บทที่ 3 สัมผัสอัศจรรย์ของข้า

1303 Words
            ฟ่านหลี่เจี๋ยมองดูภิกษุชราด้วยความคลางแคลงใจ “เหตุใดต้องเป็นข้าเล่า? ข้ามิได้เป็นฮ่องเต้หรือเชื้อพระวงศ์สักหน่อย”             “เพราะเจ้าคือผู้ที่เกิดในวันสมโภชเมือง ยามจื่อซึ่งเป็นฤกษ์มงคล ในตระกูลที่เป็นผู้ร่วมสร้างเจดีย์ที่วัดหยกสวรรค์ซึ่งถือเป็นหลักชัยของแคว้น” ชายชราควักเอาสร้อยคอที่มีหยกสีดำสลักลายยื่นให้เขา “จงใส่สร้อยนี้ไว้ตลอดเวลาจนกว่าอาตมาจะมารับคืน สิ่งนี้จะช่วยคุ้มภัยให้เจ้าได้”                         คุณชายใหญ่ฟ่านตื่นแต่เช้าตรู่ เมื่อคืนช่างฝันประหลาดนัก และฝันเหมือนจริงจนน่าแปลกใจ เขาลุกขึ้นพับผ้าห่มไว้ปลายเตียง บ่าวข้างนอกได้ยินเสียงฝีเท้าก็รีบเข้ามาจัดแจงน้ำอุ่นสำหรับอาบน้ำให้เจ้านาย             ขณะกำลังจะถอดเสื้อนอน พลันฟ่านหลี่เจี๋ยแตะไปโดนสร้อยหยกที่คอ พอหยิบขึ้นมาดูยิ่งตกใจ ทั้งแบบและลวดลายที่เห็นในความฝัน ยามนี้ห้อยอยู่ที่คอเขา             “เอ๊ะ! นี่มัน....” เขาทำหน้าเลิกลั่กจนบ่าวตกใจ ‘นี่มิใช่ฝันธรรมดาแล้วกระมัง? คงจะต้องไปหาอาจารย์แล้ว’             ตั้งแต่เยาว์วัยจนจบการศึกษาจากสถาบันเค่อเฉิงเขาจะมีชื่อติดบนกระดานในฐานะผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งมาโดยตลอด แม้จะเป็นที่รู้กันว่าฟ่านหลี่เจี๋ยมิได้เก่งกาจในเรื่องวรยุทธ์แต่กลับมีความสามารถในการขี่ม้าและยิงธนูโดดเด่นยิ่ง เขามิได้เป็นบัณฑิตที่กระทำตัวเซ่อซ่า หากแต่เป็นเพียงผู้ไม่สนโลกผู้หนึ่ง ไม่ว่าผู้ใดจะนินทา ด่าทอ หรือทำร้ายใคร เขาจะไม่ขัดขวางหรือต่อต้าน ตราบใดที่คนเหล่านั้นไม่มาวุ่นวายถึงตัวเขา ฉายาเสาหิน จึงถูกในแทนตัวเขามายาวนาน จนกระทั่งอยู่ในฐานะขุนนาง             สถาบันเค่อเฉิงในแคว้นหมิงมีให้เพียงบรรดาคุณชายสูงศักดิ์และบุตรคหบดีได้ร่ำเรียน เพราะค่าบำรุงการศึกษานั้นนับว่าสูงเกินกว่ามาตรฐานที่ชาวเมืองทั่วไปจะสามารถจ่ายได้ ส่วนสตรียังคงนิยมร่ำเรียนอยู่ในเรือนโดยการว่าจ้างอาจารย์เข้าไปสอนเป็นการเฉพาะ ผู้ที่จบจากสถาบันเค่อเฉิงย่อมมีโอกาสในการสอบแข่งขันเพื่อเป็นขุนนางมากกว่าบุคคลทั่วไปที่ร่ำเรียนจากหัวเมืองหรือชานเมือง             อาจารย์ใหญ่ของเค่อเฉิง เป็นชายชรารูปร่างสูงใหญ่มีเคราสีเทายาว มักจะสวมใส่ชุดขาวปักลายก้อนเมฆ ถือไม้เท้าอันใหญ่ ท่านเป็นผู้ที่มีภูมิรู้สูงส่ง เคยเป็นหนึ่งในพระอาจารย์ของฮ่องเต้หมิงที่ขอปลดระวางจากในวังออกมาดูแลการศึกษาของ   องค์ชายและคุณชายจากตระกูลใหญ่ต่างๆ  ลือกันว่า ในอดีตท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดดังที่มีวิชาหมัดมวยเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่ท่านกลับมิเคยยืนยันเรื่องนี้             “ท่านอาจารย์ขอรับ โปรดให้คำแนะนำข้าด้วย”             หวังต้าจิ้งเห็นหยกที่คอของศิษย์รักก็มีอาการมือสั่น “หยกชิ้นนี้ เจ้ามิได้มาคนรู้จักแน่นะ”             “ขอรับ ข้าได้จากภิกษุชราในฝันจริงๆ” น้ำเสียงและใบหน้าที่ดูทื่อและซื่อของศิษย์ผู้นี้ อาจารย์ใหญ่ดูออกว่า เขาพูดความจริง             ท่านอาจารย์หวังหยิบหนังสือปกสีดำที่ซ่อนไว้ล่างสุดของลิ้นชักตู้ด้านหลังโต๊ะทำงานออกมา ไล่นิ้วไปตามสารบัญ เปิดไปหน้าที่ต้องการแล้วส่งให้ศิษย์รักได้ดู             “หยกสวรรค์ ส่วนหยิน” ชายหนุ่มมองภาพแล้วอุทานออกมา             “ใช่ นี่คือ หยกที่กล่าวกันว่าถูกเก็บรักษาไว้ในเจดีย์วัดหยกสวรรค์ที่ถูกปิดตายไร้ทางเข้า มีทั้งส่วนหยินสีดำและหยางสีขาว พลังหยินคือพลังสตรี ส่วนพลังหยางคือพลังแห่งบุรุษ ตามที่ข้าได้ยินได้ฟัง หากได้ครอบครองหยกหยินหมายถึง เจ้าต้องให้พลังสตรีเป็นผู้ปกป้อง”             ฟ่านหลี่เจี๋ยยิ่งมึนนักเข้าไปอีก เขามิเคยสร้างศัตรู สู้อุตส่าห์ดำรงตนอย่างเงียบเชียบไม่ชิงดีกับผู้ใด เขาไม่ออกตัวอวดอ้างความเก่งกาจ ยังต้องหาผู้มาปกป้องอีกหรือ?             “ต้องให้สตรีเป็นผู้ปกป้องเท่านั้นหรือขอรับ?”             “ตามตำนานกล่าวไว้เช่นนั้น”             “หือ!” ฟ่านหลี่เจี๋ยพลิกหน้ากระดาษไปมาก็ไม่เห็นมีเขียนรายละเอียดไว้มากกว่าที่ท่านอาจารย์อธิบาย             “ก็บอกแล้วว่า ตำนาน ก็เป็นแค่เรื่องเล่าอย่างไรเล่า? หากมีเขียนไว้ข้าก็บอกเจ้าว่ามีบันทึกในตำราสิ”             “อ้อ....” ฟ่านหลี่เจี๋ยพยักหน้ารับ ‘คงต้องไปหาตำราที่ตรอกคนโฉดอีกแล้วกระมัง’             นับจากฝันประหลาดในคืนนั้น เขาก็เริ่มเห็นสิ่งอัศจรรย์ คืนก่อนเขาไปภัตตาคารบึงหงส์กับจินวั่งซู เมื่อนั่งลงโต๊ะริมน้ำ มีแมลงบินมาชนตาเขาเข้า ครั้นหลับตากลับเห็นภาพและได้ยินเสียงขุนนางกรมกลาโหมร่ำสุราและพูดคุยเรื่องกองทัพพยัคฆ์เหิน พอสอบถามเสี่ยวเอ้อก็พบว่า คนกลุ่มนั้นเพิ่งมานั่งโต๊ะเดียวกันกับเขาเมื่อวานนี้ ฟ่านหลี่เจี๋ยใช้ความสามารถในการทำหน้าตายของเขาสืบข่าวจนรู้ว่า กลุ่มขุนนางนั้นมาคุยเรื่องที่เขาได้ยินจริงๆ             ครั้งที่สองฟ่านหลี่เจี๋ยไปยืนรอเข้าประชุมยามเช้ากับฮ่องเต้ ระหว่างยืนรออยู่เสาหน้าอาคาร เขาเผลอพิงหลังเพราะรู้สึกเพลียจากการประพันธ์หนังสือในยามค่ำคืน พอหลับตาก็มองเห็นและได้ยินเสียงเสนาบดีฝ่ายขวากับผู้ช่วยของเขากำลังคุยกันเกี่ยวกับการโยกย้ายข้าราชการทหารระดับนายกองหลายราย ต่อมาเมื่อบัญชีรายชื่อผู้โยกย้ายออกมาก็พบว่าสิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยินในวันนั้นเกิดขึ้นจริงๆ           และแล้วก็มีครั้งที่สาม...ครั้งที่สี่...ห้าและหกตามมา จนกระทั่งฟ่านหลี่เจี๋ยแน่ใจแล้วว่า เขามีสัมผัสอันอัศจรรย์  เขาแอบเข้าไปตรอกคนโฉดเพื่อตามซื้อตำราที่ต้องการพบว่ามีแผงหนังสือมาเปิดใหม่ เถ้าแก่ตาเดียวเจ้าของแผงหนังสือใต้ดินกำลังทะเลาะกับเถ้าแก่สามตาที่มาเปิดแผงหนังสือหายากขายอยู่ฝั่งตรงข้าม และที่แผงใหม่นี้เขาซื้อหนังสือเก่ามาเล่มหนึ่ง ในตำรา ‘ตำนานเก่าแก่ของแคว้นหมิง ประพันธ์โดย เจ้าสำนักหมื่นตำรา’ ได้กล่าวถึงผู้ที่ครอบครองหยกสวรรค์ฝ่ายหยินไว้ว่า อาจจะได้สัมผัสกับพลังเหนือธรรมชาติบางอย่าง แต่ระบุไม่ได้ว่าจะเป็นเช่นใด เพราะที่ผ่านมาไม่มีผู้ยอมเปิดเผย ฟ่านหลี่เจี๋ยพอจะเข้าใจแล้วว่า เหตุใดจึงเปิดเผยไม่ได้ “หลี่เจี๋ยเจ้ามีสิ่งใดจะเล่าให้ข้าฟังหรือไม่?” จินวั่งซูสังเกตเห็นฟ่านหลี่เจี๋ยคอยให้เขาไปสืบความซอกแซกเรื่องผู้คนจำนวนมากในช่วงเดือนที่ผ่านมาจึงนึกสงสัย แต่ถามเมื่อใดสหายหน้าตายของเขาก็เอาแต่ปฏิเสธ ฟ่านหลี่เจี๋ยได้แต่มองจินวั่งซูด้วยสายตาว่างเปล่า เพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตนเองรู้สมควรจะเล่าให้ผู้ใดฟังหรือไม่? “ข้าแค่มีสิ่งที่สงสัย แต่ยังไม่มีข้อสรุปเท่านั้นเอง” “เจ้าสงสัยสิ่งใด?” “สงสัยในชะตาของแคว้นหมิง” จินวั่งซูถึงกับตบพัดพรึ่บ “หา! เจ้าจะสงสัยชะตาเมืองไปทำไมกัน? เจ้ามิใช่ฮ่องเต้เสียหน่อย” ชายหนุ่มเจ้าของพัดชะโงกเข้ามาพลางเอาพัดป้องปาก “อย่าบอกนะว่า เจ้าคิดจะกบฏ เช่นนั้นข้าคงไม่กล้าช่วย”  ****************
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD