สุวีร์กอดกระชับคนตัวอุ่นที่ร่างกายเปลือยเปล่านั้น ไร้ซึ่งอาภรณ์ ใดๆ ติดเรือนร่างเลยสักชิ้น จูบที่ทาบทับไปที่ไหล่ทำให้คนที่นอนหันหลังให้พลิกตัวกลับมาจูบคลอเคลียอย่างอ่อนหวาน
“ไม่เหนื่อยหรือไง”
“พูดดังไป เดี๋ยวใครได้ยินเข้านะ” สุวีร์พูดแล้วหัวเราะ
“ทะเล้น กอดให้หลับด้วยนะ”
“คนไม่งอแง น่ารักดีเนอะ” สุวีร์จูบเบาๆ ไปที่หน้าผากและกอดกระชับเอาไว้จนหลับไปด้วยกัน แต่วูบหนึ่งก่อนจะหลับไป สุวีร์
นึกถึงสาวน้อยที่ออกอาการงอแง ไม่รู้ว่าป่านนี้จะหลับไปหรือยัง แต่เมื่อคนที่หลับอยู่ในอ้อมกอดขยับตัวทำให้สุวีร์หยุดคิดเรื่องของสายศิลป์ในทันที
สายศิลป์ล้มตัวลงนอน ใบหน้าแนบหมอนนุ่มๆ ทำให้รู้สึกอุ่นใจคิดถึงตักนุ่มๆ ที่ไม่ขยับเลยสักนิดนานนับชั่วโมงเมื่อครั้งนั้น แอบเสียใจอยู่ที่ไม่ได้บอกขอบคุณเรื่องการฝึกงานด้วยตัวเอง เพียงบอกฝากไว้กับเลขาหน้าห้องของจามรี แต่จะว่าไปก็ไม่มีความจำเป็นอะไร เพราะบอกขอบคุณฝากไปกับปยุดาและกรวิกาอีกครั้งแล้ว หากมีโอกาสได้พบเจอกันค่อยบอกกับเจ้าตัวอีกครั้ง แต่ท่าทางคงจะไม่ได้พบกันอีก เพราะข่าวคราวเรื่องงาน ที่จามรีคงต้องเดินทางอยู่บ่อยๆ สายศิลป์ได้ทราบจากเลขา รวมถึงจาก กรวิกาและปยุดาด้วย
“ขอบคุณนะ พี่จุ้น” สายศิลป์คิดอยู่ในใจ
สองสามเดือนที่ผ่านมา หลังจากสอบเสร็จสายศิลป์กลับบ้านไป อยู่กับครอบครัวร่วมสองอาทิตย์ บิดามารดามีความสุขกับความ
สำเร็จของลูกสาวเป็นอย่างมาก สายศิลป์ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวก่อนที่จะกลับมา ลุยงานตามที่ได้คิดและวางแผนเอาไว้ เพื่อนหลายคนกลับบ้านและเริ่มหางานทำกัน ปกป้องจากที่เคยคาดเอาไว้ว่าน่าจะทำงานประจำ กลับเลือกไปช่วยงานที่หอศิลป์แห่งหนึ่ง ซึ่งไปช่วยเฉพาะช่วงที่มีงานแสดงนิทรรศการ โดยปกป้องจะไปเป็นทีมจัดงาน มารดาของปกป้องไม่ได้ว่าอะไร หากลูกชายคิดที่จะทำงาน
ศิลปะและจะไปช่วยงานของกรวิกาบ้าง เพราะได้ยินมาว่า จะจัดงานแสดงภาพของตัวเอง แต่ยังไม่มีกำหนดการที่แน่นอนมีเพียงการพูดคุยและวางแผนเอาไว้ สายศิลป์กอดเพื่อนคนหนึ่งที่กำลังจะเดินทางไปเรียนต่อในฐานะนักเรียนทุนที่ผ่านการสอบแข่งขัน และหลังส่งเพื่อนเสร็จเรียบร้อย จึงได้อ่านข้อความที่มีข้อมูลเรื่องงานอยู่บ้างๆ มัวแต่มองโทรศัพท์ไม่ทันระวังจนชนเข้ากับคนที่เดินสวนมา
“ขอโทษค่ะ” สายศิลป์รีบพูดขึ้นในทันที โดยไม่ได้ดูเลยว่าเป็นใคร
“เดินไม่ดูทางเอาเสียเล๊ย” เสียงนั้นทำให้รีบเงยหน้าขึ้นมาดู
“เงยแล้วค่ะ” สายศิลป์พนมมือไหว้
“จะไปไหน” จามรีถาม เมื่อพนมมือรับไหว้สายศิลป์ซึ่งไม่ได้พบกันมาสักพักใหญ่ๆ
“กลับหอค่ะ”
“มาทำอะไรที่สนามบิน”
“มาส่งเพื่อนไปเรียนต่อค่ะ” สายศิลป์รายงาน
“แล้วกลับยังไงล่ะ” จามรีถามมองดูรถยนต์ที่เพิ่งมาส่ง จึงโบกไม้โบกมือเรียกเอาไว้ก่อน
“แท็กซี่ค่ะ คุณจุ้น หรือพี่จุ้นดีล่ะ จะเดินทางหรือคะ” สายศิลป์มองดูกระเป๋าใบไม่ใหญ่ไม่เล็กนักและสังเกตการแต่งตัวของจามรี
“ถูกต้องแล้ว เสื้อเธอสวยดีนะ แลกกันไหมล่ะ” จามรีพูดขึ้น ทำให้สายศิลป์มองดูเสื้อแจ๊คเกตตัวเก่าที่ใส่อยู่
“เก่าขนาดนี้ พี่จุ้นจะเอาไปทำอะไร” สายศิลป์ถาม
“แลกกัน เอาตัวนี้ไป เราขอตัวที่ใส่อยู่” จามรีพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความกวนปะปนเลยสักนิด
“แปลกๆ นะ” สายศิลป์รำพึงออกมาเบาๆ
“เราเป็นคนแปลกๆ อยู่แล้ว ไม่เห็นต้องแปลกใจเลย” จามรีบอก
“ให้ก็ได้ แต่ไม่แลกนะ เสื้อพี่จุ้นน่ะ แพงอยู่” สายศิลป์ถอดเสื้อตัวนอกให้จึงมีเพียงเสื้อยืดมอมๆ ที่มีสีเปื้อนอยู่ค่อนข้างมาก จามรีมองดูแล้วยิ้มๆ กับสาวสวยที่ดูมอมแมม
“เอาไปให้เปล่าๆ ได้ไง” จามรียื่นเสื้อของตัวเองที่ถืออยู่ให้สายศิลป์
“งั้นให้อาร์ตเลี้ยงกาแฟแก้วหนึ่ง ต้องรีบไปขึ้นเครื่องไหมคะ”
“ไม่รีบ ต้องรออีกนานเลย” จามรียิ้ม
“ถามจริงจะใส่เสื้อนั่นไปจริงๆ หรือ” สายศิลป์มองเสื้อตัวเองที่ให้จามรีไปและถูกคล้องเอาไว้ที่แขน
“ใส่สิ ไม่อย่างนั้นจะแลกทำไม น่าจะอุ่นดีนะ” จามรีอมยิ้ม
“มันเก่าไง” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ
“อย่าดูอะไรแค่ภายนอก ทุกสิ่งทุกอย่างมีค่าและมีความหมายนะ”
“ยังไงคะ” สายศิลป์ถามยิ้มๆ
“ไม่ยังไง อย่างที่เพิ่งบอกไป เราไปเช็คอินก่อนนะได้โหลดกระเป๋าแล้วค่อยให้เธอเลี้ยงกาแฟ” สายศิลป์พยักหน้าและเดินอ้อมไปเพื่อที่จะช่วยลากกระเป๋าเดินทาง แต่ถูกจามรีดึงเอาไว้ไม่ยอมปล่อย คนที่รีบเข้าไปช่วยเลยเสียหลักเซเข้ามาหาจามรี ซึ่งกอดกระชับเอาไว้ เพราะเกรงว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นจะล้มลง สายศิลป์ยิ้มอายๆ จ้องคนที่กอดไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยได้แล้ว ไม่ได้ล้มแล้ว” สายศิลป์แกล้งทำเสียงเข้ม
“อีกแป๊บดิ เผื่อเซอีก” จามรีหัวเราะ
“ไม่เซแล้ว ไอ้พี่จุ้นปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” สายศิลป์พูดคล้ายดุ
“เรียกไอ้ เดี๋ยวกอดไม่ปล่อยเลย”
“ปล่อยได้แล้ว คนขับรถมองอยู่ จอดนานจะโดนไล่แล้วนั่น”
“เออจริงด้วย แป๊บนะ” จามรีเดินไปพูดคุยอะไรบ้างอย่างกับคนขับที่พอพูดคุยกันแล้ว ก็เคลื่อนรถขับออกไป สายศิลป์ยิ้มน้อย
ยิ้มใหญ่และลากกระเป๋าเดินผ่านประตูเข้าไปภายในก่อน ดีใจที่อย่างน้อยได้ช่วยเหลือจามรีบ้างในเรื่องเล็กๆ น้อย
“ไปนานไหมคะ” สายศิลป์ถามขณะที่ส่งแก้วกาแฟให้กับจามรี
“นานแล้วจะคิดถึงไหม” จามรีพูดเป็นปกติ แต่คนถูกถามขมวดคิ้วและกำลังคิดหาคำตอบ
“คนรู้จักกัน ก็ต้องมีบ้างมั้ง” สายศิลป์ตอบ
“ก็ยังดีเนอะ”
“ไม่เห็นตอบคำถามเลยค่ะ ว่าจะไปนานแค่ไหน” สายศิลป์เริ่มจิบกาแฟจ้องมองและเฝ้ารอคำตอบจากคนที่ลีลาทำท่าคิด
“นานพอสมควร เรื่องงานของยุ่งด้วย เที่ยวด้วย งานของที่บ้านด้วย” จามรียิ้มน้อยๆ จ้องมองดวงตากลมโตของสายศิลป์
“อ๊ะให้ จะได้เดินทางปลอดภัย” สายศิลป์หยิบบางสิ่งบางอย่างออก มาจากกระเป๋าสตางค์ดูคล้ายสายสิญจน์ผูกข้อมือ
“สายสิญจน์” จามรีพูดขึ้นและยื่นมือไปตรงหน้าของสายศิลป์
“ไม่ใช่” สายศิลป์บอก
“อ้าว” จามรีมองดูเพราะคนให้ยังคงถืออยู่
“ชายผ้าถุงแม่ค่ะ คนต่างจังหวัดเขาถือกันว่า จะช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัย พี่จุ้นถือหรือเปล่า ไม่ต้องรับไว้ก็ได้นะ” สายศิลป์
เพิ่งนึกได้จึงเอ่ยถามออกไป
“ดีออก เธอยังผูกไว้เลยนี่ ของๆ ผู้ใหญ่ดีกับลูกหลานอย่างพวกเราเสมอนั่นแหละ” จามรียังคงยื่นมือไปตรงหน้า แต่กำมือเอา
ไว้
“ไม่เอาล่ะ เอาไปผูกเองสิ” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ
“ไม่อยากให้เดินทางไปกลับปลอดภัยหรอกหรือ ถึงไม่อยากผูกให้”
“อยากสิ แต่” สายศิลป์ไม่คิดว่าจะเหมาะนัก เพราะตัวเองเป็นเด็ก
“แต่อะไร เราถือว่าเป็นความห่วงใยจากเธอไง อีกอย่างแม่ของเธอจะได้คุ้มครองเราด้วย เพราะลูกสาวคนเดียวเป็นคนผูกให้ นะ
ผูกเถอะ เราอยากให้ผูกให้จริงๆ” สายศิลป์ยิ้มน้อยๆ น้ำเสียงที่พูดนั้นไม่ใช่น้ำเสียงของคนที่พูดกวนๆ ห้วนๆ เหมือนทุกครั้งที่ได้พบกัน
แต่เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูทำให้รู้สึกคุ้นเคยได้มากขึ้น ทั้งๆ ก่อนหน้านี้ตั้งแง่เอาไว้ให้อยู่ในสถานะคนรู้จักคนหนึ่งตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน แต่นานวันกลับกลายเป็นว่า จามรีเป็นคนดีคนหนึ่ง มีน้ำใจและห่วงใยคล้ายกับปยุดาและกรวิกา ซึ่งทั้งสองสายศิลป์ ให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก
“พูดดีๆ ก็เป็น ทำไมชอบกวน” สายศิลป์อมยิ้ม เมื่อเห็นจามรีทำหน้ามุ่ย
“จุ้นจ้านยังไม่พอ กวนด้วยหรือ” จามรีพูดเสียงอ่อยๆ
“มาๆ ผูกให้ก็ได้” สายศิลป์อมยิ้มกับคนที่ทำหน้าจ๋อย
“ไม่จุ้น ไม่ดื้อ ไม่กวนแล้ว ผูกข้อมือแล้ว” รอยยิ้มสวยๆ ของจามรีทำให้สายศิลป์รู้สึกแปลกๆ
“ไม่ได้จะโกนจุกให้สักหน่อยนะ พี่จุ้น” สายศิลป์หัวเราะกลบเกลื่อนอาการเขินอายของตัวเองกับสายตาวาววับของคนที่ยังคง
ยิ้ม และจ้องมองตาไม่กระพริบ
“อ้าวเหรอ” จามรีหัวเราะ
“เดินทางปลอดภัยและขอให้งานราบรื่นนะคะ”
“ขอบคุณนะคะ” จามรียิ้มกว้างมากขึ้น เมื่อเห็นผ้าที่ผูกคล้ายกันอยู่บริเวณข้อมือของสายศิลป์
“เหมือนกัน” สายศิลป์ชูมือให้ดู
“อือ เหมือนกันเลย เราต้องเข้าไปข้างในแล้วล่ะ เธอไปรอที่ด้าน หน้าที่เดิมนะ จำรถกับคนขับได้ใช่ไหม” จามรีถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวกลับเองได้ พี่จุ้นเข้าไปเถอะ” สายศิลป์บอก
“ไม่ได้ เราจะได้สบายใจ บอกคนขับด้วยนะว่าจะให้ไปส่งที่ไหน” จามรีพูดเสียงเข้มทำเอาสายศิลป์ยิ้มเจื่อนๆ ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร
“ต้องเสียงเข้มใส่ด้วย” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ
“ก็อย่าดื้อสิ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ” สายศิลป์พนมมือไหว้
“ขออีกอย่างได้เปล่า เป็นแรงใจ” จามรียิ้มยืนบิดไปบิดมาเล็กน้อยรู้ว่าสิ่งที่ขอบ้าบอมาก ดีไม่ดีจะโดนเด็กด่าเอา
“ท่าทางเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจ ขอมาก่อนค่อยบอกว่าได้หรือไม่ได้”
“ห้ามด่านะ” จามรีพูดขึ้น สายศิลป์หัวเราะ
“ไม่ด่า”
“ขอหอมทีได้ไหม” จามรีพูดเสียงอ่อยๆ
“บ้าหรือไง พี่จุ้น”
“รู้ว่า บ้า ไม่ได้ก็ไม่ได้ดิ” จามรีบอก
“ได้ แต่กลัวใครจะมาพูดว่าพี่จุ้นน่ะสิ อาร์ตบอกแล้วไงว่าอาร์ตมีแฟนแล้ว ใครเห็นเข้าจะมองพี่จุ้นไม่ดีนะ” สายศิลป์บอกสิ่งที่ตัว
เองคิด
“เราไม่สนใจคนอื่น เธอน่ะอนุญาตหรือเปล่า” จามรีถามเสียงแผ่วๆ
“ไม่เอาล่ะ”
“ก็แค่นั้น งั้นเราไปแล้วนะ” รอยยิ้มที่จางไปทำให้สายศิลป์ถึงกับถอนใจไม่รู้ทำไมเหมือนกัน หยิบเสื้อที่จามรีให้ไว้มากอดก่อน
ที่จะเดินเข้า ไปจูบที่แก้มของจามรีแล้วยิ้มน้อยๆ ให้
“ยิ้มได้แล้ว จะเดินทางมาทำหน้าจ๋อยไม่ดีรู้หรือเปล่า” สายศิลป์ยิ้มให้กับคนที่มีรอยยิ้มให้เห็นอีกครั้ง
“ทำไมแบบนี้ได้ล่ะ” จามรีถาม
“ถ้าใครรู้หรือว่าเห็น จะได้มาว่าอาร์ตไง ไปว่าพี่จุ้นไม่ได้”
“ฟังดูเหมือนเป็นห่วงเลยเนอะ” จามรียิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ นะ”
“เราก็เหมือนกันนะ”
“ค่ะ ไปได้แล้ว” สายศิลป์โบกมือให้กับคนที่เดินถอยหลังยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ให้ก่อนที่จะเดินเข้าไปภายในอาคารที่เข้าได้เฉพาะผู้
โดยสาร
ปยุดากับกรวิกานัดหมายพาสายศิลป์มาพบคนที่ว่าจ้างวาดภาพทำเอารู้สึกตื่นตระหนกอยู่มากเหมือนกัน เพราะปยุดาไม่ได้ให้
ข้อมูลอะไรมากนักอีกอย่างสายศิลป์เองไม่กล้าจะถามอะไรมาก แต่การมาพบใช่ว่าจะได้งานเสียเมื่อไร อาจเพียงแค่พูดคุย เพราะทราบว่าเป็นผู้ใหญที่ปยุดาเคารพนับถือ สายศิลป์รออยู่ด้านนอกปล่อยให้ปยุดากับกรวิกาเข้าไปพูดคุยกับคนที่จะว่าจ้างก่อน
“ต้องเข้าไปคุยเอง ตามลำพัง” ปยุดากับกรวิกาเดินยิ้มออกมา
“แค่นี้ก็ตื่นเต้นจะแย่ ทำไมถึงได้ตื่นเต้นมากมายนักไม่รู้ค่ะ”
“ผ่านงานนี้ไปได้ ไม่มีวันจะตื่นเต้นอีกแน่นอน” กรวิกาหัวเราะ
“พี่กรให้กำลังใจมากเลย” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ
“ไปเถอะ คุณทวดรออยู่” ปยุดายิ้มให้กับสายศิลป์ที่หน้าจ๋อยไปทันที เมื่อได้ยินปยุดาพูดว่า คุณทวด
“คุณทวดเลยหรือคะ พี่ยุ่ง” สายศิลป์ถาม
“ไปคุยเอาเอง ไปได้แล้วจ้ะ” ปยุดายิ้มกับหน้าตาตื่นตระหนก แต่คงเป็นเพียงครู่เดียว เพราะเมื่อได้พบกับคุณยายทวดรับรอง
ได้ว่า จะยิ้มร่าออกมาเสียมากกว่า เพราะตอนที่พากรวิกามากราบก็ออกอาการตื่นตะหนกเช่นกัน
“กร โชคดีนะ งานแรกไม่น่าตื่นเต้นขนาดนี้” กรวิกายิ้มมองดูสาวน้อยที่ยังหันมายิ้มแห้งๆ ให้อยู่ก่อนที่จะหายเข้าไปภายในห้อง
คุณยายทวด
“ตอนสบตาเค้าน่ะ ตื่นเต้นกว่าใช่ปะล่ะ” ปยุดายิ้มน้อยยิ้มใหญ่หอมแก้มกรวิกาที่ส่ายหน้ากับความช่างยั่วเย้า โดยเฉพาะใน
เวลาที่ได้อยู่ ด้วยกันตามลำพัง
“ตอนเปลื้องผ้า ตื่นเต้นกว่า ลืมหายใจเลยทีเดียว” กรวิกาหัวเราะ
“ไอ้บ้า พูดซะดังเชียว แต่ก็จริงเนอะ อุ่นดี” ปยุดายิ้มทะเล้น
“อย่ามาทำสายตาวิบวับใส่นะ เดี๋ยวเถอะ” กรวิกาอมยิ้ม
“อะไรจะทำอะไรเค้าได้” ปยุดาพยักพเยิดยื่นหน้ายื่นตาเข้าไปใกล้ๆ กรวิกาจึงดึงตัวเข้ามากอดและจูบอย่างอ่อนหวานและอ้อย
อิ่งอยู่ชั่วครู่
“ชอบน่ารักแบบนี้ ไม่อยากแยกไปไหนเลย รู้ตัวบ้างไหมล่ะ อยากเป็นแฝดอินจันที่ตัวติดกันเลยเหอะ” ปยุดาจูบเล็กๆ แทนคำ
ขอบคุณ
“รู้ว่า จอจุ้นไม่อยู่เลยกล้าจูบ ถ้าจอจุ้นอยู่มาเห็นเข้า โดนล้อไปตลอดชีพแน่” กรวิกาหัวเราะ เมื่อนึกถึงลูกพี่ลูกน้องของปยุดา
“กลัวทำไม เรื่องความรักเป็นเรื่องธรรมชาติ เดี๋ยวมันกลับมานะจะจูบโชว์ต่อหน้าเลยให้อิจฉา หนุ่มมาดูตัวยี่สิบสามสิบรายไม่
เล่นด้วยสักคน”
“ถามจริง”
“จริงสิ เค้าน่ะโชคดี แม่ไม่ค่อยอะไรนักกับเรื่องแต่งงาน เลยได้มาเจอตัวไง ไม่อย่างนั้นโดนจับแต่งไปแล้ว” ปยุดาพูดเสียงอ่อยๆ
“แต่งแล้วไง” กรวิกายกมือข้างซ้ายให้ดู
“รู้แล้วค่ะ แหมเดี๋ยวนี้รีบออกตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของตลอดเลยนะ”
“รักนี่นา” กรวิกาอมยิ้ม
“รักด้วย เออตัวว่า คุณทวดจะให้อาร์ตวาดภาพให้ไหม เพราะท่า ทางแปลกๆ”
“แปลกยังไงล่ะ” กรวิกาถาม
“ให้กรวาดไม่ดีกว่าหรอกหรือ แฟนเหลนอันดับต้นๆ เลยนะ” ปยุดาหัวเราะคิกคัก กรวิกาส่ายหน้ากับความช่างพูดช่างคุย
“อย่าดูถูกฝีมือเด็กเชียวนะ ยายอาร์ตน่ะ น่าจะมีอะไรดีๆ ในตัว”
“ถ้าตัวชม เค้าไม่แปลกใจก็ได้งั้น” ปยุดาอมยิ้มเข้าสวมกอดกรวิกาเอาไว้เสียแน่น
“คุณทวดอาจจะอยากได้เหลนเพิ่ม” กรวิกาหัวเราะ
“ยังไง” ปยุดารำพึงออกมาเบาๆ จ้องมองคนที่ยิ้มน้อยๆ ให้อยู่
“ต้องรอดู แต่กรว่า สาวน้อยของเราได้งานแน่นอน” กรวิกาพูด ด้วยความมั่นใจ ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกมั่นใจ
“ท่าทางมั่นใจในลูกศิษย์นะ” ปยุดาอมยิ้ม
“ถ้าอาร์ตหาแนวทางของตัวเองได้ รับรองได้ว่า ก้าวหน้าแน่นอน”
“เค้ารักตัวเอง เค้าเชื่อตัวเองก็ได้เนอะ” ปยุดาหัวเราะ
“มีแบบนี้ด้วย” กรวิกายิ้ม
“แบบนี้แหละ น่ารักใช่ไหมล่ะ”
“น่ารักมากจ้ะ แม่จอมยุ่งเอ๊ย” กรวิกาหัวเราะ
สายศิลป์คุกเข่าลงเมื่อเข้ามาภายในห้อง ซึ่งมีประตูเป็นบานเลื่อนเปิดปิด รอยยิ้มของหญิงชราที่ได้เห็นทำให้รู้สึกใจชื้นขึ้นมา
แต่น่าแปลกทำไมรู้สึกคุ้นเคยเหมือนรอยยิ้มของใครบางคน หรืออาจจะเป็นปยุดา
“เรียบร้อยน่ารักเหมือนกันนะ เรา” คุณยายทวดของปยุดาพูดชม
“กราบค่ะ คุณท่าน” สายศิลป์ก้มลงใกล้ๆ กับบริเวณที่ท่านนั่งอยู่
“ดูมียศศักดิ์ไปนะจ๊ะ เรียกเหมือนเหลนๆ ฉันก็ได้”
“ค่ะ คุณทวด” สายศิลป์ไม่รู้ว่า คนอื่นๆ เรียกว่า อย่างไร
“ไหนขยับมาให้ดูหน้าตาใกล้ๆ หน่อยสิ” คุณยายทวดบอก
“ค่ะ” คุณยายทวดเชยคางและขยับให้เอียงหน้าทั้งซ้ายและขวา
“สวยเป็นนางละครได้เลยนะ ขนาดไม่แต่งแต้มอะไรเลย แต่กลิ่นแป้งน้ำฟุ้ง ตั้งแต่มาถึงแล้วนะ” คุณยายทวดทำให้สายศิลป์แปลกใจ
“แป้งน้ำ แม่ทำใช้เองค่ะ หนูกลับบ้านเลยขอแบ่งมา ประหยัดด้วยค่ะ ไม่ต้องซื้อหา แต่กลิ่นหอมๆ สงสัยหนูจะชินค่ะ เลยไม่ค่อย
ได้กลิ่นเท่าไรนัก” สายศิลป์บอกกับหญิงชราที่ยิ้มน้อยๆ ให้
“ดีแท้ มิน่ากลิ่นหอมมาแต่ไกลเชียว ตกลงยังไงเรา วาดรูปเก่งขนาดไหน” หญิงชราเห็นสาวน้อยยิ้มแหย่ๆ อดที่จะขำไม่ได้
“ที่จริง พี่กรเก่งอยู่นะคะ คุณทวดน่าจะให้พี่กรวาดให้มากกว่า”
“ฉันอยากเห็นฝีมือเธอนี่จ๊ะ”
“หนูลองร่างภาพ แล้วลงสีให้ดูก่อนไหมคะ” สายศิลป์อยากวาดโครงแบบให้ท่านดูก่อน เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าท่านจะชอบหรือ
ไม่
“คิดหรือยังว่าจะวาดแบบไหน” คุณยายทวดถาม
“อยากได้แบบไหนคะ” สายศิลป์คิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ค่อยเข้าใจคำถามของท่านนัก
“เราน่ะ อยากวาดให้ฉันแบบไหน รู้สึกอย่างไร เมื่อเห็นฉัน” เสียงที่อ่อนโยนของหญิงชราทำให้สายศิลป์รู้สึกอุ่นใจ
“คุณทวดสวย โดยเฉพาะแววตาทั้งสวยและดูอบอุ่นด้วยค่ะ”
“ไหนลองวาดให้ดูในกระดานที่มีกระดาษนั่น ว่าเห็นฉันเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไรเมื่อแรกพบกัน เอาที่รู้สึกเลยนะลูก วาดออกมา
ตามที่ใจรู้สึก ไม่ต้องกังวลว่าจะชอบหรือไม่ เข้าใจใช่ไหม” หญิงชรายิ้มกว้างมากขึ้น
“ได้ค่ะ ขอเวลาสักสิบห้านาที คุณทวดนั่งสบายๆ ได้เลยค่ะ คุยได้ด้วยนะคะ” สายศิลป์ยิ้มน้อยๆ มองสบตากับคุณยายทวดของปยุดา
“ค่าจ้างแพงไหม” คุณยายทวดเริ่มชวนพูดคุย เมื่อสาวน้อยนั่งขัด สมาธิ วางกระดานไม้เอาไว้ที่ตักและเริ่มวาดโครงหน้า
“เห็นงานหนูก่อนดีกว่าค่ะ บางทีคุณทวดอาจไม่อยากจ่ายสตางค์สักบาทก็ได้นะคะ” สายศิลป์ยิ้มอายๆ เงยหน้ามามองใบหน้า
ท่านบ้างก้มลงเอาดินสอขีดๆ เขียนๆ ป้ายๆ ลบๆ บนกระดาษบ้าง
“ถ้าพึงใจ จ่ายได้เต็มทีสิ”
“หนูยังไม่เคยรับงานจริงจังแบบนี้เลยค่ะ ฝากตัวเป็นลูกศิษย์พี่กรหวังว่า วันหนึ่งจะเก่งได้เสี้ยวเล็กๆ ของพี่กรบ้างค่ะ สนนราคา
เลยไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ถ้าคุณทวดชอบวาดให้ฟรีๆ ก็ได้ค่ะ ขอข้าว ขอขนมทาน ระหว่างมาวาดให้ก็พอแล้วล่ะคะ” สายศิลป์หัวเราะ
เล็กๆ เมื่อเห็นหญิงสูงวัยหัวเราะออกมา
“แฟนยายยุ่ง จะมีคู่แข่งล่ะสิ ไม่ว่า”
“เป็นศิษย์คิดแข่งกับครู ชีวิตหนูคงลำบากนะคะ” คุณยายทวดยิ้มน้อยๆ มองดูภาพวาดที่พอจะให้เห็นฝีไม้ลายมือ ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ได้เห็นดวงหน้าของท่าน
สายศิลป์เริ่มลงสีด้วยสีชอลค์ซึ่งมีติดกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา คนวาดเองแปลกใจเสียมากกว่าแบบ นึกไม่ออกเหมือนกันว่า ทำไม
ถึงได้วาดรูปท่านออกมาเป็นอย่างที่เห็น คุณยายทวดดูท่าไม่ได้แปลกใจอะไร แต่รอยยิ้ม และแววตาที่อบอุ่นเปล่งประกาย จนทำให้
สายศิลป์รู้สึกอุ่นใจ ปยุดากับ กรวิกาค่อยๆ เลือนบานประตูและย่องเข้ามา สายศิลป์กำลังจดจ่ออยู่กับการลงสีทำให้ไม่รู้ว่า มีคนมา
ชะเง้อมองอยู่ข้างๆ
“สวยจัง” ปยุดารำพึงออกมาเบาๆ มองดูภาพเขียนที มองดูใบหน้าของคุณยายทวดที ทำท่าขมวดคิ้วจนท่านหัวเราะออกมา
“ฝีมือขนาดนี้ ท่าทางจะสอบผ่านนะคะ” กรวิกาพูดกับคุณยายทวดที่นั่งอมยิ้มจ้องมองสายศิลป์ไม่วางตา
“จ้องขนาดนี้เขินตายพอดีค่ะ พี่ยุ่ง” สายศิลป์หันมายิ้มเจื่อนๆ ให้
“ทำไมรูปถึงเป็นฉุยฉาย” คำถามของกรวิกาทำให้ทุกคนหันไปมองสบตากับคุณยายทวด