สายศิลป์รีบเดินออกมาจากแผนก เพราะมีนัดหมายจะเดินทางกลับบ้านด้วยความเร่งรีบ จึงวิ่งไปชนเข้ากับเจ้านายที่เดินออกมาจากห้องพอดี
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ” สายศิลป์ยิ้มจางๆ ให้ หลังจากโดนดุไปเมื่อครั้งก่อน เพราะไปยืนกอดสุวีร์ที่หน้าลิฟต์เลยเลือกที่จะหลบหน้าหลบตาไม่ค่อยได้พบกับจามรีเท่าไรนักและกำลังจะเดินเลี่ยงหนีไป แต่ถูกจับแขนรั้งตัวเอา ไว้เสียก่อน
“จะรีบไปไหน กลับบ้านหรือ” จามรีถามหลังจากมองเห็นเป้ที่ถืออยู่เป็นประจำดูมีของมากกว่าทุกวัน และกำลังเป็นวันหยุดชดเชยติดต่อกันสามวันซึ่งคนทำงานส่วนใหญ่มักจะเดินทางออกต่างจังหวัดหรือกลับบ้าน
“กลับบ้านค่ะ ไปได้หรือยังคะ” สายศิลป์ถามไม่กล้ามองสบตาด้วยมากนัก
“ไปเดี๋ยวขับไปส่งขึ้นรถที่ไหน เอ๊ะหรือแฟนมารับ” จามรีทำท่าจะออกเดินแต่หยุดคิดนิดหนึ่ง
“กลับเอง นั่งรถโดยสารค่ะ” สายศิลป์บอก
“บ้านอยู่ไหน” จามรีถาม เพราะถ้าเดินทางช่วงเย็นคงค่ำมืดระหว่างทางหรือถ้าอยู่ไกลมากอาจจะถึงในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้
“อ่างทองค่ะ” สายศิลป์บอก
“ไม่ไกล ไปเดี๋ยวขับไปส่ง ขึ้นรถที่ไหน” จามรีถามเสียงเรียบ
“มีเพื่อนไปด้วยหลายคนค่ะ ป้องด้วยรออยู่ข้างล่าง” สายศิลป์หยุดยืนนิ่งไม่ยอมเดินตามคนที่พยักหน้าให้
“นายป้องไปเที่ยวบ้านเธอกันหรือ” จามรีถาม
“ไปทาสีโรงเรียนกันค่ะ เหมือนออกค่ายอาสา” สายศิลป์บอกแล้วมองดูนาฬิกาที่ข้อมือของจามรี
“ไปกี่คน” จามรีถาม
“แปดค่ะ”
“แปดคน รถตู้คันเดียวคงหมดสิ” จามรีรำพึงออกมาแล้วทำท่าคิด
“จะไปรถตู้โดยสารกันค่ะ ขอตัวได้ไหมคะ เดี๋ยวไม่ทันรถ” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ
“ไปด้วยสิ ไม่รู้จะไปไหนหยุดตั้งสามวัน” จามรียืนอมยิ้มให้กับคนที่ยืนจ้องเขม็งเมื่อได้ยิน
“ไปด้วย ไหวหรือคะ ลำบากนะ” สายศิลป์บอก
“แค่ทาสี ลำบากตรงไหน ไม่ใช่คุณหนูนะ” จามรีพูดต่อปากต่อคำ
“จุ้นสมชื่อเลย” สายศิลป์รำพึงออกมาเบาๆ
“นินทา เดี๋ยวไม่ได้ลายเซ็นผ่านการฝึกงานนะ จะบอกให้” จามรีแกล้งพูดขู่คนที่ทำหน้างอใส่และกำลังทำท่าคิด
“จะไปได้อย่างไรคะ เพราะกำลังจะไปอยู่แล้ว คุณจุ้นไม่ได้เตรียมตัว” สายศิลป์หาเหตุผลและอิดออด เมื่อจามรีเอ่ยปากขอตามไปด้วย
“เสื้อผ้ามีแล้ว เดี๋ยวเอารถตู้บริษัทไปพร้อมคนขับ มีสมุดหนังสือปากกา ดินสออยู่ในห้องเก็บของพร้อมเอาไปบริจาค ไปด้วยได้
หรือยังทีนี้”
“พร้อมขนาดนี้ ถ้าไม่ให้ไป สงสัยต้องเรียนซ้ำอีกเทอมแน่” สายศิลป์บ่นพึมพำ จามรียิ้มๆ รู้สึกมีชัยชนะขึ้นมาเล็กน้อย
“ไปตามเพื่อนขึ้นมาที่ห้องเก็บของ เดี๋ยวเราจะไปเลือกของไว้ให้เสร็จแล้วหาอะไรรองท้องก่อนค่อยออกเดินทาง เพราะไปตอน
นี้รถติดแน่นอนออกค่ำหน่อยนะ หาอะไรทานกันก่อนจะได้ไม่หิว” สายศิลป์ยิ้มให้ เพราะจามรีสามารถคิดและจัดการวางแผนได้ในเวลา
เพียงไม่กี่นาที แถมยังเอาใจใส่ดูแลไปเสียทุกเรื่องและแทบจะไม่เปิดช่องให้หาเหตุปฏิเสธได้เลย
“ออกค่ายนักศึกษา คุณจุ้นไหวแน่นะคะ กลับมาไม่สบายล่ะก็”
“ก็ไปเฝ้าไข้สิ นอนโรงพยาบาล เธอก็ไปเฝ้าถือเป็นความรับผิดชอบ” จามรีหัวเราะ
“อ้าวแบบนี้ก็แย่สิ เตรียมยาประจำตัวไปให้พร้อมด้วยนะคะ เพราะพวกอาร์ตน่ะ ไม่มีใครพกยาหรอกนะ” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ
“เรามีกระเป๋ายาเตรียมไปเผื่อ ไปตามเพื่อนได้แล้ว เร็วๆ”
“ค่ะ” สายศิลป์พนมมือไหว้แล้วทำท่าจะวิ่งไปที่ลิฟต์ แต่จามรียังคงรั้งตัวเอาไว้เหมือนเดิม
“กระเป๋าจะแบกไปทำไม หนักเปล่าๆ เอามานี่”
“จุ้นจริงๆ” สายศิลป์พูดงึมงำแต่ยิ้มๆ กับคนที่ดึงกระเป๋าไปถือเอา ไว้จนได้และเริ่มแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง
จามรีจัดการยกของมากองไว้ เพราะที่สำนักงานมีสิ่งของที่พนักงานนำมารวมๆ เอาไว้เพื่อเอาไปบริจาคและยังมีของที่ปยุดามักจะจัดเตรียมเอา ไว้เสมอ เพราะเวลาไปทำบุญปยุดาจะมีอุปกรณ์การเรียนสำหรับเด็กติดรถไปด้วย กลุ่มเพื่อนๆ ของสายศิลป์ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มกำลังพนมมือไหว้ทักทายจามรีและบอกขอบคุณในความกรุณาที่จัดการเรื่องรถให้ แถมยังมีอุปกรณ์สำหรับนำไปบริจาคให้กับทางโรงเรียนอีกด้วย
“มีอะไรที่คิดว่าขาดหรือเปล่าที่โรงเรียนน่ะ” จามรีถาม สายศิลป์ยิ้มเพราะนึกไปถึงปยุดาซึ่งเคยไปช่วยงานที่วัดแถวบ้านปก
ป้อง สองคนที่เป็นญาติเรื่องการทำบุญหรือเรื่องการช่วยเหลือคนอื่นท่าทางจะคิดเหมือนกัน
“แค่นี้ ก็เยอะแล้วค่ะ”
“ไม่เห็นเยอะเลย เราไม่ได้ลำบากอะไรนะ อยากช่วยจริงๆ” จามรียิ้มให้กับคนที่ทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ขาดจริงๆ เห็นจะเป็นห้องน้ำค่ะ แต่พวกอาร์ตไม่มีทุนพอที่จะช่วยได้เพราะหลายสตางค์อยู่” สายศิลป์บอก
“ถ้าอย่างนั้นไปจัดการรายละเอียดมา ดูราคากัน ให้ทางครูเป็นคนดูแลเรื่องจัดหาช่างให้ได้มั้ง เพราะสามวันที่ไปแค่ทาสีก็คงจะ
หมดเวลาแล้วล่ะ” จามรีบอก
“ขอบคุณมากๆ นะคะ สำหรับทุกอย่าง”
“ขอบคุณทำไม ทำบุญได้บุญอยู่แล้ว ไม่ได้ทำให้เธอสักหน่อย”
“กวนอีกแล้ว” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ
“ชอบกวนใจ แต่คนโดนกวนมักบอกว่า กวน นะ” จามรีหัวเราะ สายศิลป์ก็เช่นกัน
ปกป้องหันมายิ้มให้จามรี เมื่อทุกคนเงียบไปเพราะนอนหลับกันในระหว่างการเดินทาง สายศิลป์หลับง่ายเสมอและล้มพับอยู่บนตักของจามรี ปกป้องยิ้มเพราะทำให้นึกถึงกรวิกากับปยุดาขึ้นมา จามรียิ้มให้กับปกป้องเช่นกัน เอามือลูบเบาๆ ไปที่ศีรษะของสายศิลป์อย่างเอ็นดู หลับเป็นเด็กเลยก็ว่าได้ จามรียิ้มจ้องมองคนที่หลับตาพริ้มอยู่ที่ตัก ไม่รู้หลับได้อย่างไร เพราะรถสะเทือนอยู่พอสมควร อาจจะเหนื่อยจากการทำงาน เด็กหนุ่มสาวหลับเอาแรง หลังจากรับประทานอาหารค่ำและได้พูดคุยกันพักใหญ่มีเพียงปกป้องที่หันมามองดูเป็นพักๆ ปยุดากับกรวิกาเคยพูดถึงชายหนุ่มคนนี้ให้ฟังอยู่บ้าง ท่าทางคงจะเป็นหัวขบวนของเพื่อนๆ ไม่น่าแปลกใจนักที่ทำให้ กรวิกาเอ็นดูและส่งเสียเล่าเรียน จนเกือบจะจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยในอีกไม่นานนัก
“นอนเถอะ” จามรีพูด เมื่อเห็นสายศิลป์ลืมตาและทำท่าจะลุกขึ้น
“ไม่เมื่อยหรือคะ” สายศิลป์ยิ้มอายๆ ไม่รู้ว่าล้มพับมานอนอยู่ที่ตักของจามรีนานเท่าไรแล้ว จามรีส่ายหน้าแล้วยิ้มให้ สายศิลป์
ยิ้มสัมผัสได้ถึงบางสิ่งผ่านมือที่แสนจะนุ่มนวลซึ่งยังลูบเบาๆ ที่ศีรษะ จนกระทั่งหลับไปอีกครั้งในเวลาไม่นานนัก
“ไปนอนโรงแรมในเมืองดีกว่าไหมคะ” สายศิลป์ถาม เมื่อเดินทางมาถึงบ้าน ซึ่งกลุ่มเพื่อนๆ กำลังขึ้นไปทักทายบิดาและมารดาของตัวเอง
“ตื่นขึ้นมา ก็ไล่กันเลย” จามรีบอก
“อยากให้สะดวกสบายมากกว่าค่ะ”
“บ้านเธอไม่สะดวกสบายตรงไหน พ่อเป็นกำนันด้วยนะนั่น” จามรีหัวเราะเมื่อมองเห็นป้ายซึ่งติดเอาไว้ว่า เป็นที่ทำการของ
กำนัน
“ขึ้นไปดูก่อนก็ได้ค่ะ เผื่อเปลี่ยนใจ” สายศิลป์บอก
บิดาและมารดาของสายศิลป์ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี โดยจามรีได้กำชับกับเจ้าของบ้านไม่ให้บอกว่า ตัวเธอนั้นเป็นเจ้านาย
ทำให้สายศิลป์บอกกับบิดาและมารดาไปว่า จามรีเป็นรุ่นพี่ซึ่งสายศิลป์ไปฝึกงานอยู่ บ้านช่องถือว่าใหญ่โตในความรู้สึกของจามรี จน
ทำให้นึกถึงคนที่ชอบขยันหางานพิเศษเพื่อเป็นค่าขนม ซึ่งจริงๆ คงจะเป็นเงินเก็บเสียมากกว่า หนึ่งคืนที่ผ่านมาจามรีหลับสนิทออกจะแปลกใจอยู่เหมือนกัน เพราะต่างที่ต่างทางแต่กลับนอนหลับได้อย่างสบาย หรืออาจจะเพราะเหนื่อยจากการงานและการเดิน ทางด้วย มื้อเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็วตามประสาของหนุ่มสาวที่ยังอยู่ในช่วงวัยที่เรียกได้ว่า กำลังกิน กำลังนอน ท่าทางดูจะคุ้นเคยกับบ้านนี้ดีสังเกตได้จากการพูดคุยกับผู้ใหญ่และช่วยเหลือทุกอย่าง ตั้งแต่ตื่นมาช่วยทำอาหารเช้าก่อนที่จะช่วยกันเก็บล้างและกำลังพร้อมจะไปจัดการงานที่เป็นเป้าหมายของการมาในครั้งนี้
จามรีกำลังพูดคุยกับครูของโรงเรียน ซึ่งกลุ่มหนุ่มสาวได้แบ่งหน้าที่กัน และกำลังเริ่มลงมือปรับปรุงซ่อมแซมก่อนที่จะทาสีให้
กับโรงเรียนที่ได้รับรู้มาว่า เป็นโรงเรียนในวัยเยาว์ของสายศิลป์
“เด็กยากจนเยอะกว่าค่ะ” ครูบอกกับจามรี
“โรงเรียนค่อนข้างเล็กนะคะ งบคงมาน้อยด้วย” จามรีถาม
“ถึงต้องอาศัยลูกศิษย์ลูกหาเก่าๆ พาเพื่อนๆ มาช่วยนี่แหละค่ะ”
“เด็กโตมากับโรงเรียนที่ดี ครูที่ดีด้วยล่ะคะ ครู” จามรียิ้มให้กับกลุ่มหนุ่มสาวที่ทำงานกันอย่างสนุกสนาน มีเสียงพูดคุย เสียง
หัวเราะตลอดเวลาของการทำงาน จามรีไม่คิดว่า จะมีโรงเรียนขนาดเล็กในจังหวัดซึ่งไม่ได้อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ มากนัก เมื่อพูดคุย
เรื่องการจัดการในหลายๆ ส่วน ซึ่งทางครูจะช่วยดำเนินการให้ จามรีจึงมารวมกลุ่มกับหนุ่มสาว สายศิลป์ส่งแปรงพร้อมกับกระป๋องสีให้กับจามรีและสอนการทาสีให้ แม้แต่คนขับรถที่ขับรถตู้มาให้ยังอาสามาช่วยกลุ่มหนุ่มสาวทำงาน
“คราวหน้าออกค่าย อย่าลืมหมวกนะคะ” สายศิลป์บอกและถอดหมวกของตัวเองสวมใส่ให้กับจามรีที่ขยับตัวหนี
“ไม่ได้เอามา ก็ไม่ต้องใส่สิ” จามรีพูดขึ้น
“เดี๋ยวไม่สบาย ขี้เกียจรับผิดชอบ ใส่ไว้ก่อน เดี๋ยวกินข้าวกลางวันแล้ว อาร์ตไปเอาของพ่อมาใส่ได้ค่ะ นะ ใส่เถอะ” สายศิลป์
พยักหน้าให้จามรียิ้มจางๆ จ้องมองดวงตาคู่สวย ซึ่งยิ่งสวยมากขึ้นเมื่อได้เห็นความอ่อนโยนผ่านแววตาที่มีความห่วงใยให้อย่างเห็นได้
ชัด
“งั้นแลกที่กัน เธอเข้ามาในร่ม เราไปยืนตากแดดให้” จามรีขยับไปยืนตรงที่เริ่มมีแดดส่องและเบียดไหล่สายศิลป์ให้ขยับเข้ามาด้านใน ซึ่งทำให้เจ้าตัวหัวเราะออกมา
“อาร์ตเด็กบ้านนอก ไม่กลัวแดด และไม่กลัวดำด้วยนะคะ ดูสิตัวดำอยู่แล้ว” สายศิลป์พูดยิ้มๆ
“สวยดีออก” จามรีพูดยิ้มๆ และหันไปสนใจกับการทาสี ซึ่งท่าทางเก้ๆ กังๆ ในตอนแรก แต่ไม่นานนักเมื่อเริ่มคุ้นเคยก็สามารถ
ทำได้สบาย
สองวันที่ผ่านมาทำเอาเหนื่อยสาหัสอยู่เหมือนกันสำหรับจามรี แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา คนช่างสังเกตยิ้มๆ นึกชื่นชมความอดทน ไม่คิดว่าจามรีจะสู้และอยู่ช่วยเหลือจนงานเสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีในเวลาเพียงแค่สองวันทั้งๆ ที่วางแผนเอาไว้ว่าน่าจะสามวัน สายศิลป์เดินตามคนที่เดินมายืนบิดตัวและขยับแขนอยู่เพียงลำพัง
“ไหล่จะหลุดหรือเปล่าคะ” สายศิลป์อมยิ้มมองดูจามรีที่ยิ้มแหยๆ ให้เพราะไม่คิดว่าจะมีใครเดินตามมา
“ปวดไหล่เอาเรื่องเหมือนกันนะ” จามรีบอก
“เดี๋ยวทานข้าวแล้วทานยาสักเม็ดก็ดีขึ้นค่ะ” สายศิลป์ยิ้มๆ กับคนที่หน้าตามอมแมมต่างกับวันทำงานที่จะดูสวยเนียบอยู่เสมอ
“ต้องกินยาด้วยหรือ” จามรีถาม
“จะได้ไม่ปวดเวลานอนไงคะ เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับใช่ไหมล่ะเห็นขยับตัวบ่อยๆ” สายศิลป์ยิ้มมองสบตากับคนที่ไม่ยอมมอง
สบตาด้วย สายศิลป์นำผ้าผืนที่ห้อยคออยู่มาซับเหงื่อให้จามรี ซึ่งขยับถอยออก ไปเล็กน้อย
“มอมเป็นแมวเลย เอามือป้ายหน้าล่ะสิท่า” สายศิลป์พูดคล้ายดุคนที่เป็นเด็ก แล้วยิ้มๆ กับคนที่ยิ้มน้อยๆ ให้ ก่อนที่ริมฝีปาก
เรียวสวยนั้นจะมาทาบทับเพียงชั่วไม่กี่วินาที สายศิลป์จึงถอยห่างออกมาจ้องมองจามรี ซึ่งรู้สึกผิดที่ทำลุ่มล่ามกับคนที่คงไม่ค่อยจะพอใจนัก
“เราขอโทษ” จามรีบอกและถอนใจ สายศิลป์เดินเข้าไปจูบอย่างอ่อนหวาน น่ารักเสียจนจามรีอยากจะรั้งตัวเอาไว้แต่ไม่ทันเสียแล้ว เพราะ เจ้าตัวถอนริมฝีปากออกและขยับออกไปยืนห่างกว่าเดิมเสียอีก
“อาร์ตมีแฟนอยู่แล้วนะคะ เอาเป็นว่า จูบคืนไปแล้ว เราหายกันแล้วเนอะ ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะนะ” สายศิลป์รู้สึกกังวลใจ แต่ไม่รู้ว่ากังวลกับเรื่องไหนและทำไมถึงต้องจูบคืน การบอกว่ามีแฟนแล้วนั้นบอกกับใคร กันแน่ กับตัวเอง หรือกับคนที่ยืนนิ่งท่าทางยังตกตะลึงกับสัมผัสที่ได้รับไป แต่เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเอง สายศิลป์จึงรีบเดินไปตามเสียงนั้น ไม่อยากให้ใครมาพบว่าตัวเองอยู่กับจามรี โดยเฉพาะเจ้าของเสียงที่ได้ยินซึ่ง คงกำลังตามหาตัวเธออยู่
“มาเอาป่านนี้ ตอนงานเสร็จเนี่ยนะ” สายศิลป์บ่นพึมพำแล้วเข้าสวมกอดสุวีร์ซึ่งหัวเราะกับคนช่างต่อว่า
“แล้วหายเหนื่อยไหมล่ะ มาให้กอดตอนนี้น่ะ”
“เกือบหาย มาได้อย่างไรค่ะ เห็นบอกจะกลับบ้าน” สายศิลป์ถามและพาเดินไปนั่งอีกด้านหนึ่งบริเวณด้านข้างอาคารเรียน
“คิดถึงคนแถวนี้น่ะสิ เลยขับรถมา ขากลับจะได้นั่งกลับสบายไม่ ต้องนั่งรถตู้โดยสาร” สุวีร์พูดยิ้มๆ รอยยิ้มของสายศิลป์จางลง
เล็กน้อย
“มีอะไรทำไมยิ้มแห้งขนาดนั้นล่ะ ไม่ดีใจหรอกหรือที่พี่มา” สุวีร์ถามเสียงอ่อยๆ สายศิลป์จึงเริ่มเล่าเรื่องของจามรีที่มาช่วยเหลือ รวมถึงจัดรถตู้มาให้เพื่อความสะดวกสบายของทุกคน สุวีร์ยิ้มน้อยๆ มองดูเด็กๆ ที่กำลังเดินมาทางสนามกว้างๆ ซึ่งเป็นสนามเด็กเล่น
จามรีเดินไปนั่งอยู่ข้างๆ ครู ซึ่งรับหน้าที่หลังจากได้พูดคุยกับจามรีไปเมื่อวาน เพียงครู่หนึ่งรถกระบะซึ่งเป็นรถของร้านที่ขายชุด
เสื้อผ้าสำหรับนักเรียนได้เข้ามาจอด เด็กๆ ตื่นเต้นดีใจรีบหันไปมอง กลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกันได้เข้าไปช่วยเหลือ เพื่อแจกจ่ายชุดนัก
เรียน รวมถึงรองเท้าที่ได้สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับเด็กๆ ที่บางคนถึงกับกอดเอาไว้ยังกับเป็นตุ๊กตาเลยทีเดียว เสียงพูดคุย เสียงตะโกน เสียงหัวเราะของเด็กๆ ทำให้กลุ่มเพื่อนของสายศิลป์ท่าทางจะหายเหนื่อยกับงานทาสีเลยก็ว่าได้ มัวแต่มองคนโน้นคนนี้ สายศิลป์มองไปทางที่จามรีนั่งอยู่เมื่อครู่ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าหายไปทางไหน
“คนมีเงินหน้าใหญ่ ทำอะไรก็ได้เนอะ” สุวีร์พูดขึ้นทำให้สายศิลป์หันมามองคนที่ยิ้มจางๆ มองไปทางสนามเด็กเล่นที่ยังคงเจี้ยว
จ้าวกันอยู่
“คนมีเงิน ก็หน้าใหญ่เป็นปกตินะคะ แต่กำลังใจก็ดีนะ” สายศิลป์กุมมือสุวีร์เอาไว้ แต่เมื่อชำเลืองมองไปทางด้านหลัง จึงเห็นจามรีเดินลิ่วๆ ตรงไปที่บ้านของเธอ
สายศิลป์เดินตามจามรีมา ปล่อยให้สุวีร์อยู่ช่วยเพื่อนๆ ของตัวเองแจกของอยู่กับเด็กๆ และตามมาทันพอดีกับที่จามรีกำลังจะขึ้นรถตู้
“ไปไหนคะ” สายศิลป์ถาม
“ไปนอนในเมือง” จามรีบอกและขึ้นไปนั่งในรถ ซึ่งสายศิลป์ตามขึ้นไปนั่งอยู่ข้างๆ
“มีอะไร ไม่สบายหรือเปล่า” สายศิลป์ทำท่าจะเอามือแตะหน้าผากแต่ถูกจามรีปัดมือออก
“เปล่า เราไม่ได้หน้าใหญ่อะไรนะ เราไม่ได้อยากอวดอะไรด้วย เราแค่อยากให้ในสิ่งที่เราให้ได้ อีกอย่างเงินนั่นน่ะไม่ใช่จากเราคนเดียว จากกรกับยุ่งด้วย เราโทรฯ คุยกับยุ่ง กรกับยุ่งเลยให้ลองคุยกับครูดู แล้วเลยเป็นอย่างที่เธอเห็นเรื่องเสื้อผ้า เรื่องรองเท้า อ้อเราให้ทุนอาหารกลางวันกับครูไว้ด้วยนะและที่เราบอกว่าเราไม่ได้หน้าใหญ่ เพราะทุกอย่างที่เราทำๆ ในนามของกลุ่มนักศึกษาไม่ใช่ตัวเรา แค่นี้แหละไปล่ะเหนื่อยแล้ว อยากไปนอนสบายๆ บ้าง” จามรีพูดโดยไม่ยอมมองสบตากับสายศิลป์ที่รู้สึกได้เลยว่าอยากจะตบปากตัวเองที่พูดอะไรไม่ทันได้คิด จนเจ้าตัวมาได้ยินเข้าและคงไม่ค่อยพอใจนัก
“กินข้าวก่อน ค่อยไปก็ได้นี่” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ ไม่รู้ทำไมถึงได้ปากหนักไม่ยอมพูดคำว่า ขอโทษออกไป
“ไม่เป็นไร เราหน้าใหญ่ไปหาของกินดีๆ เอาที่โรงแรมก็ได้ ฝากดูแลเรื่องเด็กๆ กับเรื่องสร้างห้องน้ำด้วยแล้วกัน แจ้งรายละเอียดเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย เราจะจัดการให้ หรือไม่บอกกับกรหรือยุ่งก็ได้” จามรีบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันทั้งที่เป็นคนมีน้ำเสียงที่ฟังดูหนักแน่นอยู่เสมอมา แต่กลับมาเสียเอาตอนที่พูดกับคนที่ยังคงจ้องมองอยู่
“อาร์ตไม่ได้คิดเรื่อง” สายศิลป์ถอนใจ
“ลงไปได้แล้ว เราจะไปแล้ว” จามรีพูดเสียงเข้ม
“ไม่ลง ฟังก่อนสิ” สายศิลป์บอก
“ต้องฟังอะไรอีก ในเมื่อเธอก็พูดสิ่งที่เธอคิดออกมาให้ได้ยินอยู่แล้ว ไปเถอะเธอไม่ได้ผิดอะไรกับการพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด อ้อ
บอกน้องๆ ด้วยว่า พรุ่งนี้รถตู้มารับกลับตามเวลาที่เราคุยกันไว้นะ ลงไปเถอะ เราจะได้รีบกลับ ไปพักผ่อน” จามรีบอก แต่สายศิลป์ยัง
คงนิ่งงันอยู่
“คืออาร์ต”
“ออกรถได้เลยค่ะ” จามรีบอกกับคนขับที่หันมามองสายศิลป์ ซึ่งยอมลุกขึ้นและเดินลงไปแต่โดยดี
“ไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย ทำไมไม่ฟังกันบ้าง” สายศิลป์พูดเสียงอ่อยๆ มองดูรถตู้คันที่จามรีนั่งไปจนลับตา