ฟ่านหลี่เจี๋ยเร่งฝีเท้าเต็มที่ เย็นนี้เขาออกจากมาจากสำนักตรวจการช้า กว่าจะกลับเข้าจวนเพื่อหยิบหนังสือที่เขียนเสร็จแล้วบนโต๊ะออกมาก็ใกล้เวลาพลบค่ำ เขาใช้ผ้าสีดำห่อหนังสือสองเล่มแล้วเร่งรุดออกจากคฤหาสน์ไปทางบ่อนหวังร่ำรวย ตรอกข้างบ่อนการพนันนั้นเป็นที่รู้จักกันในนามตรอกคนโฉด ก่อนจะไปถึงเขาแวะในซอยเล็กๆ ที่มีบ้านหลังน้อยซ่อนอยู่ เปิดเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดบัณฑิตซ่อมซ่อ แล้วใช้ผ้าปิดหน้า
“เจ้ามาแล้วหรือ? ข้าถูกลูกค้าด่ามาห้าวันแล้ว เงินมัดจำก็รับเขามาแล้วจะคืนก็มิมีผู้ใดยอมรับได้กดดันให้ข้าไปเร่งเอาต้นฉบับมา”
คุณชายฟ่านหัวเราะแหะๆ “ข้าขออภัยจริงๆ ระยะนี้งานข้ายุ่งมาก กำหนดว่าจะเขียนให้จบเดือนนี้ก็เลยต้องเลื่อน”
ครั้งแรกที่เขาเอาหนังสือที่ประพันธ์ไว้มาขายต้นฉบับที่นี่ เพราะเกรงจะมีผู้จำได้จึงต้องแปลงโฉมสักเล็กน้อย เสื้อผ้าราคาถูกที่ขอมาจากบ่าวหลังจวนใส่แล้วทำให้คนไม่สนใจจะสังเกตเขานัก แต่เพื่อความมั่นใจเขาจึงใช้ผ้าคาดใบหน้าไว้โดยอ้างกับเถ้าแก่ตาเดียวว่า ตนมีแผลเป็นที่ใบหน้าอัปลักษณ์นักจึงมิอยากให้ผู้ใดได้เห็น
เถ้าแก่ตาเดียวเปิดอ่านต้นฉบับของเขาไม่เพียงสองตอนก็พออกพอใจ ขอซื้อทันที คราแรกเขาหวังเพียงให้มีผู้ได้อ่านผลงานตนเองจึงมิได้คิดเรื่องราคา แต่ต่อมาได้ยินใต้เท้าผู้หนึ่งบ่นเรื่องบุตรีของตนอ่านนิยายจนติดงอมแงมจึงรู้ว่าหนังสือที่ตนเขียนเป็นที่นิยมในหมู่นักอ่านในเมืองหลวง เมื่อสืบรู้ว่าต้นฉบับของเขาถูกเถ้าแก่เขาไปคัดลอกขายจำนวนนับร้อยเล่ม คำนวณราคาออกมาแล้วได้กำไรอักโข ฟ่านหลี่เจี๋ยจึงขึ้นราคาต้นฉบับเขาให้สมน้ำสมเนื้อ
“เอาเถิดๆ คราวหน้าข้าจะไม่รับปากลูกค้าส่งเดชอีกแล้ว รอให้เจ้าส่งต้นฉบับมาก่อนค่อยรับเงินมัดจำก็แล้วกัน” เถ้าแก่ตาเดียวมองหนังสือสองเล่มในมือแล้วทำตาโต “อ๊า! มีหนังสือภาพด้วย เช่นนั้นคงต้องเพิ่มเงินให้เจ้าอีกแล้ว ตกลงคราวนี้เจ้าจะเอาเท่าไหร่?”
“ข้าขอเป็นสองเท่าของครั้งก่อน”
เถ้าแก่ตาเดียวทำหน้าแหยงๆ “ไอ้หยา! นี่มิใช่เจ้าคิดจะปล้นข้าหรอกรึ?”
ฟ่านหลี่เจี๋ยหรี่ตา “ท่านไม่เอาก็ได้นะ ข้าจะไปขายให้เถ้าแก่สามตาก็แล้วกัน” เขาหันไปทางแผงหนังสือใหม่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องไปไม่ไกล
เถ้าแก่ตาเดียวสะดุ้งโหยง “ก็ได้ๆ ข้าตกลง” มือควานหาตั๋วแลกเงินปากก็บ่นพึมพำ “เป็นเพราะมันเทียว ค่าต้นฉบับแพงขึ้นทุกเล่ม”
เคราะห์ดีที่เถ้าแก่สามตามาเปิดแผงหนังสือใต้ดินเพิ่มขึ้นในตรอกคนโฉด เมื่อมีคู่แข่งทางการค้า เถ้าแก่ตาเดียวจึงต้องขึ้นราคาต้นฉบับให้นักเขียนทุกคนเพิ่มขึ้น มิฉะนั้นเขาก็ต้องสูญเสียต้นฉบับไปให้เถ้าแก่สามตาที่มีทั้งแผงหนังสือในตรอกนี้และเปิดร้านขายตำราขนาดย่อมอยู่หน้าตลาด
ความจริงนิยายที่เขาเขียนก็มิได้จำเป็นต้องมาขายในที่ลึกลับเช่นนี้ แต่เพราะค่าต้นฉบับที่แพงกว่าร้านตำราให้ อีกทั้งคนรุ่นใหม่ที่จะอ่านนิยายนั้นนิยมมาเดินซื้อหาสินค้าในตรอกคนโฉดที่มีสินค้ามากมายและหลากหลายประเภท แม้ในอดีตได้ชื่อว่าตรอกคนโฉดเพราะขายสิ่งของผิดกฎหมายหรือสิ่งของผิดศีลธรรม
“คืนก่อนข้าไปแวะกินเกี๊ยวน้ำที่ตรอกคนโฉด มีนักเลงสองคนมาต่อยตีกันหน้าแผงสุราหายาก ไม่ทันไร เถ้าแก่ขี้เมาเคาะหลังพวกเขาคนละทีเท่านั้นก็ร่วงไปกองที่พื้น จากนั้นก็ลากพวกเขาไปพิงไว้ที่กำแพง” จินวั่งซูเป็นผู้ที่ไปตรอกคนโฉดแทบจะทุกวัน
ฟ่านหลี่เจี๋ยจึงต้องคอยระมัดระวังไม่ออกมาขายต้นฉบับบทประพันธ์ในเวลาเดียวกับสหาย เขายังคงถือว่า ‘ความลับมิควรล่วงรู้เกินสองหู’ ทำให้การเป็นนักเขียนของเขาจึงยังคงเป็นความลับอยู่มาหลายปี
คุณชายฟ่านได้เงินแล้วก็ย้อนกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในบ้านเล็กในซอยถัดไปก่อนทำทีออกมาเดินซื้อข้าวของรอจินวั่งซู เมื่อหลายเดือนก่อนกิจการแรกของเขากับยอดนักธุรกิจอย่างจินวั่งซูเริ่มต้นขึ้นที่นี่
“ยุคของฮ่องเต้หมิงเฟยหลง นับว่าการค้าในแคว้นเราเริ่มคึกคักขึ้น เมื่อชาวบ้านมีเงินทองย่อมต้องการพื้นที่จับจ่ายใช้สอย” จินวั่งซูผู้มีหัวการค้า แม้ฟ่านหลี่เจี๋ยจะมองว่าเขาเป็นผู้ว่างงาน ทว่าจินวั่งซูกลับให้คำจำกัดความตัวเขาว่า ‘นักลงทุน’
“เจ้าคิดจะทำการค้าใดเพิ่มเล่า? ให้ข้าร่วมด้วยได้หรือไม่?”
“เจ้าอยากร่วมหุ้นกับข้าหรือ?”
“ใช่! ข้าก็อยากว่างงานและมีเงินใช้เช่นเดียวกับเจ้า” ฟ่านหลี่เจี๋ยพยักหน้า เขาเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งจากเงินเบี้ยหวัดและเงินค่าประพันธ์หนังสือ จินวั่งซูไปติดต่อบ่อนหวังร่ำรวยและร้านค้าแถวนั้นที่มิใช่ของตระกูลจินเพื่อสัมปทานพื้นที่ด้านหน้า
“ข้าจะเปิดให้เช่าพื้นที่ค้าขาย เราจะเป็นเจ้าตลาดรอเก็บค่าแผง ส่วนใดเป็นร้านของตระกูลข้าเราก็มิต้องจ่ายเงินให้เขา ส่วนนั้นจะประหยัดไปได้ เมื่อเราเก็บเงินค่าแผงได้ในแต่ละคืน หักส่วนที่ต้องจ่ายให้ร้านค้าแล้ว ที่เหลือเราค่อยเอามาแบ่งกันดีหรือไม่?”
ฟ่านหลี่เจี๋ยทึ่งในความฉลาดล้ำของสหาย “เจ้าเป็นคนไปเก็บค่าแผง ดังนั้นก็แบ่งส่วนค่าแรงการเก็บเงินไปให้เจ้า ข้าไม่อยากกินแรงเพื่อน”
เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป ผู้คนรุ่นใหม่ในแคว้นหมิงนิยมออกจากบ้านในยามค่ำคืนมากยิ่งขึ้น แผงขายของในตรอกนี้จึงเพิ่มจำนวนและมีสินค้าที่ถูกกฎหมายและแปลกใหม่เข้ามาปะปน สุดท้ายกลายเป็นตลาดที่ผู้คนนิยมมาซื้อหาสินค้า แผงสินค้าขยายเกินกว่าที่เขากับจินวั่งซูคาดการณ์ไว้ รายได้ของทั้งสองจึงมีเป็นกอบเป็นกำในเวลาอันรวดเร็ว
ระยะหลังมีหญิงสาวมากมายออกมาซื้อหาสินค้ายามค่ำคืน รวมทั้งมีอาหารการกินมาขายสำหรับลูกค้า ย่านนี้จึงกลายเป็นตลาดกลางคืนที่นิยมอย่างยิ่งของเมืองหมิง กล่าวกันว่า ‘ผู้ใดมาถึงเมืองหมิงแล้วมิได้มาเยือนตลาดคนโฉดก็นับว่ายังมาไม่ถึง’
“ข้าเจอสตรีสามสี่นางใส่ชุดแคว้นจินมาเที่ยวตรอกคนโฉดด้วย ครั้นสอบถามกลับพบว่า พวกนางรู้จักกับฉิงเอ๋อร์ของข้าเสียนี่” ตกกลางคืนจินวั่งซูจะคอยเดินสำรวจตรวจตราแผงการค้าในตรอกคนโฉด จึงมีข่าวสารมาเล่าสู่ฟ่านหลี่เจี๋ยฟังบ่อยๆ
“งานนี้เหมาะกับข้ามากที่สุด การเดินสำรวจแผงการค้าและเก็บเงินไปด้วยเหมาะกับคุณชายรูปงามซ้ำยังชาญฉลาดเช่นข้า เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”
“น่าเสียดายที่เราไม่รู้ว่า พื้นที่ตรอกคนโฉดนั้นเจ้าของคือผู้ใด?”
“นั่นสินะ ถามคนขายของในนั้นก็มิมีผู้ใดรู้ ล้วนบอกว่าจะมีรหัสลับในการเก็บค่าเช่าแผง และผู้มาเก็บมักจะมิใช่คนเดิม”
ฟ่านหลี่เจี๋ยกวาดตามองแต่ละแผงที่ล้วนจุดตะเกียงสว่างไสวเรียกลูกค้า สินค้าดั้งเดิมที่ผิดกฎหมายและใช้ทำความเลวนั้นยังคงมีขายอยู่ เพียงแต่ผู้ซื้อต้องรู้รหัสลับในการบอกผู้ขายจึงจะได้มา เขาใช้เวลานับเดือนในการลอบสังเกตการซื้อขายของผู้คนในตรอกคนโฉดโดยเน้นร้านที่ดูลึกลับ จึงพอจะรู้ว่าผู้ใดมาซื้อสินค้าชนิดดีและผู้ใดมาซื้อสินค้าชนิดเลว
คืนนี้น่าตกใจอย่างยิ่งที่เขาได้พบสตรีชุดแดงผู้นั้นที่นี่!
********************