“ฉันชื่อไอศูรย์ เรียกฉันว่าใหญ่ก็ได้”
เขาบอกทื่อๆ โดยไร้รอยยิ้ม ดวงตาสีท้องทะเลจ้องมองมาด้วยประกายตาอ่านยากจนยาหยีต้องหลุบตาลงมองโต๊ะไม้สีขาวปูทับด้วยผ้าขาวบางลายลูกไม้ตรงหน้า ก่อนที่หญิงสาวจะคิดได้ว่าเธอควรพูดจาโต้ตอบเขา ไม่ใช่ทำท่ากลัวเหมือนลูกกวางระวังภัยแบบนี้ ทั้งที่เขาเองก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ไม่ใช่เสือสิงห์หรือยักษ์มารเสียหน่อย
หญิงสาวรีบยกมือขึ้นไหว้ ก่อนกล่าวแนะนำตัวเสียงสั่น
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อยาหยี อายุสิบเก้าปี หนูเป็นเด็กในอุปการะของคุณค่ะ”
พูดจบยาหยีอยากจะกัดลิ้นตัวเองตาย! ยิ่งเขามองมาด้วยแววตาแข็งกระด้าง ก็ยิ่งทำให้เธออยากกลายเป็นอากาศธาตุแล้วหายไปจากห้องนี้เสียให้ได้
เธอจะแนะนำตัวไปทำไมในเมื่อเขาคือคุณพ่ออุปถัมภ์ เขารู้จักเธอ รู้ชื่อนามสกุล รู้กระทั่งผลการเรียนที่เธอส่งให้เขาทุกเทอม และเขารู้แน่ละว่าเธอคือเด็กในอุปการะของเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะให้แมสเซนเจอร์ส่งกล่องของขวัญที่มีเดรสสีแดงชุดนี้กับกระเป๋าและสร้อยคอร้อยจี้ทับทิมมาให้เธอทำไม
ในกล่องนั้นมีจดหมายบอกให้เธอสวมชุดนี้มาพบเขาที่นี่ในเวลาหนึ่งทุ่มตรง เป็นประโยคเชิงสั่ง ไม่ใช่เชิงขอ มิหนำซ้ำยังย้ำในจดหมายว่าเขามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเธอ และต้องคุยต่อหน้าให้ได้ด้วย ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะปฏิเสธเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาเป็นผู้มีพระคุณที่ส่งเสียให้เธอเรียนหนังสือจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก อีกทั้งเธอต้องการนำของในซองสีน้ำตาลมาคืนให้เขาด้วย
แต่แล้วความอึดอัดที่อัดแน่นในบรรยากาศจนแทบหายใจไม่ออกก็คลายลง เมื่อไอศูรย์แย้มริมฝีปากนิดหนึ่งอย่างที่ยาหยีก็ไม่แน่ใจว่าเขายิ้มจริงหรือ เพราะมันเกิดขึ้นเร็วมาก และหยุดลงอย่างรวดเร็ว แค่อึดใจเดียวเท่านั้นใบหน้าหล่อเข้มก็กลับไปนิ่งสนิทราวกับสวมหน้ากากไว้อีกครั้ง
“ต้องขอโทษเธอด้วยที่เปลี่ยนมาใช้ห้องวีไอพีกะทันหัน และต้องขอโทษอีกทีที่ไม่เคยส่งรูปให้ดู ทำให้เธอทักคนผิด”
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ”
ยาหยียกมือขึ้นโบกไปมาพร้อมกับสั่นศีรษะรัวๆ ท่าทางของเธอดูน่าขันจนไอศูรย์ต้องพยายามอย่างมากในการกลั้นยิ้ม โชคดีเป็นของเขาที่อาหารถูกนำมาเสิร์ฟพอดี เลยช่วยดึงความสนใจของสาวน้อย
“กินสิ เอาไว้อิ่มแล้วเราค่อยคุยธุระของฉันที่เชิญเธอมาวันนี้”
“ค่ะ คะ...คุณใหญ่”
ยาหยีอึกอักกับการเรียกชื่อเขา เธอไม่คุ้นชินอะไรเลย แม้จะคุ้นเคยกันทางจดหมายและอีเมลมาเป็นระยะเวลานานก็ตาม ตลอดเวลาที่ติดต่อกันเขาเล่าเรื่องของตัวเองเพียงแค่เป็นนักธุรกิจ มีมารดาเป็นคนไทยและมีบิดาเป็นคนอเมริกัน เขาเล่าเรื่องนี้เมื่อสามปีก่อนพร้อมกับคำถามว่าถ้าเรียนจบมัธยมปลายเธออยากจะไปเรียนต่อที่อเมริกาไหม เขายินดีจะส่งเธอเรียนสูงที่สุดเท่าที่ต้องการ และจะให้เธอพักอยู่บ้านญาติทางฝั่งพ่อของเขาเพราะสะดวกดี
แต่ยาหยีปฏิเสธไปทางอีเมล โดยมองว่าต่างประเทศเป็นเรื่องไกลตัวเกินไป
จะว่าไปวันนี้เขาเรียกเธอออกมาเจอเพื่อคุยเรื่องอะไรกันนะ
สาวน้อยรับประทานอาหารไปด้วย ครุ่นคิดกังวลไปด้วย จนคิ้วเรียวขมวดมุ่นไม่คลาย
เหมือนอีกฝ่ายจะสังเกตเห็น จึงพยายามให้เธอผ่อนคลายด้วยการเคาะกระดิ่งทองเหลืองเรียกบริกรเข้ามาและสั่งไวน์แดงรสเลิศประกอบมื้ออาหาร ไม่นานนักบริกรสาวก็นำขวดไวน์ในถังน้ำแข็งเข้ามาวางบนโต๊ะอาหาร ยาหยีไม่เคยเห็นการเสิร์ฟไวน์มาก่อน เธอแอบคิดว่าก็คงรินใส่แก้วเหมือนเวลาคนแถวบ้านรินเหล้ากัน
สาวน้อยเงยหน้าขึ้นมองตามมือเรียวสวยของบริกรที่กำลังจับคอขวดอย่างระวัง ก่อนใช้ผ้าหนาสีขาวเช็ดก้นขวดที่เปื้อนน้ำเย็นด้วยกิริยาสุภาพ บริกรสาวหันฉลากไวน์ไปทางไอศูรย์ รอจนเขาพยักหน้าจึงค่อยวางขวดไวน์ไว้บนโต๊ะแล้วใช้เครื่องมือขนาดเล็กลักษณะคล้ายมีดพกตัดกระดาษฟอยล์ห่อฝาขวดอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ใช้สกรูอีกด้านเปิดจุกคอร์กออกวางไว้บนโต๊ะ และถือโคนขวดไวน์ด้วยมือเดียว รินใส่แก้วตรงหน้าไอศูรย์เพียงก้นแก้ว
จังหวะจะโคนการเสิร์ฟดูนุ่มนวลน่ามองจนยาหยีมองเพลิน รู้ตัวอีกทีสายตาก็หลุดจากบริกรหันไปมองไอศูรย์ เห็นเขาจับก้านแก้วยกขึ้นมองแล้วหมุนแก้วเล็กน้อย ขาไวน์ไหลเป็นสายตามขอบแก้วสะท้อนแสงไฟและสะท้อนอยู่ในแววตาของสาวน้อยวัยซุกซน ยาหยีมองเพลิน เผลอยิ้มนิดๆ ด้วยคิดว่ายามเขาถือแก้วไวน์ แววตาของเขาดูอ่อนโยนเป็นพิเศษ
ชายหนุ่มยกแก้วขึ้นจรดจมูก หลับตาสูดดมแล้วจิบอย่างละเมียด เขานิ่งไปไม่นานก็วางแก้วไวน์ลงแล้วพยักหน้าให้บริกรรินไวน์เพิ่มให้เขา รวมถึงรินให้แก้วทรงสูงตรงหน้ายาหยีด้วย เมื่อบริกรวางขวดไวน์ใส่ถังน้ำแข็งเหมือนเดิมและออกจากห้องตามคำสั่งของไอศูรย์ ชายหนุ่มก็ถือแก้วไวน์ของเขาแล้วเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ เก้าอี้ของยาหยี
กลิ่นน้ำหอมผู้ชายโชยมาจางๆ เขาวางมือบนพนักเก้าอี้ของเธอแล้วก้มลงมา ความใกล้ชิดแบบฉับพลันทำให้ยาหยีนั่งตัวแข็งทื่อราวศิลา ยิ่งเขาก้มมาใกล้ กลิ่นน้ำยาโกนหนวดเจือจางในอากาศก็ยิ่งทำให้ใจสาวสะท้านจนตัวแทบสั่น
ยาหยีไม่เคยชิดใกล้ผู้ชายคนไหนมากเท่านี้มาก่อน เขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนเสียการทรงตัว สูญเสียสติสัมปชัญญะ สมองของหญิงสาวพร่าเบลอไปหมด กระทั่งได้ยินเสียงกระซิบของเขาดังข้างๆ หู
“ลองดื่มดูสิ เคยดื่มมาก่อนไหม”
สาวน้อยกลืนน้ำลายลงคออย่างประหม่า ก่อนสั่นศีรษะพลางเอ่ยตอบเขาตะกุกตะกัก
“มะ...ไม่เคยค่ะ”
“หยิบแก้วขึ้นมาสิ เดี๋ยวฉันจะสอน”
เขาวางแก้วไวน์ของตัวเองบนโต๊ะข้างแก้วของยาหยี โดยไม่คาดฝันมือหนาก็เลื่อนมาจับมือนุ่มที่วางอยู่บนตัก ยาหยีสะดุ้งสุดตัว หันขวับไปมองเขา เพื่อจะพบว่าเขากำลังมองเธออยู่เช่นกัน ซึ่งใบหน้าหล่อเหลาของเขาห่างออกไปแค่คืบ!
โอ ดวงตาเขาสีสวยจัง ขนตาก็ยาวเสียจนผู้หญิงหลายคนต้องอิจฉา
ยาหยีมองเขาพลางเผยอริมฝีปากด้วยความเผลอไผล ก่อนจะรีบหุบปากสนิทเมื่อเห็นเขาหลุบตาลงมองริมฝีปากอวบอิ่มสีชาด สาวน้อยรีบโฟกัสสายตาไปที่มือหนาซึ่งกำลังจับมือเธอไปจับก้านแก้วไวน์ เมื่อเขาละมือออก ยาหยีก็เลื่อนมือขึ้นกุมก้นแก้วเพราะกลัวทำแก้วใบสวยตกแตก แต่เขากลับเอื้อมมือไปจับหลังมือนุ่ม บังคับให้เลื่อนลงมาจับที่ก้านแก้วเหมือนเดิม
และคราวนี้เขาก็กุมมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อยอีกเลย!
“อย่าจับก้นแก้ว มือของเราร้อน อุณหภูมิของไวน์จะเปลี่ยน ต้องจับที่ก้านเท่านั้น”
“คะ...ค่ะ” ยาหยีห่อไหล่เพราะเขาก้มลงมาใกล้ จนน่ากลัวว่าคางของเขาจะชนไหล่ของเธอ
เขาจะโน้มลงมาใกล้ทำไมเนี่ย สอนห่างๆ ก็ได้นี่นา โธ่เอ๊ย! แบบนี้สมาธิเธอก็กระเจิงหมดน่ะสิ