริงๆ ไม่ใช่แค่เฟิงลี่ที่ตกใจ ซ่งเฟิงเองก็ตกใจมาก ไม่คิดว่าทางร้านจะรับซื้อแพงขนาดนี้ เขามองถุงเงินเล็กๆนั่น ก่อนจะรับมาด้วยมือสั่นเทา “ในนั้นมีตั๋วแลกเงิน100ตำลึง และเงินอีก20ตำลึง หากมีหนูมาอีกพวกเราจะซื้อทั้งหมดเลย เพราะในเมืองแถบนี้ยังไม่มีฟาร์มหนู หากขนส่งมาจากในเมืองหลวงก็มีราคาแพงกว่านี้มาก ดังนั้นการที่ได้หนูของพวกเจ้ามา ช่วยเหลือพวกเรามาก” “เอ้อ นี่เป็นเงินที่ผู้จัดการให้พวกเจ้าเพิ่มสำหรับหนูเมื่อวานอีก5ตำลึง เพราะพวกเจ้ามอบหนูเป็นให้พวกเราและคุณชายของพวกเราได้ตัดสินใจลงทุนสร้างฟาร์มหนูด้วยตนเอง อ๊ะ …. แต่เรายังรับหนูเหมือนเดิมนะ แต่เมื่อฟาร์มอยู่ตัวแล้วราคาอาจจะลดลงเท่านั้น” ฉิงชิงรีบอธิบาย ก่อนจะหัวเราะแหะๆพร้อมเกาหัวแกรกๆ ความจริงพวกเขายังต้องการหนูเป็นๆอีกมาก เพื่อให้คนไปทดลองเลี้ยง และไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใด แต่ตอนนี้เนื้อหนูเริ่มเป็นที่นิยมในชนชั้นสูงของเมืองแล้ว โดยเฉพาะคนที่เคยไปกินมาจากเมืองหลวง พวกเขายอมเสียเงินซื้อแพงขึ้นเพราะเข้าใจว่าฟาร์มหนูอยู่ห่างจากเมืองนี้มาก “ขะ...ขอบคุณขอรับ” ซ่งเฟิงหายตกใจแล้ว เขารับถุงเงินมาเก็บไว้แนบอกอย่างดี มือยังจับตรงอกไว้ตลอดเพราะกลัวว่าเงินจะหล่นหาย เด็กทั้งสองออกจากร้านไปแล้ว ขณะที่ฉิงชิงมองส่งพวกเขาจนลับสายตา เขารีบกลับไปหาผู้จัดการเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับวัตถุดิบหายากชนิดนี้ต่อไป เข้าเมืองสองวัน กลับได้เงินมาเป็นร้อยตำลึง นั่นทำให้เด็กทั้งสองตกใจอย่างมาก ขนาดเฟิงลี่ที่เคยจับเงินเป็นพันๆหมื่นๆตำลึงมาแล้ว ในชาติแรกของนางซึ่งนางเป็นถึงท่านหญิงก็ยังคงตกตะลึงที่ตนเองสามารถหาเงินได้มากขนาดนี้ ตอนนี้นางเป็นคุณหนูแล้วจริงๆ เงินเท่านี้ทำให้นางรู้สึกว่าตนเองเป็นคุณหนูจริงๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD