บทที่ 3

1318 Words
เวลายังคงหมุนเวียนต่อไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนเคลื่อนคล้อยไปเป็นปี จนในที่สุดก็เข้าสู่ปีที่ห้าที่เด็กหญิงมุกดา สุธาโชค ได้เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในบ้าน            เด็กสาวเพิ่งฉลองวันเกิดไปเมื่อไม่กี่วันก่อน และวันนี้ก็ถึงคราวที่บ้านหลังใหญ่ต้องปิดบ้านจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดให้กับอีกคนที่เกิดหลังเธอเพียงแค่ไม่กี่วัน ต่างกันก็แต่คนละปีเท่านั้น            “โห นี่มันรถบังคับวิทยุที่พี่ธัญญ์อยากได้แต่คุณแม่ไม่ยอมซื้อให้นี่ อย่าบอกนะว่ามุกยอมทุบกระปุกออมสินของตัวไปซื้อมาให้พี่ธัญญ์น่ะ”   ความเงียบของเพื่อนรักถือได้ว่าเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด มิน่าเล่าพอเธอชวนไปซื้อขนมด้วยทีไรอีกฝ่ายก็มักจะบอกปัดทุกที ที่แท้ ก็เพื่อจะเก็บเงินค่าขนมเอาไว้ซื้อของขวัญให้พี่ธัญญ์นี่เอง            “น้องอุตส่าห์เอาเงินเก็บไปซื้อมาให้ รับไว้สิตาธัญญ์” คนถูกแม่ดุลอบถอนหายใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมก้าวขาออกมาข้างหน้าเพื่อรับของขวัญจากกาฝากของบ้าน            “ขอบคุณ” สั้น ๆ แต่ได้ใจคนฟังไม่น้อย แค่เขายอมรับของขวัญที่อุตส่าห์อดขนมเก็บหอมรอมริบมาทั้งเดือนก็นับว่าดีมากแล้ว เด็กน้อยไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเขาจะเอ่ยคำขอบคุณให้เป็นรางวัล            ในขณะที่คนให้กำลังอมยิ้มอย่างมีความสุขอยู่นั้นเจ้าของวันเกิดกลับยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับ หากไม่ใช่เพราะแม่สั่งอย่าหวังเลยว่าเขาจะยอมทำอะไรแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ของขวัญนี่แพงจะตาย มิน่าล่ะตอนอยู่ที่โรงเรียนถึงไม่เห็นหล่อนไปเข้าแถวซื้อขนมเหมือนเด็กคนอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่แม่เขาก็ให้ค่าขนมเป็นรายอาทิตย์ตลอด ความสนิทสนมที่มีมาตั้งแต่เด็ก ๆ ทำให้มุกดากับทิวากลายมาเป็นเพื่อนรักกันในที่สุด เพราะอายุห่างกันไม่กี่เดือนเลยทำให้ทั้งสองเข้าเรียนด้วยกันมาโดยตลอด ก่อนจะถูกแยกในช่วงมัธยมปลายเมื่อมุกดาสอบติดห้องวิทย์ ในขณะที่ทิวานั้นสอบติดห้องภาษา แต่ถึงจะถูกแยกจากกันความเป็นเพื่อนของทั้งสองนั้นก็ยังคงอยู่ และดูเหมือนจะยิ่งแนบแน่นมากขึ้นด้วย            “มุกได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนรำเปิดงานกีฬาสีประจำปีด้วยนะคะแม่ งานนี้มีหวังมีหนุ่ม ๆ ได้ตามจีบเป็นพรวนแน่ น่าอิจฉาจัง อยากมีโมเมนต์มีผู้ชายห้อมล้อมบ้าง” คนที่มักจะสร้างสีสันในบ้านด้วยคำพูดติดตลกเอ่ยขึ้น ขณะที่กำลังนั่งรับประทานอาหารเช้ากันอยู่            “น้อย ๆ เถอะเรา เป็นเด็กเป็นเล็กริอาจพูดเรื่องผู้ชายในบ้าน ระวังเถอะเรื่องจะไปถึงหูพ่อเราเข้า” เป็นญาดาที่เอ็ดขึ้น ด้วยพอจะรู้ดีกว่าใครว่าสามีหวงลูกสาวมากถึงขั้นจะส่งไปโรงเรียนหญิงล้วน โชคดีที่นางห้ามเอาไว้ได้ทัน เพราะไม่อยากขีดจำกัดชีวิตของลูก            “แม่ก็อย่าเสียงดังไปสิคะ พ่อไปทำงานตั้งไกลไม่มีทางรู้หรอก” ต่อให้รู้พ่อก็ไม่โกรธ เพราะเธอคือลูกสาวคนโปรดที่พ่อรักที่สุด            “แน่ะ เด็กคนนี้ ดูพูดเข้า” ท่าทีต่อล้อต่อเถียงกันระหว่างสองแม่ลูกยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ โดยมีมุกดาเป็นกรรมการคอยห้ามทัพ      แต่ถึงจะพูดแบบนี้เธอก็ทำได้แค่นั่งฟังทั้งสองคนเถียงกันอยู่ดี          หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จมุกดาก็ขอตัวออกมาเดินเล่นเพื่อย่อยอาหาร ส่วนทิวากับป้าก็พากันหายเข้าไปในห้องหนังสือ เลยทำให้บ้านทั้งหลังดูเงียบสงบเมื่อคนทั้งคู่ไม่อยู่เถียงกันให้ได้ยิน            “โอ๊ย!” กระทั่งเมื่อเดินมาถึงมุมหนึ่งของบ้านเธอก็ถูกใครบางคนขัดขาเข้าอย่างจัง ทำให้ล้มกลิ้งลงไปกองกับพื้นอย่างน่าอนาถ            “โง่! ทำไมไม่หลบ” เขาทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะพาตัวเองเดินจากไปอย่างไม่ไยดี ส่วนเธอก็เจ็บที่ข้อเท้าจนลุกไม่ขึ้น กว่าจะมีใครสักคนบังเอิญมาเห็นข้อเท้าของเธอก็บวมช้ำอย่างน่ากลัวเข้าไปแล้ว            ผลจากเรื่องวันนั้นทำให้มุกดาขาพลิกจนต้องปฏิเสธการเป็นตัวแทนขึ้นรำ  ทุกคนในบ้านต่างเสียดายที่เธอพลาดโอกาสดี ๆ นี้ไป          หลายปีต่อมา            ร่างสูงใหญ่ของธัญญ์ในวัยหนุ่มลุกพรวดขึ้นทันทีที่ได้ยินคำขอร้องของมารดา มิน่าเล่า ท่านถึงไม่ยอมบอกว่าเรียกตัวเขากลับมาด้วยเรื่องอะไร บอกแต่เพียงว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกันต่อหน้าเท่านั้น ท่านคงรู้อยู่แล้วว่าถ้าเขารู้ว่าเป็นเรื่องบ้า ๆ นี่เขาคงไม่มา            “ผมไม่แต่ง แม่จะมาบังคับผมไม่ได้” ไม่มีวันที่เขาจะยอมทำตามคำขอร้องนี้ ต่อให้มันจะมาจากมารดาผู้ให้กำเนิดก็เถอะ “แกสัญญากับแม่แล้วว่าจะดูแลน้อง” ใช่ เขาจำคำพูดของตัวเองได้ทุกคำ แต่นั่นมันก็ไม่ได้แปลว่าต้องดูแลยัยซื่อบื้อนั่นในฐานะ เมียไม่ใช่หรือไง ยังมีอีกหลายวิธีที่เขาจะทำตามที่รับปากแม่ได้ แต่ต้องไม่ใช่การแต่งงาน            “แต่ผมไม่เคยบอกว่าจะแต่งงานกับเขา อีกอย่างน้องสาวของผมมีแค่ยัยทิวาคนเดียว คนอื่นไม่ใช่!” คำตอบนั้นส่งผลตรงต่อใจคนที่บังเอิญเดินเข้ามาสู่บทสนทนาโดยไม่ได้ตั้งใจไม่น้อย หากจะถอยหลังกลับก็ไม่ทันแล้วเมื่อทั้งคู่ต่างหันมาเห็นการมาของเธอเข้าพอดี            “ทำไมต้องให้ผมแต่งงานกับเขาด้วย ไม่มีวิธีอื่นที่เราจะตอบแทนบุญคุณแล้วเหรอครับ” เขาไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพราะมีคนรักอยู่แล้ว อีกอย่างเขาไม่เคยพิศวาสอะไรยัยเด็กกาฝากนี่            ตั้งแต่เด็กจนโตพ่อกับแม่มักจะพูดแต่เรื่องบุญคุณ โดยไม่สนเลยว่าการที่ท่านหันไปเอาใจใส่เด็กคนอื่นมันจะทำให้เขารู้สึกยังไง            “แม่เลือกวิธีนี้เพราะเห็นว่ามันดีที่สุดแล้ว ถ้าไม่ได้ลุงเมธีป่านนี้เราทุกคนคงเสียพ่อไปแล้ว แกลืมไปแล้วหรือไง” เขาไม่เคยลืมถึงสิ่งที่พ่อของหล่อนทำไว้ ซ้ำยังรู้สึกซาบซึ้งทุกครั้งที่คิดถึงความเสียสละในครั้งนั้นของท่าน แต่ที่ต้องปฏิเสธเพราะเขามองไม่เห็นว่าการที่เขากับมุกดาแต่งงานกันมันจะเป็นการทดแทนบุญคุณตรงไหน            คนสองคนไม่ได้รักกันจะอยู่ด้วยกันไปได้สักกี่น้ำ นั่นมิใช่หรือคือสิ่งที่แม่ควรต้องคิดให้ดี อย่างน้อยท่านก็ควรคิดถึงยัยนั่นให้มาก ๆ            “ผมต้องชดใช้ให้เขาไปจนวันตายเลยไหมมันถึงจะสาสม” เขาถามมารดาก็จริง แต่สายตากลับหยุดอยู่ที่ตัวต้นเหตุอย่างเอาเรื่อง            “เมื่อไรแม่จะเลิกยัดเยียดเขาให้ผมสักที เมื่อไรแม่จะเข้าใจว่าคนที่ผมรักคือแข ถ้าไม่ใช่แขแม่ก็อย่าหวังว่าผมจะแต่งกับใครหน้าไหนทั้งนั้น เพราะผมไม่แต่ง ไม่มีวันแต่ง” ธัญญ์ทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะพาตัวเองเดินออกไปจากห้องท่ามกลางเสียงร้องตะโกนเรียกของมารดาที่ดังก้องไปทั่วบ้าน แต่เขากลับไม่คิดที่จะหันกลับไปมอง “ตาธัญญ์! กลับมาเดี๋ยวนี้นะ ตาธัญญ์!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD