ตอนที่ 1 วาร์ปไปเกิดใหม่มาหลายภพหลายชาติ (1)
“นี่ ฟางหรง ฉันต้องรีบไปทำงานแล้ว เดี๋ยวจะสาย อ้อ ฉันฝากซักเสื้อผ้าที่ฉันใส่เมื่อวานด้วย อย่าลืมล่ะ เดี๋ยวแห้งไม่ทันใส่พรุ่งนี้ อย่าลืมเด็ดขาดเชียว” หญิงสาวนางหนึ่งยัดเสื้อผ้า 2 ชิ้นใส่ในมือของอีกฝ่ายพร้อมออกคำสั่ง จากนั้นก็ทำท่าจะเดินออกจากบ้านไป
“แต่…วันนี้ฉันต้องไปลงแปลงนานะ” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าฟางหรงเอ่ยออกมาด้วยท่าทางอ่อนอกอ่อนใจ แม้แต่พูดเธอยังเหนื่อยเลย
“แล้วยังไง ลงแปลงนาก็ลงไปซิ ตอนนี้ยังไม่ลงก็รีบไปซักผ้าให้ลู่เฟินเสียสิ ลำธารก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง รีบไปแล้วรีบตามไปที่แปลงนาล่ะ อย่าไปสาย เดี๋ยวหัวหน้าซวนและคนอื่นๆ จะมองไม่ดี ชื่อเสียงเรื่องความขี้เกียจของแกยิ่งดังกระฉ่อนไปทั่วคอมมูนอยู่ ฉันที่เป็นพ่อของแกนี่ไม่รู้ว่าจะหาปี๊บที่ไหนมาคลุมหัวแล้ว แล้วนี่ ผู้หญิงอย่างแกน่ะใครเขาจะอยากได้ไปเป็นภรรยา ขี้เกียจออกปานนี้ เฮ้อ!” หยางลู่เมิ่งออกอาการหงุดหงิด ยิ่งเห็นหน้าลูกสาวที่ชอบทำหน้าตาอ่อนระโหยโรยแรงคนนี้เขายิ่งรู้สึกขัดใจ
ในจังหวะเดียวกันนั้นหญิงวัยกลางคนนางหนึ่งก็ขยิบตาบอกใบ้ให้ผู้เป็นลูกสาวที่ทำท่าทางรีบร้อนว่าจะต้องออกไปทำงานให้รีบไป
“แหม…พี่ลู่เมิ่งล่ะก็ อย่าบ่นนักเลย พี่ไม่เหนื่อยบ้างเลยเหรอ เรื่องที่ลูกสาวตัวดีของพี่น่ะเป็นผู้หญิงขี้เกียจใครๆ เขาก็รู้ไปทั่วทั้งคอมมูนแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่คอมมูนของพวกเราเท่านั้นนะ คอมมูนข้างเคียงก็รู้ชื่อเสียงเรียงนามนี้ดี พี่น่ะ ทำใจหน่อยนะว่าฟางหรงอาจจะไม่มีผู้ชายคนไหนมาสู่ขอ อาจจะต้องอยู่เป็นสาวแก่ให้พ่อเลี้ยงไปจนตายกระมัง ฮะๆ ฮ่าๆ” หลัวอิ๋นฟาง แม่เลี้ยงของสาวน้อยหยางฟางหรงได้ทีช่วยกระแทกแดกดัน
หยางลู่เมิ่งถอนหายใจแรงก่อนจะเบนหน้าหนี เขาไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวแสนชังคนนี้เลย ก็จะไม่ให้เขาชังน้ำหน้าได้อย่างไรกัน นับตั้งแต่หยางฟางหรงเติบโตขึ้นมาพอที่จะลงภาคสนามช่วยครอบครัวเก็บแต้มแล้วหญิงสาวก็มักจะอิดออดเรื่อยมา บ้างก็แสร้งทำเป็นไม่สบาย นอนซม สามวันดีสี่วันไข้ ไปทำงานตากแดดนิดตากแดดหน่อยก็เป็นลม บางครั้งก็ได้ทำงานแค่ครึ่งวัน พอหัวหน้าคอมมูนเห็นว่าหญิงสาวดูท่าจะไม่ไหวอีกแล้วก็รีบไล่กลับบ้านตั้งแต่ครึ่งวัน จะได้ไม่เป็นภาระให้คนอื่นๆ ต้องดูแล ลูกสาวไม่เอาถ่านของเขาคนนี้ทำเขาอับอายขายหน้ามาก็มาก ผิดกับลูกเลี้ยงที่อายุเท่าๆ กัน รายนั้นทั้งสวย เก่ง ฉลาด ได้ทำงานเป็นเสมียนของคอมมูน ถึงจะไม่นับว่าเป็นงานชามข้าวเหล็กแต่ก็ยังดีกว่าทำงานภาคสนามที่หญิงสาวชาวบ้านทั่วๆ ไปทำ เพราะการทำงานภาคสนามนั้นจะได้ส่วนแบ่งจากผลผลิตและแต้มเพื่อตีเป็นคูปอง แต่จะไม่ได้รับเป็นเงิน แต่สำหรับคนที่เป็นหัวหน้าคอมมูน ผู้ช่วยหัวหน้าคอมมูนและเสมียนนั้นจะได้รับเงินเดือน โดยคนที่เป็นเสมียนของคอมมูนอย่างเตียวลู่เฟินนั้นจะได้รับเงินเดือนเดือนละ 25 หยวน ซึ่งนับเป็นเงินไม่น้อยเลยสำหรับชาวบ้านทั่วๆ ไป การที่มีคนในบ้านที่ได้งานทำที่มีเงินเดือนทำให้หัวหน้าครอบครัวอย่างหยางลู่เมิ่งมีหน้ามีตาอย่างยิ่ง
“รีบไปซักผ้าให้ลู่เฟินเสียสิ แล้วก็รีบไปแปลงนาล่ะ ตอนนี้หัวหน้าซวนกำลังจับตาดูแกอยู่ หวังว่าวันนี้แกคงไม่เป็นลมไปอีกนะ อย่าให้ฉันขายหน้าอีกล่ะ เกิดมาเป็นพ่อแกนี่มันซวยจริงๆ ฮื่ย! ให้ตายเถอะ” สบถเสร็จหยางลู่เมิ่งก็เดินฉับๆ ออกไปอย่างหัวเสีย
หลัวอิ๋นฟางที่รั้งท้ายพลันปรายตามองลูกเลี้ยงด้วยความเดียดฉันท์ เธอเบะปากเหยียดยิ้มอย่างสาแก่ใจ ก่อนเดินตามสามีออกไปยังไม่วายกำชับ
“ซักให้สะอาดล่ะ เสื้อผ้าลูกสาวฉันน่ะ อ้อ แล้วพอเลิกจากแปลงนาวันนี้ก็อย่าลืมมาเอาเสื้อผ้าของฉันกับพ่อของแกไปซักด้วย ผ้าจะเต็มตะกร้าอยู่แล้ว” กล่าวจบหลัวอิ๋นฟางก็สะบัดหน้าเดินฉับๆ ตามผู้เป็นสามีไป
หยางฟางหรงก้มมองดูเสื้อผ้า 2 ชิ้นที่อยู่ในมืออย่างอ่อนอกอ่อนใจ มันเป็นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าและกระโปรงผ้าโพลีเอสเตอร์สีชมพูอ่อนที่เตียวลู่เฟินมักจะใส่อยู่เป็นประจำ ตั้งแต่จำความได้หยางฟางหรงเคยมีครอบครัวที่อบอุ่น เธอเคยมีความสุขมากกว่านี้ แต่นั่นมันก็ก่อนที่แม่ของเธอจะถูกงูกัดตายในแปลงนานั่นนะ หลังจากที่แม่ตายได้ประมาณ 3 เดือน พ่อก็พาผู้หญิงหม้ายลูกติดเข้ามาอยู่ในบ้าน และบอกให้เธอนับลูกติดของภรรยาใหม่เป็นพี่สาว ทั้งๆ ที่เกิดปีเดียวกัน ต่อมาพ่อและภรรยาใหม่ก็ได้ลูกด้วยกันอีก 1 คน หยางฟางหรงเลยกลายเป็นหมาหัวเน่า ถูกจิกใช้ให้ทำงานบ้านทุกอย่าง ซักผ้า หาบน้ำ ตำข้าว ทำอาหารให้ทุกคน นอกจากนี้ยังต้องลงภาคสนามเพื่อเก็บแต้มให้กับครอบครัวอีก แม้จะทำงานมากมายขนาดนั้นแต่หญิงสาวกลับถูกมองว่าเป็นคนขี้เกียจ เพราะเธอมักจะมีอาการอ่อนเพลีย สามวันดีสี่วันไข้ บางวันไปลงภาคสนามไม่ไหว ต้องขอนอนพักอยู่บ้าน บางครั้งก็ฝืนร่างกายไปลงภาคสนาม แต่ลงทำงานได้ครึ่งวันก็เกิดเป็นลมหมดสติไป ต้องเดือดร้อนคนอื่นๆ มาช่วยกันดูแลอีก บางทีทำงานไปก็จะหาวไป เรียกว่าเธอมีอาการง่วงเหงาหาวนอนแทบจะตลอดเวลา บางครั้งนั่งกินข้าวอยู่ดีๆ ก็หลับไปซะอย่างนั้น ไปลงแปลงนาก็ไปได้บ้างไม่ได้บ้าง ทำให้ชื่อเสียงเรื่องความขี้เกียจของเธอดังกระฉ่อนไปหลายคอมมูน และนั่นก็ทำให้ผู้เป็นพ่อมีอคติกับเธอ เพราะทำให้เขาขายขี้หน้า
ลำธารเช้านี้น้ำค่อนข้างเย็นเพราะเมื่อคืนฝนตกหนัก โขดหินซึ่งโดยมากแล้วจะมีตะไคร่น้ำเกาะจึงลื่น หยางฟางหรงก้มลงไปใช้ถังไม้ตักน้ำขึ้นมาเพื่อซักผ้าให้เตียวลู่เฟิน ทันใดนั้นหญิงสาวเกิดอาการหน้ามืดตาลายขึ้นมาจึงหัวทิ่มหล่นลงไปในน้ำ แม้ว่าน้ำในลำธารจะไม่ลึกนัก ความลึกเพียงแค่ช่วงเข่าถึงช่วงอกเท่านั้น แต่เพราะหยางฟางหรงหมดสติเธอจึงมีสภาพไม่ต่างอะไรกับคนที่จมน้ำตาย
เนิ่นนานเพียงใดไม่อาจรู้ได้ หยางฟางหรงรู้สึกได้ว่าดวงวิญญาณของเธอนั้นถูกกระชากออกมาจากร่าง และถูกลมหอบใหญ่ราวกับพายุทอร์นาโดพัดหมุนวนเธอออกห่างจากร่างของเธอไปเรื่อยๆ สรรพสิ่งรอบกายมืดมิด หญิงสาวรู้สึกได้เพียงว่าตัวเองนั้นหมุนวนไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ
“ฟางหรง ฟางหรง เป็นอย่างไรบ้าง ตื่นสิตื่น เธออย่าเป็นอะไรไปนะ” ชายหนุ่มหน้าตาคมคายนายหนึ่งอุ้มร่างที่เปียกปอนของหยางฟางหรงขึ้นมาจากลำธาร เขาประคองร่างของเธอไว้ในลักษณะคล้ายโอบกอด พยายามเขย่าตัวเธอ ปากก็พร่ำเรียกให้หญิงสาวฟื้นคืนสติขึ้นมา ใบหน้าของเขามีแววตื่นตระหนก น้ำเสียงฟังแล้วยิ่งตระหนกเข้าไปใหญ่
“ฮั่นแน่! แอบทำอะไรกัน แบบนี้มันผิดผี ผิดผี” เสียงแหลมแสบแก้วหูร้องลั่นขึ้นเมื่อเห็นสองหนุ่มสาวที่อยู่ในท่าล่อแหลม หญิงคราวป้าร่างท้วมนามฉุนเยว่เผิงวิ่งออกไป ทั้งวิ่งทั้งแหกปากร้อง เป้าหมายของนางคือแปลงนารวม โดยที่มนุษย์ป้าผู้นี้ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าสภาพของหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มนั้นเป็นอย่างไร
“ผิดผี ผิดผี ฟางหรงกับอู๋เฉินผิดผีแน่ละคราวนี้ พี่น้องเอ๊ย มาดูคนผิดผี พี่น้องเอ๊ย ในคอมมูนของเรามีคนทำผิดผีอีกแล้ว”