ลลินถูกลากตัวเข้าไปหลังม่านอีกมุมหนึ่งของโรงแรม หญิงสาวทั้งดิ้นทั้งพยายามร้องให้คนช่วยก็ไม่เป็นผล เมื่อรอดพ้นจากสายตาคนตั้งใจล็อกคอก็ยอมปล่อย
หลังจากปลายเท้าวางเหยียบพื้นพรมเต็มเท้า แทบจะพูดได้เต็มปากว่าเธอเพิ่งได้เดินเต็มเท้าก็เวลานี้ รองเท้าของเธอหลุดออกจากเท้าตั้งแต่ตอนอยู่เชิงบันได แล้วคนลากตัวเธอมาไม่ได้ใส่ใจที่จะเก็บมันมาด้วยสักนิด
“ลากฉันออกมาทำไม” หญิงสาวแหวเสียงดังในทันทีที่ได้รับอิสระ หันมาประจันหน้ากับคนที่ลากตัวเธอออกมาอย่างเอาเรื่อง
“ช่วยแล้วยังโดนด่าซ้ำอีก” ปานดาวโอด
“ช่วยอะไร”
“ยังมีหน้ามาถามอีก เจ๊ไปทำอะไรเขา แล้วรู้ไหมว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”
“มันสมควรแล้ว หมอนั่นน่าจะคอหักมากกว่าเสียอีก”
“พูดดีไปเถอะ ถ้ารู้ว่าเขาเป็นใครจะพูดไม่ออก”
“แล้วเธอรู้ได้อย่างไรละ” ลลินถามกลับทันที
“ปานได้ยินเค้าคุยกัน คนที่พี่ลินทำร้ายร่างกาย เขาเป็นเจ้าของจีแอลกรุ๊ป” ลลินกำหมัดแน่น เธอไม่ทำแต่ถูกยัดข้อหาตั้งแต่ยังไม่สอบถาม
“ฉันไม่ได้ทำร้ายเขา”
“แล้วเขาตกบันไดลงไป พี่คิดว่าใครเขาจะเชื่อ คนดังระดับผู้บริหารจีแอลกรุ๊ปขนาดนั้น”
ลลินอ้าปากค้างตาโต จีแอลกรุ๊ปคือบริษัทที่จะให้งาน แล้วคชาก็เคยพูดอยู่บ่อยๆ เรื่องการต้อนรับเขาเป็นอย่างดี ไม่น่าเชื่อดวงเธอจะตกถึงขั้นนี้
“อย่ามาพูดเล่นน่า” ลลินยังไม่เชื่อ
“เรื่องจริง!” ปานดาวย้ำหนัก “ไม่อย่างนั้นปานไม่ลากพี่ลินออกมาหรอก ยังไปยืนเป็นเป้านิ่งรอเขาอยู่ได้”
เมื่อรู้ความจริงแววตาของลลินก็มีแววตื่นตระหนกกังวล คนระดับนั้น แล้วยิ่งมางานระดับนี้ คนจัดงานก็ต้องรับผิดชอบ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เธอจะบ่ายเบี่ยงเลี่ยงความผิด
หญิงสาวทอดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ อย่างเหนื่อยอ่อน นึกถึงสิ่งที่เธอจะต้องตั้งรับ
“กลัวเขาขึ้นมาแล้วซิ”
“เปล่า! พี่แค่ป้องกันตัวเอง หมอนั่น...จู...” ลลินเผลอหลุดปากบอก แต่ก็ยังยั้งเอาไว้ได้ทัน
“พี่ว่าอะไรนะ เขาทำอะไรพี่”
“ไม่มีอะไรมากหรอก”
“แต่หน้าพี่ไม่ได้บอกอย่างนั้น พี่หน้าแดง พี่อาย” ปานดาวบอกอย่างที่ตาตัวเองเห็น ลักษณะของลลินแปลกตาไปมาก
“บอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ” ลลินขึ้นเสียงกลบเกลี่ยนความรู้สึกทั้งหมด เห็นอีกคนจริงจังปานดาวก็ยอมแต่โดยดี ทั้งที่ความอยากรู้ยังอัดแน่น
“พี่จะทำอย่างไรต่อ”
“กลับบ้านสิ” ลลินตอบทันที
“ปานหมายถึงเรื่องที่ผ่านมา”
“พี่ก็หมายถึงเรื่องที่ผ่านมา เราทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ารอ แล้วพี่ก็มั่นใจว่าพี่ไม่ผิด”
“แล้วถ้าเขาเป็นอะไรมากละ” ปานดาวยังซักต่อ
“เราก็ต้องรออยู่ดี ถ้าตอนนี้หมอนั่นเข้าห้องไอซียู เราก็คงไม่มีสิทธิเข้าใกล้ หรือว่าถ้าเขาตายไป เราก็แค่รอตำรวจมาตามที่บ้าน หรือรอหมายศาลมาเชิญตัว” ลลินส่ายหน้าเหนื่อย เปรียบเทียบให้อีกคนฟัง
“แล้วเราต้องรออีกถึงเมื่อไร”
“พี่ก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ตอนนี้ปานไปเก็บร้องเท้าให้พี่ก่อน”
“อ้าว! รองเท้าไม่ได้ใส่มาหรือ” ปานดาวถามอย่างแปลกใจก้มลงมองที่เท้าของลลิน
“ก็ถอดมันตั้งแต่มีเรื่องแล้ว”
ปานดาวพยักหน้ารับรู้แล้วเดินออกไปทันที เมื่อครู่คงมีเหตุการณ์บางอย่างที่ปลุกต่อมเดือดของลลิน ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่รุนแรงถึงขั้นลงมือลงไม้อย่างนี้
หลังจากออกไปนาน ปานดาวก็หิ้วรองเท้าแตะของโรงแรมกลับมาให้ลลิน ร้องเท้าคู่สวยที่เธอเพิ่งสวมอย่างสง่าเมื่อครู่หายไปอย่างไร้ร่องรอย คงจะมีใครสักคนเก็บไป
“รองเท้าคู่นั้นไม่รู้ใครเก็บไป แพงด้วย” ปานดาวโอด เธอเป็นคนจัดหาและซื้อมันมาให้ลลินเอง แต่ถ้าเกิดหายและได้ใช้งานเพียงครั้งเดียวก็น่าเสียดายและไม่คุ้มค่า
“พนักงานโรงแรมเก็บหรือเปล่า”
“ไม่มีใครเห็นเลย ผู้จัดการก็ไม่อยู่ ตามไปเยี่ยมคนป่วยที่โรงพยาบาล”
“อืม” ลลินพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เรากลับกันเถอะ”
“พี่จะแวะไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลก่อนไหม”
“เราจะไปในฐานะอะไร” ลลินถามเสียงเข้มหันไปจ้องตาปานดาว เริ่มหงุดหงิดให้กับความเจ้ากี้เจ้าการของปานดาว ตั้งแต่เริ่มต้นด้วยชุดที่ทำให้เธอไม่มั่นใจ รองเท้าที่เดินไม่สะดวก และการแต่งหน้าที่เธอไม่คุ้นชิน
“กลับบ้านก่อนก็ได้” ปานดาวบอกเสียงอ่อย เมื่อเห็นสายตาเอาเรื่องไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเธอก็ไม่กล้าเสี่ยง
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูห้องพร้อมกับเสียงประตูที่เปิดออก คนป่วยบนเตียงหันไปมองตามต้นเสียงหน้าห้อง แมทซ์โค้งให้คนมาใหม่อย่างเคารพ รู้สึกผิดที่ทำพลาดอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นหรือแมทซ์” นางอลันดาถามแมทซ์เสียงเย็น นางรักเขาเหมือนลูก เพราะเขาเกิดมามีชีวิตเหมือนเธอ ความเห็นอกเห็นใจและความรักจึงมีมากขึ้น
แมทซ์เป็นเด็กกำพร้า คงจะเป็นลูกของใครสักคนลูกน้องมาเฟียในรัสเชีย เหตุปะทะที่คร่าชีวิตผู้ใหญ่ไปหมด แต่ในอีกมุมนางเหลือบไปเห็นเด็กน้อยนั่งตัวสั่นเทิ้มหลบอยู่อย่างหวาดกลัว อำนาจที่แลกมาด้วยความสูญเสียของหลายครอบครัวที่ต่อต้าน
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นนางอลันดาขอร้องให้สามีหยุดวงจรชีวิตแบบนั้นลง ขอร้องให้เขาย้ายออกมาจากรัสเชียเพื่อตั้งต้นชีวิตใหม่ ปล่อยให้การเข่นฆ่าอย่างโหดร้ายไว้ข้างหลัง
จีแอลกรุ๊ปเกิดขึ้นหลังจากพวกเขาย้ายครอบครัวออกมาจากรัสเซีย สร้างคฤหาสน์กลางกรุงเบลเกรดให้เป็นอาณาจักรใหม่ กับลูกชายสองคน อลันกับแมทซ์ แม้ทั้งคู่จะอายุห่างกันมากถึงสิบปี แต่อลันก็รักและเอ็นดูน้องนอกไส้คนนี้มาก
ทุกคนในบ้านพยายามลดความหวาดกลัวในใจของแมทซ์ลงด้วยความรัก ปลุกปั้นให้เขาเป็นเสือผงาดเคียงคู่พี่ชายต่างสายเลือด แต่ยิ่งนานวันพวกเขาก็ยิ่งเห็นรอยแยกห่างออกไป แมทซ์ไม่เหมาะกับงานแบบนี้ แต่พวกเขายังไม่กล้ายอมรับความจริงและเฝ้ารออย่างมีความหวัง
“ผมขอโทษ”
“แม่ไม่ได้อยากได้คำขอโทษ แม่แค่อยากรู้เรื่องราว”
“ผมผิดเอง” คนบนเตียงร้องห้ามเมื่อเห็นสีหน้าของแมทซ์
นางอลันดาหันไปมองหน้าลูกชายบนเตียงอย่างรอคำตอบ แววตาแข็งกร้าวนิ่งงัน นางโกรธที่พวกเขาไม่เคยเชื่อฟัง ทั้งเสียใจราวหัวใจจะหลุดออกจากร่าง หัวอกของคนเป็นแม่ที่เห็นลูกเจ็บต่อหน้าต่อตา ความรู้สึกสูญเสียที่นางกลัวที่สุด และหนีมาตลอดชีวิต
“ถ้าแม่จะโทษที่แมทซ์ไม่อยู่กับผม ก็โทษผมคนเดียวเถอะครับ ผมให้แมทซ์ไปทำงานให้”
“แม่ไม่ได้โทษแมทซ์ เพราะรู้ดีว่ายังไงแมทซ์ก็ไม่ทำเกินจากที่ลูกสั่ง แต่แม่กำลังโกรธลูก”
นางอลันดามองหน้าลูกชายอย่างรู้สึกไม่ดี แววตาของนางตื่นตระหนกและกลัวอย่างที่ชายหนุ่มสองคนในห้องเพิ่งเคยมีโอกาสได้เห็นเป็นครั้งแรก
อลันรู้ความคิดของมารดาในทันที ความปลอดภัยเป็นสิ่งเดียวที่มารดาของเขาเป็นกังวล ความกังวลที่เขาไม่เคยได้ล่วงรู้ตื้นลึกหนาบาง รู้เพียงว่านางกลัว กลัวจะสูญเสียเขาไปเหมือนพ่อของเขา
“ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“ลูกจะรอให้เป็นมากกว่านี้ ให้แม่ขาดใจตายไปตรงหน้าอย่างนั้นหรืออลัน”
“แม่จะให้ผมทำยังไง”
“กลับอังกฤษกลับแม่คืนนี้ หยุดธุรกิจทุกอย่างที่เมืองไทย”
“ถ้าอย่างนั้นแม่ก็บอกเหตุผลผมก่อนว่าทำไมแม่ถึงห้ามผมมาที่เมืองไทย”
“มันผ่านมาแล้ว แม่ไม่อยากพูดถึงมันอีก แม่ขอนะอลัน”
“ถ้าแม่ยิ่งปิดบัง ผมก็ยิ่งอยากรู้ ผมจะเดินหน้าสืบความจริงทุกอย่างเอง มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่” อลันย้ำเสียงหนัก พลิกตัวหันไปอีกฝั่ง ไม่สนใจอาการหนักใจของมารดาสักนิด
“อลัน!” นางอลันดาเสียงเข้มขึ้น ลองลูกชายมีอาการแบบนี้คงยากที่จะห้าม นางเดินอ้อมไปตรงหน้าลูกชาย มองคนบนเตียงอย่างเอาเรื่อง ต่อให้ต้องลากกลับเธอก็ยอม
“แม่มีข้อเสนออะไรดีๆ มั้ยละ” อลันถามอย่างรู้ทัน ต่อให้มารดาจะงัดอะไรมาอ้าง วันนี้เขาต้องง้างปากมารดาให้บอกความจริงให้ได้
“ไม่มี”
“ถ้าอย่างนั้นแม่ก็กลับอังกฤษไปเถอะ ผมต้องอยู่ทำงานต่อ”
“แต่ลูกแขนหัก แล้วแม่ก็ไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ”
ใช่...มันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้มีคนจงใจให้เป็นแบบนี้ แต่เขาก็ปริปากบอกมารดาไม่ได้เหมือนกัน
“แม่อย่ามองโลกในแง่ร้ายนักเลย หมดสมัยมาเฟียยุคมืด ตามเข่นฆ่ากันเพื่อผลประโยชน์กันแล้ว ทุกวันนี้ธุรกิจวัดกันที่ชั้นเชิงความสามารถ แล้วผมก็ไม่ได้ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตระกูลของเรา แม่ไม่ต้องห่วงว่าชีวิตผมจะเหมือนพ่อ”