ตำหนักอ๋องหนานกงชิง
บุรุษหน้านิ่งเจ้าของตำหนัก นั่งทำงานอยู่เงียบๆ ในห้องทรงงานส่วนพระองค์ มีองครักษ์คนสนิทยืนอยู่ข้างกายคอยถวายงาน และคอยช่วยฝนหมึกให้อยู่เป็นประจำ
“ฟานจง เรื่องนักฆ่าที่มาดักทำร้ายโจวลี่เซียนในวันนั้น ได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติมบ้างหรือยัง”
“ขอรับท่านอ๋อง เมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ที่แล้ว ในท้องพระโรงมีประชุมขุนนางตำแหน่งสูงๆ หนึ่งในหัวข้อการประชุมที่ฝ่าบาทได้กล่าวกับบรรดาขุนนางคือเรื่อง พระชายาเอกขององค์ชายใหญ่หนานหลิงหยุน”
“แล้วเรื่องชายาเอกขององค์ชายใหญ่ เกี่ยวอันใดกับเรื่องที่มีคนส่งนักฆ่ามาทำร้ายโจวลี่เซียน”
อ๋องหนานวางพู่กันทรงงานในมือลง แล้วเงยหน้ามาตั้งใจฟังองครักษ์ข้างกาย รายงานในเรื่องที่เขากำลังให้ความสนใจ
“ฝ่าบาทกับฮองเฮา อยากให้คุณหนูโจวแต่งเข้าเป็นชายาเอกขององค์ชายใหญ่ขอรับ ปีนี้องค์ชายใหญ่ก็อายุ19ปีพอดี เป็นเวลาเหมาะสมที่จะมีพระชายาเอกแล้ว”
“ห๊ะ แล้วบิดาของนางยินยอมตอบรับไปแล้วหรือยัง”
น้ำเสียงร้อนรนเอ่ยถามออกไป แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังนึกแปลกใจ องครักษ์ฟานจงถึงกับเงยหน้าขึ้นมองท่านอ๋องหนานกงชิง ด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้
“ท่านอ๋อง ท่านเคยบอกว่าไม่ได้รู้สึกชอบพอคุณหนูโจว เหตุใดยามนี้จึงมีน้ำเสียงร้อนเช่นนี้ขอรับ หรือว่าความรู้สึกของท่านอ๋องได้เปลี่ยนไปแล้ว”
ฟานจงตัดสินใจเอ่ยถามออกไปตามตรง ในสิ่งที่เขากำลังนึกสงสัย
“ข้าไม่รู้ และข้าเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่า เหตุใดจึงรู้สึกร้อนใจเช่นนี้”
เป็นครั้งแรกที่อ๋องหนานกงชิง เอ่ยบอกเล่าความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง ออกมาให้องครักษ์คนสนิทรับรู้ วันที่ได้ยินว่าโจวลี่เซียนไม่ต้องการเขาแล้ว ทั้งยังเอ่ยปากให้จ้าวอิงเถาได้เกี้ยวพาเขาได้ตามสบาย จนอ๋องหนุ่มอดทนรับฟังต่อไม่ไหวจึงได้เปิดประตูออกไป ให้พวกนางรับรู้ว่าเขาได้ยินทุกประโยคที่ทั้งสองคนสนทนากัน
วันนั้นที่โรงน้ำชาจันทร์ฉาย ในจิตใจของบุรุษผู้เฉยชา รู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ได้พูดออกไปให้ใครได้ยินความในใจของเขา ที่แอบเก็บซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด
อีกทั้งวันนั้นที่จวนราชครู โจวลี่เซียนก็ได้ยอมรับออกมาตามตรงว่า ไม่ได้รู้สึกเฉกเช่นเดิมอีกแล้ว จิตใจของอ๋องหนานกงชิงก็ยิ่งอยู่ไม่เป็นสุข หาคำตอบให้ตนเองก็ไม่ได้ ภายในใจของเขาทั้งอึดอัด ทั้งบีบรัดแน่นที่หน้าอกทุกครั้ง เมื่อนึกถึงคำพูดตัดขาดของนาง
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ในทุกๆวันเขาจะออกไปจิบชาที่โรงน้ำชาจันทร์ฉาย เพราะคาดหวังจะได้พบหน้าโจวลี่เซียนที่นั่น และหาคำตอบในอาการที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่
แต่อ๋องหนาน ก็ไม่เคยได้พบเจอกับโจวลี่เซียนอีกเลย นับตั้งแต่วันที่เขาตั้งใจขี่ม้าตามไปส่งนางที่จวนราชครู และได้พบเจอนางกำลังถูกนักฆ่าดักทำร้าย
“ท่านอ๋อง ท่านรู้สึกเช่นนี้กับคุณหนูโจว มานานแล้วหรือยังขอรับ”
องครักษ์ฟานจง กำลังทำตัวเป็นที่ปรึกษาหัวใจ ให้กับเจ้านายของเขา บุรุษเย็นชาที่ไม่เคยให้ความสนใจในสตรีคนใดมาก่อนจวบจนอายุ30ปี จึงไม่แปลกที่อ๋องหนานจะไม่รับรู้ความรู้สึกของตนเอง
“ตั้งแต่พบโจวลี่เซียนที่โรงน้ำชาจันทร์ฉาย ในวันที่นางไม่สนใจข้า ทั้งยังยกข้าให้จ้าวอิงเถาง่ายๆได้อย่างไร นางมีสิทธิ์อันใดจึงกล้าทำเช่นนั้น”
น้ำเสียงน้อยใจเอ่ยออกมา จนฟานจงจับความรู้สึกได้อย่างชัดเจน และกำลังเข้าใจในอาการที่เจ้านายของเขากำลังเผชิญอยู่
“ท่านกำลังน้อยใจคุณหนูโจวอยู่หรือขอรับ”
“ใช่ นางยกข้าให้คนอื่นได้เช่นไร ทั้งๆที่ตนเองไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้นด้วยซ้ำ และนางก็คิดว่าข้าเป็นคนร้าย ทั้งๆที่ตัวข้าอุตส่าห์ตั้งใจขี่ม้าตามไปส่งที่จวน กลับมาคิดว่าข้าเป็นพวกเดียวกันกับคนร้ายเสียได้ มันน่าน้อยใจไหมเล่า”
ความในใจทุกอย่าง ได้พรั่งพรูออกมาจากปากของบุรุษน้ำแข็ง เมื่อมีคนรับฟังในความคิดของเขา และคอยสอบออกมาถามทีละประเด็น
“ท่านอ๋อง ท่านมีใจให้คุณหนูโจวแล้วขอรับ แต่ด้วยทิฐิที่สูงมาก จึงยังไม่กล้ายอมรับความจริงในยามนี้”
องครักษ์ฟานจง สรุปอาการให้เจ้านายของเขาฟังทันที เมื่อได้ฟังจากอาการทั้งหมด ที่ท่านอ๋องได้เอ่ยปากเล่าออกมาให้เขาฟังเป็นครั้งแรก
“ข้าน่ะหรือ มีใจให้โจวลี่เซียน”
น้ำเสียงตกใจเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา เขาน่ะหรือตกหลุมรักสตรีที่มีนิสัยร้ายกาจขนาดนั้น สตรีที่ตามตอแยเกี้ยวพาเขามานานกว่า3ปี
“ขอรับ ท่านอ๋องลองไปทบทวนอาการของตนเองดูอีกครั้ง แล้วท่านจะเห็นด้วยกับความคิดของกระหม่อม”
จวนราชครู
ราชครูโจวเยี่ยนเมื่อได้รับจดหมาย ที่มีลายมืออันแสนคุ้นเคย ก็รีบนำจดหมายออกมาเปิดอ่านทันที เมื่ออ่านข้อความในจดหมายจบลง ใบหน้าที่ยังคงรูปงาม ถึงแม้จะอยู่ในวัยที่ล่วงเลยมาจน 50ปีแล้ว ก็แย้มยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ
“พ่อบ้านจิ้งไปตามลี่เออร์มาพบข้าที่ห้องหนังสือ”
ราชครูโจวเยี่ยนเอ่ยปากบอกพ่อบ้านจิ้ง ที่ยืนอยู่คอยรับใช้เขาอยู่ภายในห้องหนังสือ เพราะต้องการแจ้วข่าวดีให้บุตรสาวรับรู้โดยเร็ว
“ขอรับนายท่าน”
ลี่เซียนรีบตามพ่อบ้านจิ้งไปที่ห้องหนังสือของจวน ตามที่บิดาได้บอกกล่าวมา ภายในใจของนางคาดหวังว่าจะได้ฟังข่าวดีจากทางไกล
มุมปากสวยแย้มยิ้มไปตลอดทาง เพราะจะได้ออกไปทำตามความต้องการของชีวิต และได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สงบสุขอีกทั้งยังมีคุณค่า ไม่ต้องทำตัวไร้แก่นสารไปวันๆเฉกเช่นที่ผ่านมา
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ สหายของบิดาซึ่งเป็นหมอเทวดาที่เก่งกาจ ส่งจดหมายตอบรับยินดีให้โจวลี่เซียน ไปกราบเป็นลูกศิษย์ของท่าน ตามที่นางได้ร้องขอไปว่า ขอรับการฝึกฝนทั้งวิชาแพทย์ และวรยุทธ์ขั้นสูง
“ท่านพ่อ ลูกดีใจเป็นอย่างยิ่ง และจะรีบออกเดินทางให้เร็วที่สุด จะได้กลับมาหาท่านพ่อ กับท่านแม่เร็วๆเจ้าค่ะ”
“อืม ลูกรักของพ่อ เจ้าจงตั้งใจศึกษาเล่าเรียนในสิ่งที่ต้องการให้เต็มที่ พ่อกับแม่ และพี่ชายของเจ้าจะอยู่ที่นี่รอคอยเจ้ากลับมา เพื่อจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง”
“ถ้าลูกคิดถึงพวกท่านมากๆจะลงจากเขา และมาเยี่ยมที่จวนปีละ1 ครั้งนะเจ้าคะ”
“ดีๆ พวกเราจะรอเจ้ากลับมาเยี่ยมที่จวน รีบไปเตรียมตัวเสียเถิดอีก3 วัน พ่อจะให้ผู้ติดตามของพ่อ ไปส่งถึงที่พักของอาจารย์เจ้า”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
สามวันต่อมา หน้าจวนราชครู มีราชครูโจวเยี่ยน โจวฮูหยิน โจวสืออี้ พ่อบ้านจิ้ง ถิงถิง เถียนเถียน ยืนรอส่งโจวลี่เซียนขึ้นรถม้า ด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์
การเดินทางในครั้งนี้ ลี่เซียนเดินทางไปพร้อมกับผู้ติดตามของบิดา จำนวนสองคนเท่านั้น รวมนางด้วยก็เดินทางกันสามคน เมื่อผู้ติดตามของบิดาส่งนางถึงที่พักของอาจารย์แล้ว ก็ต้องกลับมาที่จวนตระกูลโจวเช่นเดิม
เนื่องจากหมอเทวดารักความสงบเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องการให้มีผู้ติดตามของลี่เซียน ไปอยู่อาศัยร่วมด้วยแม้แต่คนเดียว เขาได้เขียนแจ้งมาอย่างชัดเจน ในจดหมายตอบรับที่ส่งมาที่จวนราชครู
หมอเทวดา ไท่จงเสียน อนุญาตให้โจวลี่เซียนไปอยู่ศึกษาวิชาแพทย์ และวรยุทธ์ขั้นสูงเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะที่นั่นมีสาวใช้ที่คอยดูแลความสะอาดของที่พัก และเรื่องอาหารการกินให้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องนำสาวใช้ส่วนตัวติดตามไปด้วยอีก
อีกทั้งยังต้องการฝึกฝนให้โจวลี่เซียน ทำทุกอย่างด้วยตนเอง และอยู่ให้ได้เมื่อไม่มีสาวใช้ข้างกาย คอยปรนนิบัติพัดวี เพราะนางไปในฐานะชาวยุทธ์ ที่ต้องการฝึกฝนวิชา ไม่ใช่ไปในฐานะคุณหนูในห้องหอ ที่ต้องการความสะดวกสบายเหมือนอาศัยอยู่ที่จวนของตนเอง
คล้อยหลังที่รถม้าของลี่เซียน ได้เคลื่อนตัวออกไปจากจวนราชครูแล้ว บุรุษท่าทางองอาจบนอาชาศึกสีดำ เหลียวมองตามรถม้าธรรมดาๆคันหนึ่งไปจนสุดสายตา แววตาของบุรุษเฉยชาสั่นระริก จิตใจของเขาล่องลอยตามรถม้าคันนั้นไป และเป็นอีกครั้งที่เขามาช้าเช่นนี้
“นานแค่ไหนข้าก็จะรอพบหน้าเจ้าอีกครั้ง”
เสียงพึมพำแผ่วเบา ล่องลอยไปตามสายลมที่พัดพาในวสันตฤดูนี้ สตรีในรถม้ามองเห็นเพียงอาชาศึกสีดำ ที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากจวนของนาง แต่ก็ไม่ได้สนใจมองว่าผู้ใดอยู่บนหลังม้า จิตใจของลี่เซียนมุ่งหน้าสู่เชิงเขาที่ห่างไกลซึ่งเป็นที่พักของอาจารย์คนใหม่เพียงเท่านั้น
‘ลาก่อนเมืองหลวง อีกไม่นานข้าจะกลับมา’