รัชสมัยจักรพรรดิหยงเล่อ
จวนอิ๋งชวนโหว
จวนขนาดพื้นที่มหึมามีเนื้อที่นับร้อยหมู่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงเป่าจิงในย่านเศรษฐกิจสำคัญ ตัวจวนสร้างหันหน้ามองเห็นพระราชวังกู้กงที่เพิ่งจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ได้ไม่นานและมีการเฉลิมฉลองพระราชวังหลวงแห่งใหม่อย่างยิ่งใหญ่ไปทั่วทั้งแผ่นดินเมื่อสามเดือนก่อน จากที่ตั้งของจวนสามารถเห็นพระราชวังอันยิ่งใหญ่นี้ได้อย่างชัดเจน
ในยามนี้ลมกรรโชกแรงกำลังพาดผ่านและพัดพาความหนาวเย็นยะเยือกเข้าหาตัวจวนอยู่เป็นระยะๆ กระแสลมหนาวที่พาดผ่านเข้าสู่เมืองหลวงในยามนี้ บ่งบอกให้ล่วงรู้ว่าอีกไม่นานหิมะแรกของฤดูหนาวกำลังใกล้เข้ามาเยือนทุกขณะ
หากแต่กระแสลมหนาวที่เย็นยะเยือกซึ่งกำลังพาดผ่านไปทั่วเมืองหลวงนั้นกลับไม่ได้ช่วยทำให้ใครบางคนในขณะนี้ผ่อนคลายไปได้เลย ตรงกันข้ามกลับทุรนทุรายจนเหงื่อเม็ดเป้งผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด เมื่อสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้เต็มไปด้วยความอึดอัดและไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลงแม้แต่น้อย
“ว่าอย่างไงนะ! เจ้าต้องการกู้เงินห้าหมื่นตำลึงทองจากข้าอย่างงั้นเหรอ!!!!”เสียงทุ้มห้าวเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นยะเยียบกับชายชราตรงหน้า
บุรุษหนุ่มรูปงามผู้มีบรรดาศักดิ์อยู่ในราชสำนักต้าหมิง ซึ่งได้รับพระราชทานปูนบำเหน็จรางวัลจากจักรพรรดิหยงเล่อ ในฐานะที่สามารถนำกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรล้างบางกลุ่มกบฏที่ต้องการล้มล้างราชบัลลังก์ขององค์พระจักรพรรดิได้เป็นผลสำเร็จ อิ๋งชวนโหวบรรดาศักดิ์ของรองผู้บัญชาการหน่วยองค์รักษ์เสื้อแพรผู้มีนามว่าจางหยุนฟ่าน ท่านโหววัยหนุ่มแน่น อายุ 25 ปี ซึ่งมีมารดาที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นหญิงงามที่สุดของเมืองลั่วหยาง
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ท่านโหวหนุ่มเป็นบุรุษรูปงามยิ่งนัก เป็นชายในฝันที่บรรดาสตรีเพศทั้งหลาย ที่อยู่ในแวดวงสังคมชนชั้นสูงตั้งแต่ระดับเชื้อพระวงศ์จนไปถึงชนชั้นขุนนางและคหบดีผู้มั่งคั่งต่างหมายปองอิ๋งชวนโหวกันทั้งสิ้น แต่ใครเล่าจะล่วงรู้ว่าภายใต้ใบหน้าอันหล่อเหลานี้กลับเย็นชาและเลือดเย็นเต็มไปด้วยความอำมหิตอย่างยิ่งยวด นอกจากจะเป็นขุนนางระดับสูงและมีบรรดาศักดิ์ขั้นโหวแล้ว
จางหยุนฟ่านยังมีฐานะมั่งคั่งเต็มไปด้วยทรัพย์สินมากมายที่ตกทอดมาจากตระกูลสวี่ของจางเล่าฮูหยินซึ่งเป็นท่านย่าแท้ๆ ของอิ๋งชวนโหว มีหอฟางหรงจำหน่ายเครื่องหอมของสตรีและบุรุษซึ่งมีชื่อเสียงมากที่สุดในแผ่นดินต้าหมิง
นอกจากนี้ยังมีหอลู่เสียนสถานที่จำหน่ายเครื่องประดับหยกสูงค่าและอัญมณีมากมายที่มีขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงมากเหนือกว่าหออื่นใดในแผ่นดินต้าหมิงเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นท่านโหวที่นอกจากจะสูงศักดิ์แล้วยังมีฐานะมั่งคั่งเป็นยิ่งนัก และเพราะความมั่งคั่งของอิ๋งชวนโหวจึงทำให้ตระกูลชั้นสูงต่างหมายปองหวังจะได้ร่วมเป็นทองแผ่นเดียวกัน หากแต่สมญานามอันเลื่องลือของโหวหนุ่ม กลับทำให้น่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นยิ่งนัก จอมอำมหิตแห่งกู้กง สมญานามที่บ่งบอกตัวตนโหวหนุ่มรูปงามผู้นี้เป็นอย่างดี เลื่องลือไปทั่วหล้า
นอกจากสมญานามที่ได้รับแล้ว อิ๋งชวนโหวยังเจนจัดในการทำการค้าควบคู่ไปด้วยกันอีกด้วย เป็นการยากยิ่งนักที่จะมีพ่อค้าวาณิชผู้ใดย้อมแมวหรือแต่งเรื่องเพื่อหาประโยชน์ ด้วยความมั่งคั่งของอิ๋งชวนโหวที่ขึ้นชื่อดังกล่าว
จึงมักให้ความช่วยเหลือกลุ่มพ่อค้าวาณิชที่ต้องการเงินทุนทำการค้าเพื่อขยับขยายกิจการ หากแต่ไม่ใช่เสียทุกคนไปที่จะได้รับโอกาส เพราะอิ๋งชวนโหวไม่ได้ทำการค้าปล่อยเงินกู้ หากแต่ช่วยเหลือเท่าที่จำเป็นจริงๆ และต้องก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน แม้นไม่มีผลประโยชน์ร่วมแล้วไซร้มีหรือที่คนอย่างเช่นอิ๋งชวนโหวจะยอมเสียเวลาแลกเปลี่ยนหรือแม้กระทั่งเสียเวลาเพื่อสนทนากับอีกฝ่าย
ดวงตาสีสนิมเหล็กยาวรี หรี่ตามองชายสูงวัยที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าในเวลานี้ บุรุษผู้อ่อนวัยกว่านั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่ถูกแกะสลักลวดลายอย่างวิจิตรงดงาม มือที่กำลังใช้ผ้าเช็ดดาบซิ่วชุนคู่กายอยู่ในเวลานั้น ยังคงทำหน้าที่ต่อไปอย่างเชื่องช้าราวกับว่าหากอีกฝ่ายพูดไม่ถูกหู ดูท่าคงต้องได้ถูกเชือดคอตายหรือต้องถูกสังหารภายใต้คมดาบดังกล่าวเป็นแม่นมั่น
ดวงตาคมกล้าจับจ้องแขกผู้มาเยือนที่พอจะได้เห็นหน้าค่าตาในแวดวงสังคมในฐานะเจ้าของสำนักคุ้มกันที่มีชื่อเสียงมากที่สุด และยังเป็นเจ้าของสำนักการสังคีตที่ขึ้นชื่อลือชาของเมืองหลวงอยู่ในเวลานี้ ซึ่งล้วนเป็นกิจการของตระกูลหวางทั้งหมด
หากแต่วันนี้ไม่เหมือนเช่นดั่งทุกครั้งที่เขาพบเจอ เพราะทั้งแววตาและสีหน้าไร้ทางออกของชายแก่ตรงหน้าที่มาพูดขอความช่วยเหลือเรื่องเงินกู้หวังจะนำเอาไปช่วยกิจการของตนซึ่งกำลังจะล้มอย่างไม่เป็นท่า ใครเล่าจะหน้าโง่ให้เงินก้อนโต เพราะถึงให้ไปก็คงจะเปล่าประโยชน์เกินเยียวยามิหนำซ้ำเงินของท่านโหวหนุ่มอาจจะกลายเป็นหนี้สูญก็ได้
“ใต้เท้าช่วยพิจารณาเรื่องเงินกู้ของข้าน้อยด้วยเถอะขอรับ อันตัวข้าแบกหนักหน้าไปขอกู้เงินกับมิตรสหายและญาติมิตรวงศ์วาน รวมไปถึงสำนักแลกเปลี่ยนเงินตรามาแทบจะทุกที่ แต่ไม่มีที่ไหนสามารถให้ข้าน้อยกู้เงินจำนวนนี้ได้ และใต้เท้าคือความหวังสุดท้ายของข้าน้อยแล้วขอรับ แม้จะรู้ว่าโอกาสที่จะเป็นไปได้น้อยมากแต่ก็จะอยากขอโอกาสจากท่านได้โปรดเมตตาตระกูลหวางของข้าด้วยเถิด เพื่อรักษาทุกชีวิตของตระกูลหวางให้อยู่รอดต่อไป ”
“จวนของข้าไม่ได้เปิดเป็นโรงทานให้กับผู้ใด จู่ๆ จะมาขอกู้เงินห้าหมื่นตำลึงทอง เงินมากมายเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แม้แต่น้อย”โหวหนุ่มพูดพลางเหลือบสายตามองสิ่งที่นำมาเป็นหลักประกันในการขอกู้เงินครั้งนี้ ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า
“หลักประกันมีเพียงแค่สำนักคุ้มกันและจวนตระกูลหวาง กับตั๋วเงินของราชสำนักที่ยังไม่ถึงกำหนดการขึ้นเงินอีกสามหมื่นตำลึงทอง เพียงเท่านี้ยังไม่พอหรอกนะที่จะนำมาเป็นหลักประกันในการขอกู้เงินจากข้า มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิดเอาไว้หรอกนะหวางเจี้ยนเฉิง ดูท่าเจ้าและทุกชีวิตของผู้คนภายในตระกูลหวางยากยิ่งนักที่จะหลีกเลี่ยงหายนะในครั้งนี้ได้ กลับไปเสียเถอะ!!!...ข้าช่วยเจ้าไม่ได้!!!” น้ำเสียงดุดันกล่าวตัดปัญหา
“ได้โปรดให้โอกาสข้าน้อยสักครั้งด้วยเถิดขอรับใต้เท้า” ชายชราพยายามอ้อนวอนเพราะนี่เป็นความหวังเดียวสุดท้ายของเขาแล้ว พลางคิดถึงใบหน้าของบุตรีเพียงคนเดียวขึ้นมา ด้วยเป็นห่วงในชีวิตของนางเป็นยิ่งนัก
บุตรีเพียงคนเดียวที่กำลังอยู่ในวัยออกเรือน แทนที่จะได้เตรียมตัวแต่งงานออกเรือนไปกับบุรุษชั้นสูงที่มีฐานะทางสังคมเสมอกัน นางกลับต้องมาตรากตรำออกไปทำงานแทนบิดาอยู่ภายในสำนักการสังคีต ซึ่งเป็นกิจการของตระกูลหวาง
นางทำหน้าที่เป็นเจ้าหอคอยดูแลความเรียบร้อย รวมไปถึงยังต้องทำหน้าที่บรรเลงเพลงพิณและใช้เสียงร้องของนางขับกล่อมแขกที่มาเยือนสถานที่ดังกล่าว เพื่อลดค่าใช้จ่ายของนางรำและนักดนตรีที่จะได้รับจากสำนักการสังคีตของตระกูลหวาง ทั้งนี้เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายที่ตระกูลหวางจะต้องแบกรับอย่างหนักอึ้ง
ด้วยเพราะในเวลานี้หวางเจี้ยนเฉิงระดมหากู้เงินและขายของมีค่าทุกอย่างภายในจวนออกไปจนหมดสิ้นเพื่อรวบรวมนำเงินมาสมทบส่งคืนให้กับทางราชสำนักที่สูญหายไปจากสำนักคุ้มกันของตระกูลหวาง หัวใจของคนเป็นพ่อมิอาจทำใจเห็นบุตรีของตัวเองต้องลำบากออกไปทำงานเช่นนั้นได้
นางควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้และจะต้องไม่จบชีวิตลงด้วยโทษประหารทั้งตระกูลที่กำลังเผชิญ หากยังไม่สามารถนำเงินห้าหมื่นตำลึงทองที่ได้รับมาจากโรงหล่อผลิตเงินตราส่งมอบให้กับท้องพระคลังหลวง ซึ่งสำนักคุ้มกันของตระกูลหวางมีหน้าที่คุ้มกันเงินห้าหมื่นตำลึงทองนี้ส่งมอบให้กับท้องพระคลัง
“เจ้าจงกลับไปเสียเถอะ อย่าให้ข้าต้องพูดอะไรซ้ำซากอยู่ร่ำไป เสียเวลาเปล่าอย่าให้ข้าต้องให้เหล่าองครักษ์เสื้อแพรลากเจ้าออกไปจากจวน” โหวหนุ่มพูดพลางแสยะยิ้มยะเยือกจนอีกฝ่ายถึงกับต้องหลบสายตา
“หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ทำไมตระกูลหวางต้องมาจบสิ้นที่รุ่นของข้าด้วยเล่า” หวางเจี้ยนเฉิงคิดในใจพลางถอนหายใจออกมาอย่างหมดอาลัยตายยาก
ในที่สุดนอกจากสำนักคุ้มกันของตระกูลหวางจะต้องปิดตัวลงเพราะทำเงินของราชสำนักสูญหายไปทั้งที่อยู่ภายในสำนักคุ้มกันของตัวเอง มิหนำซ้ำยังต้องมีโทษตายล้างตระกูลตามติดมาด้วย สวรรค์เบื้องบนเหตุใดจึงลิขิตโชคชะตาให้เป็นเช่นนี้ หัวขโมยตัวจริงยังคงลอยนวล ในขณะผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบกลับต้องมาเผชิญกับหายนะอันน่ากลัวที่กำลังเกิดขึ้นในครั้งนี้แทน
หวางเจี้ยนเฉิงลุกขึ้นยืนด้วยความท้อแท้อย่างหมดอาลัยตายอยากในชีวิตเป็นที่สุด พลางหันหลังก้าวเดินออกไปจากห้องหนังสือของอิ๋งชวนโหว ก่อนจะมีร่างสูงโปร่งขององครักษ์เสื้อแพรสวมอาภรณ์สีน้ำเงินบ่งบอกลำดับขั้นสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนเดินสวนเข้าไปภายในห้องหนังสือดังกล่าว
และทันทีที่องครักษ์ผู้นั้นก้าวเข้ามาภายในห้องหนังสือ ร่างสูงดังกล่าวเดินตรงดิ่งเข้าไปหาท่านโหวหนุ่ม ซึ่งเป็นรองผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพร และเป็นผู้บังคับบัญชาของตนด้วยเช่นกัน
“ใต้เท้า...สายข่าวที่ส่งให้ไปสืบรายงานกลับมาแล้วขอรับ”เสียงดังกล่าวเอ่ยรายงานขึ้นทันใดครั้นมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าอิ๋งชวนโหว ที่กำลังจับจ้องร่างตรงหน้าอยู่ในเวลานี้
“มีอะไรก็รีบว่ามา”เสียงตอบรับห้วนสั้นบ่งบอกอารมณ์ท่านโหวได้เป็นอย่างดี
“สายข่าวสืบค้นหาได้ทุกอย่างที่ต้องการล่วงรู้จนหมดสิ้นแล้วพร้อมส่งรายงานมาให้ใต้เท้า ทุกอย่างล้วนปรากฏอยู่ในสาสน์นี้เรียบร้อยแล้วขอรับ”องครักษ์เสื้อแพรคนดังกล่าวพูดพลางล้วงเข้าไปภายในอกเสื้อเครื่องแบบก่อนจะดึงสาสน์ลับดังกล่าวออกมายื่นส่งให้
“ดีมาก! ได้ข่าวรวดเร็วทันใจดี”ท่านโหวหนุ่มกล่าวอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเอื้อมมือรับสาสน์ลับดังกล่าวมาจากมือขององครักษ์เสื้อแพรซึ่งเป็นคนสนิท พลางดึงกระดาษที่อยู่ในซองจดหมายคลี่สาสน์ลับที่สายข่าวรายงานกลับมานำออกมาอ่านอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ได้อ่านสาสน์ลับดังกล่าว ดวงตาสีนิลคมกล้าคู่สวยแปรเปลี่ยนไปโดยพลันพร้อมเหลือบสายตามองตามหลังร่างของหวางเจี้ยนเฉิงที่เดินออกจากประตูห้องหนังสือไปแล้ว หากแต่ความคิดบางอย่างพลันผุดพรายขึ้นมาทันที
“เดี๋ยว!”