ตอนที่ 4 ช่วยฉันที

1246 Words
ตอนที่ 4 ช่วยฉันที  ผมเดินออกมาอย่างหงุดหงิด แต่ไม่น่าเชื่อว่าทางผ่านที่กลับออกมาจะต้องเดินผ่านตรงบริเวณที่ผมเจอเธอคนนั้นที่กำลังโวยวายอยู่ “อื้ออ… ปล่อยฉันนะคะ” เสียงโวยวายของเธอทำให้ผมสัมผัสได้ทันทีว่ากำลังมีเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ “น่า... ให้ผมไปส่งดีกว่า ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก” “ผู้หญิงเขาไม่อยากไปด้วยก็อย่าเซ้าซี้สิครับ” จริงๆ แล้วเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับผมหรอก แต่ทว่ารู้ตัวอีกทีตัวของผมก็ดันเข้าไปอยู่ในวงสนทนาของทั้งสองคนนั้นแล้วเรียบร้อย “แล้วคุณเป็นใคร?” หมอนั่นถามกลับมา สีหน้าดูก็รู้ว่าคงไม่พอใจกับการปรากฏตัวของแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างผมสักเท่าไหร่ แต่ทว่าผมไม่ได้ใส่ใจกับปฏิกิริยาของหมอนี่เลยแม้แต่น้อย บรรดาการ์ดที่เป็นลูกน้องของเอริคดูเหมือนจะเห็นเหตุการณ์ที่คล้ายว่าผมมีปัญหากับผู้ชายตรงหน้า เลยกรูเข้ามาเตรียมประชิดตัวของหมอนั่น จนผมต้องยกมือห้ามเหล่าลูกน้องของเอริคเอาไว้ก่อน ผมก็แค่...ไม่ชอบที่จะเป็นจุดสนใจในสถานที่แบบนี้ และในตอนนี้หมอนั่นก็เหมือนเริ่มรู้ตัวว่าการ์ดเป็นคนของผม เลยทำให้ออกอาการเจียมตัวขึ้นมากะทันหันว่าผมไม่ใช่คนที่เขาควรจะมามีเรื่องด้วยเท่าไหร่ หมอนั้นเลยเริ่มมีอาการอึกอักขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “นี่คุณ…” คนที่หวังจะเคลมหญิงสาวตัวเล็กที่กำลังเมามายพูดขึ้นก่อนที่จะปล่อยให้คำพูดหายเข้าไปในลำคอ ผมไม่ได้ตอบอะไรเขาเพียงแค่มองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ก็แค่พวกที่มาเพื่อหวังหาเศษหาเลยจากหญิงสาว เขาคิด “ทางที่ดี ผมว่าคุณควรจะปล่อยเธอไปดีกว่า ก่อนที่ผมจะแจ้งตำรวจ” ผมกล่าวออกมา ก่อนจะเดินเข้าขยับเข้าไปใกล้หมอนั่นจนหมอนั่นหน้าเสีย ในส่วนของอันนาตอนนี้ รู้สึกเหมือนว่าตัวเองทั้งเมาทั้งมึน รู้สึกว่าหัวมันหนักอึ้งไปหมดจนไม่สามารถรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวอะไรได้เลย หญิงสาวร่างบางฟุบหน้าลงโต๊ะ ปล่อยให้การสนทนาระหว่างชายหนุ่มทั้งสองนั้นดำเนินต่อไป -Talk อันนา - สิ่งเดียวที่อยู่ในห้วงจิตสำนึกของฉันในตอนนี้ก็คือ คืออยากจะเอาตัวเองออกมาให้ห่างจากมาร์ค ชายหนุ่มผู้ที่เพิ่งมาทำความรู้จักก่อนหน้านี้ “อืออ… จับมือฉันทีค่ะ” ฉันพยายามรวบรวมสติทั้งหมดที่มีพูดออกไปแล้วควานมือไปทางเขา ในสายตาของฉันมันทั้งพร่ามัวแถมหัวก็มึนทำให้ฉันไม่รู้เลยว่าพวกเขากำลังทำหน้าแบบไหนหรือทำอะไรกันอยู่ ช่วยฉันทีนะ ฉันพยายามส่งสายตาเป็นสัญญาณให้กับอีกฝ่าย ท่ามกลางแสงไฟสลัว ก่อนที่คนร่างสูงผู้มาใหม่ในวงสนทนาคนนั้นจะรีบเอื้อมมือมาจับแขนของฉันเอาไว้ ก่อนที่สติของฉันจะเริ่มเลือนรางหายไป อย่างๆ น้อยๆ สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้ได้ทันทีในตอนนี้ก็คือ ฉันเองก็ไม่ได้ดวงกุดโชคร้ายขนาดนั้น คิดว่าจะโดนไอ้หมอนี่เอาไปทำมิดีมิร้ายที่แล้วซะอีก วูบ… ตาของฉันมันกำลังลืมตาอยู่ก็จริง แต่ว่าตอนนี้กลับมองไม่ค่อยเห็นอะไรแล้ว แย่จริง ฉันปล่อยให้ตัวเองเมาขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย… ท่ามกลางความมืดสลัว ทุกอย่างรอบกายที่ฉันมองเห็นดูราวไม่มีอะไรเป็นรูปร่างสักอย่าง เหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในมิติไหนซักที่ “เดินไหวไหมครับ?” จู่ๆ ฉันก็ได้ยินเสียงทุ้มแทรกเข้ามา ขณะที่สติของฉันมันยังไม่มีท่าทีจะคืนกลับมาแต่ทว่าฉันยังสามารถรับรู้ว่ารอบตัวมันน่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง “ห้ะ… นี่ฉันอยู่ที่ไหน...?” ฉันถามใครบางคนที่น่าจะเป็นคนเข้ามาช่วยให้ฉันรอดจากไอ้หมอนั่น ในขณะที่ร่างกายยังคงไม่สามารถต้านทานต่อแรงโน้มถ่วงของโลกได้ ตาของฉันพยายามปรือขึ้นมาดูอีกทีก็พบว่า ที่นี่ไม่ใช่ด้านในของผับอีกแล้ว นี่ฉันเมาไม่ได้สติขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย นึกหงุดหงิดตัวเอง ถึงขนาดถูกเขาหิ้วออกมา ฉันยังไม่รู้ตัวเลย ยัยอันนาเอ๊ย ไม่ไหวเลยจริงๆ “อยู่ที่…ครับ... คุณ…” อีกฝ่ายตอบคำถามกลับมา ก่อนที่จะพูดอะไรต่ออีก แต่ฉันกลับไม่สามารถได้ยินซะอย่างนั้น เพราะหูมันอื้อขึ้นมา ส่งผลทำให้ได้ยินอีกฝ่ายพูดเพียงคำบางคำ แต่ว่านั่นกลับไม่ใช่ประเด็นหลัก "เพื่อนฉันอยู่ไหนเหรอคะ?" ฉันพยายามดันตัวเองที่มันรู้สึกตัวหนักอึ้งขึ้นมาทุกทีถามเขา ใบหน้าของชายที่อยู่ตรงหน้าเลือนรางมาก จนดูไม่ออกเลยว่าหน้าตาของอีกฝ่ายเป็นยังไง เขาเหมือนอ้าปากพูดอะไรบางอย่างกลับมาแต่ว่าตอนนี้ฉันกลับไม่ได้ยิน ดังนั้นฉันเลยพยายามที่จะกะพริบตาถี่ทั้งขยี้ตาแล้วก็เพ่งดูแล้วเพื่อจะให้สายตามันปรับโฟกัส ทว่ามันกลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย ตอนนี้ทั้งหูตาและประสาทการรับรู้ต่าง ๆ ทั้งห้าของร่างกายฉันมันกำลังทรยศตัวเองเป็นอย่างมาก "...ไหมครับ?" คนตรงหน้ายื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะถามอะไรมาสักอย่างอีกครั้ง ฉันที่รู้สึกไม่อยากจะเป็นภาระของใคร แล้วก็อยากจะกลับบ้านมาก จึงพยักหน้าแล้วตอบกลับไป "ค่ะ" ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ แต่ตอนนี้ฉันเกลียดตัวเองตอนเมามาก ฉันตอบตกลงเขาไปโดยที่รู้เรื่องด้วยซ้ำ มันเป็นสิ่งที่ฉันตอนมีสติไม่มีวันจะทำ ฟุ่บ! หัวสมองของฉันยังคงไม่ประมวลผลอะไรอยู่แบบนั้น จนกระทั่งร่างกายรู้สึกถึงความนุ่มที่โอบอุ้มตัวของฉันเอาไว้ สัมผัสที่สบายตัวจนอยากจะอยู่แบบนี้ไปอีกนาน ๆ ดวงตาของฉันลืมขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตอนนี้ตัวเองได้มานอนอยู่ในห้อง ห้องเป็นหนึ่งสีครีมขาว ที่หน้าต่างมีม่านขนาดใหญ่เปิดอยู่เผยให้เห็นทิวทัศน์ของท้องฟ้าในตอนกลางคืน จิตใต้สำนึกของฉันรู้ขึ้นมาทันทีเลยว่า นี่ไม่ใช่ห้องของฉันหรือห้องของยัยไอด้าแน่ ๆ เพราะที่หน้าต่างนั่นดูจะเป็นวิวจากตึกสูงจากสักแห่งในเมืองมากกว่า ถึงตอนนี้อาการเวียนหัวมันจะดีขึ้นมามากแล้ว แต่ว่าความง่วงงันกลับเข้ามาแทนที่อย่างจังเสียแทน อย่างยากที่จะปฏิเสธ ก่อนที่ฉันจะยอมแพ้ให้กับอาการต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้าเล่นงาน ฉันก็พยายามจะบอกอีกฝ่ายไป “กลับ…” และแล้วฉันก็ไม่อาจต้านทานต่อความง่วงงันที่เข้าครอบงำได้ ดวงตาของฉันปิดลงพร้อมกับสติการรับรู้ที่เลือนรางลงเต็มที "คุณ? คุณครับ?" "..."
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD