บทที่ 7

1175 Words
“อัสรัสส์ เอาเจ้าเพกาซัสมาผูกอ่านให้เราด้วย” “ผูกอานเจ้าคิมีราให้เราด้วย เราจะขี่ม้าเล่นกับท่านพี่” องค์หญิงฟาติย่าได้หันไปสั่งอัสรัสส์บ้าง ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าวันนี้เชษฐาผู้หล่อเหลาทำอะไร เสด็จไปที่ไหน เธอก็จะตามไปด้วย จนกว่าจะได้คำตอบที่เฝ้าถามมานานหลายสิบนาทีแล้ว มกุฎราชกุมารฟารีสต์ทรงส่ายพระพักตร์อย่างระอากับการตื้อไม่เลิกของขนิษฐา พระองค์หยุดหันมามองใบหน้างดงาม ที่ยังคงตีหน้ามุ่ยไม่เลิก ก่อนจะลองตรัสหยั่งเชิง “ถ้าพี่เล่าให้ฟังแล้ว สัญญาว่าจะไม่ร้องโวยวาย ไปกระโจนไปเล่นงานคนที่ตกเป็นคู่กรณี” “สัญญาว่าจะไม่เอะอะโวยวาย” ผู้ที่อยากรู้เรื่องใจจะขาด รีบเอ่ยสัญญายิงสัญญาโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด และพอเชษฐากระโดดขึ้นบนหลังเจ้าเพกาซัส แล้วพาพ่อม้าสีดำสนิทคู่ใจกระโจนสู่ท้องทะเลทรายสีทอง ก็ไม่รอช้ารีบเหยียบโกลนม้า ดึงตัวขึ้นไปนั่งบนเจ้าคิมีรา กระแทกเท้าให้พ่อม้าแสนเชื่องให้ออกวิ่งไปหาเชษฐาของตนเอง “ท่านพี่...ติย่าสัญญาแล้วนะ เมื่อไรจะบอกน้องสักทีล่ะ” พอกระตุ้นม้าให้วิ่งมาควบคู่กับม้าของเชษฐาได้ องค์หญิงฟาติย่าก็รีบตะโกนถามทันที เจ้าแห่งทะเลทรายดึงบังเ**ยนให้เจ้าเพกาซัสหยุดวิ่ง รู้ว่าหากพระองค์ไม่พูดออกมาสักที ขนิษฐาแสนสวยก็คงไม่เลิกตามติดพระองค์เป็นลูกลิงเช่นนี้แน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงตัดสินใจตรัสบอกขนิษฐาในที่สุด “ชีคอะเดลา นึกใจดีจะยกองค์หญิงอลีมาให้เป็นเมียของพี่” “ฮ้า!!! อะไรน่ะ” องค์หญิงฟาติย่าตะโกนร้องเสียงหลง รั้งบังเ**ยนเจ้าคิมีราอย่างรวดเร็ว จนเจ้าสัตว์สี่เท้าตกใจ ยกขาหน้าขึ้นตะกุยอากาศ สร้างความตกใจให้ทั้งตัวเองและผู้ที่เป็นเชษฐาอย่างมาก “จุ๊ๆๆ คิมีรา ใจเย็นๆ ฉันขอโทษที่ทำให้แกตกใจ” องค์หญิงแสนสวยเอ่ยปลอบให้เจ้าคิมีราหายตกใจ ก่อนจะกระโดดลงจากม้าแล้วยืนเท้าสะเอวจ้องมองพระพักตร์ของเชษฐาเขม็ง จากนั้นก็ออกคำสั่งอย่างเอาเรื่อง “ห้ามท่านพี่รับยายคางคกอลีมา มาเป็นพระชายานะ ไม่เช่นนั้นติย่าจะโกรธ ไม่คุย ไม่มองหน้าท่านพี่ไปทั้งชีวิต” ผู้ที่เป็นเชษฐาได้หัวเราะออกมาเบาๆ กับสรรพนามที่ขนิษฐาได้ใช้เรียกองค์หญิงจากรัฐอะเดลา พระองค์กระโดดลงมายืนเคียงคู่กับร่างบอบบาง ก่อนจะตรัสถามเสียงกลั้วหัวเราะ “ทำไมถึงไปเรียกองค์หญิงอลีมาแบบนั้นล่ะติย่า รู้ไหมว่ามันไม่สุภาพเลย” มกุฎราชกุมารฟารีสต์ ตำหนิองค์หญิงแสนสวยอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะชวนขนิษฐาถอดรองเท้าแล้วเดินเล่น สัมผัสกับพื้นทรายที่อยู่ใต้เท้าของพวกตน องค์หญิงทำตามเชษฐา ก่อนจะสอดแขนไปจับต้นแขนสีแทนแข็งแกร่งของเชษฐาไว้ จากนั้นก็เอ่ยบอกที่มาที่ไปของฉายา ที่เธอได้ตั้งให้กับองค์หญิงอลีมา ซึ่งน้ำเสียงที่เอ่ยถึงอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บใจอย่างยิ่ง “จะไม่ให้เรียกว่าคางคกได้อย่างไรล่ะเพคะท่านพี่ ก็ยายนี่เล่นโฉบผู้ชายของคนอื่นไปเป็นของตัวเองเสียหมด แฟนของเพื่อนติย่าสามคนเจอยายอลีมา คว้าไปกินเรียบ แม้แต่เพื่อนชายของติม่า ที่น้องให้ความสนิทสนมที่สุดจนเกือบเลื่อนขั้นให้เป็นคนรักแล้ว ก็ถูกยายอลีมาแย่งไปเป็นสามีในสังกัดของเธออย่างเรียบร้อย เวลาที่ยายอลีมา มาฉกผู้ชายของคนอื่นไปเป็นของตนเอง มองดูเหมือนพวกคางคกที่กำลังแลบลิ้นตวัดกินพวกแมลงไม่มีผิดเลยเพคะ” คราวนี้เจ้าแห่งทะเลทรายถึงกับหัวเราะลั่น กับการเปรียบเปรยจนเป็นที่มาของฉายาขององค์หญิงอลีมา พระองค์หันมามองผู้ที่เดินเคียงคู่กันนิดหนึ่ง ก่อนจะตรัสถามต่อ “ติย่าไม่เสียใจหรือที่ถูกองค์หญิงอลีมา ฉกผู้ชายที่เป็นเพื่อนสนิทไป” พระองค์เลี่ยงที่จะเรียกบุรุษหนุ่มผู้นั้นว่าคนรักของขนิษฐา ตราบใดที่ยังไม่มีบุรุษใด ผ่านด่านของพระองค์ไปได้ พระองค์จะไม่ยอมเรียกบุรุษผู้นั้นว่าเป็นคนรักของขนิษฐาเด็ดขาด “ฮึ!” องค์หญิงฟาติม่า ทำเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างแค้นๆ “ติย่าไม่เสียใจหรอกเพคะ แต่รู้สึกเสียหน้าเสียมากกว่า แต่ก็ดีเหมือนกันที่ยายคางคกอลีมาคว้าผู้ชายคนนั้นไป เพราะทำให้ติย่าผู้ชายคนนั้นมันไม่ได้รักติย่าจริง มันไปอยู่กับยายอลีมาก็สมกันราวกับผีเน่าโลงผุ ขอให้พวกมันหาความสุขไม่เจอไปชั่วชีวิต” ผู้เป็นเชษฐาถึงกับส่ายพระพักตร์อย่างขบขำ เมื่อได้ยินขนิษฐาเอ่ยออกมา ฟาติย่านอกจากจะดื้อรั้น เอาแต่ใจตนเองแล้ว ยังผูกใจเจ็บเป็นที่สุด หากใครทำให้องค์หญิงแสนสวยต้องโกรธเคือง รับรองได้ว่ามันผู้มันไม่มีทางได้ยินคำว่า ‘ให้อภัย’ ที่จะหลุดออกมาจากปากของนางฟ้าองค์นี้ “ว่าแต่ท่านพี่เถอะ จะรับยายคางคกอลีมา มาเป็นพระชายาหรือเปล่า” องค์หญิงฟาติย่าย้อนถามเชษฐาอีกครั้ง เพราะยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด จากว่าที่ชีคพระองค์ใหม่แห่งอัสดารานส์ ราชนิกุลผู้องอาจมองใบหน้าอันงดงามของขนิษฐา ก่อนจะตรัสตอบให้องค์หญิงฟาติย่าแย้มยิ้มออกมาได้ “ต่อให้ผู้หญิงทั้งโลก เหลือแค่องค์หญิงอลีมาเพียงคนเดียว พี่ก็ไม่มีทางคว้าเธอมาเป็นชายาอย่างแน่นอน” มกุฎราชกุมารแห่งแผ่นผืนทะเลทราย ตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พระองค์ทำใจให้ยอมรับและรักองค์หญิงอลีมาไม่ได้ นอกจากองค์หญิงอลีมาจะมั่วผู้ชายไม่เลือกแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้พระองค์รับไม่ได้ และคิดว่าเป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรมยิ่งนัก พระองค์ได้ทรุดกายกำยำลงนั่งกับพื้นทรายซึ่งอุ่นไปด้วยไอแดดที่ได้แผดเผาในตอนเช้า จากนั้นก็กอบเม็ดทรายมาเต็มฝ่ามือ ก่อนจะเทลงไปที่เดิม แล้วพึมพำตรัสถามกับเม็ดทรายที่ค่อยๆ ไหลจากฝ่ามือลงสู่ผืนดินดังเดิม “เมื่อไรจะได้พบคนที่รักเราอย่างจริงใจ เมื่อไรจะเจออิสตรีที่ทำให้เราแย้มยิ้มได้ เมื่อไรจะเจอดอกไม้งดงามที่ทำให้ชีวิตของเรามีความสุขไปทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ หรือว่าไม่มีอิสตรีผู้นั้นเลย หรือว่าเราต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปชั่วชีวิตนี้”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD