บุพเพทะลุเกี้ยว
แคว้นเป่า ณ ตำหนักบุปผามิรู้โรย
องค์ชายแปด ผู้มีนามว่า เติ้งไห่หลง ขบขันกับข่าวที่ทำให้ชื่อเสียงเขาเสื่อมเสียอย่างมิหยุดหย่อน สาเหตุเพราะตำหนักบุปผามิรู้โรยมีเรื่องคาวโลกีย์เป็นที่โจษขานไปทั่วหล้า ทั้งหมดเป็นเพียงฉากบังหน้าที่เขาสร้างไว้เพื่อลวงตาผู้คน
ความจริงเติ้งไห่หลงเป็นชายชาตรีที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทำศึกอย่างหาตัวจับยาก เขาออกไปช่วย หวงไท่จื่อ[1] หรือ เติ้งเทียนหลิว พี่ชายคนโต และเติ้งกันซี่ องค์ชายหก ยึดหัวเมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ชื่อชิงสิน เมืองซึ่งไร้อ๋องจากสกุลเติ้งคอยดูแล พื้นที่ติดอาณาเขตอันกว้างใหญ่ของเผ่าเฟยเทียน
ก่อนหน้านั้นแม่ทัพเยว่หยง ลูกชายของอมาตย์เยว่เวยกังป่วยหนัก สาเหตุเพราะในคืนงานเลี้ยงที่ค่ายของกองทัพ เจ้าเมืองซึ่งมีใจคิดคดก่อกบฏ ลอบวางยาพิษในสุราและอาหาร เป็นเหตุให้เยว่หยงได้รับยาพิษเจียนตาย
หวงไท่จื่อจึงรับอาสาจากบิดาไปยึดเมืองชิงสินคืน การต่อสู้กินเวลายาวนานร่วมครึ่งปี กระทั่งเติ้งไห่หลง น้องชายคนสุดท้องสามารถวางกลยุทธ์อย่างแยบคาย กอบกู้เมืองติดชายแดนได้สำเร็จ แต่ชายหนุ่มมิได้ออกโรงในนามองค์ชายแปด เขาปลอมตัวเป็นองครักษ์เสื้อแพรสวมหน้ากากเหล็กและยกความดีความชอบให้พี่ชาย ทว่าหลังยึดเมืองหน้าด่านสำเร็จ กลับสร้างความแค้นให้แก่อมาตย์เยว่เวยกังมาก เพราะลูกชายคนโตต้องป่วยจากยาพิษไร้ชื่อ ส่วนลูกชายคนกลาง เยว่จินเกอ ก็ไม่สามารถก้าวขึ้นรับตำแหน่งแม่ทัพแทนพี่ชายได้
เมื่อกลับจากออกศึก เติ้งไห่หลงมิได้รับตำแหน่งสำคัญทางราชการให้สมกับความสามารถ ด้วยเป็นความต้องการของเขาตั้งแต่แรก เติ้งไห่หลงมีดวงเป็นศัตรูกับบิดา หากก้าวขึ้นรับตำแหน่งใดๆ อาจทำให้คนของตระกูลเยว่หาทางเล่นงานเขาได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการสร้างภาพองค์ชายเจ้าสำราญ จึงเป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตเขาไกลจากคมหอกคมดาบของศัตรู
เวลานี้ชื่อ ‘อ๋องแปด...แห่งตำหนักบุปผามิรู้โรย’ จึงเหมาะสมกับเขาและเติ้งไห่หลงมักแสร้งทำตัวสำมะเลเทเมา มีความสุขสำราญในตำหนักเล็กๆ นอกวัง ที่ซึ่งมารดาเคยถูกส่งมาให้คลอดเขาอย่างโดดเดี่ยว ด้วยช่วงเวลานั้นบิดากำลังเห่อกุ้ยเฟยซึ่งมีวัยคราวลูก นางเป็นหญิงสาวผู้เพียบพร้อมมาจากสกุลเยว่ หลานสาวอมาตย์เยว่เวยกัง
วันแล้ววันเล่า องค์ชายแปดยังคงสร้างภาพให้ตนเองเป็นหนุ่มขี้เมามิเปลี่ยน กระนั้นเขายังดูหล่อเหลาชวนให้หญิงสาวเข้าหามิขาด หนึ่งในนั้นคือ พานซู่ลี่ธิดาของท่านข่านพานหู่เจิ้น นางมักมาพำนักที่แคว้นเป่าตามนิสัยสตรีที่ชอบความรื่นเริง อีกทั้งบิดากับพี่ชายต้องการสานสัมพันธ์กับฮ่องเต้ รวมถึงคนในราชสำนัก ทุกครั้งที่มาเยือนนางจะจัดงานเลี้ยงสนุกสนานใหญ่โต
หลายวันก่อนหญิงสาวส่งจดหมายเทียบเชิญมาให้เติ้งไห่หลง แต่เมื่อเขาบอกปฏิเสธผ่านบ่าวรับใช้ นางจึงมาพบเขาด้วยตนเอง และออกอุบายขู่แกมบังคับให้เขาไปร่วมงานเลี้ยงดังกล่าว
“ในเมื่อท่านพี่ดูเหมือนคนว่างงานที่สุดในใต้หล้า เหตุใดถึงเพิกเฉยต่อคำชวนของซู่ลี่”
“ข้าว่างงาน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไปทำตัวสำราญที่ใดก็ได้ และตอนนี้คนของอมาตย์เยว่วางแผนกระทำบางสิ่ง ซึ่งอาจสั่นคลอนความมั่นคงของฮ่องเต้”
“ก็ปล่อยให้ฝ่ายนั้นไปสิ ในเมื่อบิดาน้องหญิงมีอำนาจล้นเหลือ อีกอย่างท่านลืมแล้วหรือว่าเราเป็นอะไรกัน ในภายภาคหน้าเมื่อท่านกับซู่ลี่หมั้นหมายกัน ย่อมไม่มีสกุลใดกล้าต่อกรกับเรา” นางกล่าวจบก็เกาะแขนชายหนุ่มหมับ พานซู่ลี่ไม่ได้ถือเนื้อถือตัวอย่างเช่นหญิงสาวในเมืองหลวง กระนั้นก็ไม่ได้ปล่อยตัวไปกับชายอื่น ยกเว้นเติ้งไห่หลง ชายที่นางหมายปองตั้งแต่แรกพบหน้าที่เมืองชิงสิน
“ไฉนพี่จะลืมได้ น้องหญิงซู่ลี่เป็นสตรีงดงาม และท่านข่านหู่เจิ้น คือผู้กว้างขวางในแผ่นดินทางตอนใต้”
“เมื่อทราบเช่นนั้น เหตุใดถึงเพิกเฉยต่อเรื่องสนุกที่น้องหญิงชวนท่าน...คุณชายสกุลเติ้ง”
เติ้งไห่หลงหัวเราะออกมาคราหนึ่ง ก่อนปลดมือหญิงสาวจากแขนตนด้วยท่าทีสุภาพ แล้วก้าวไปอีกฝั่งของเรือนงามโอ่โถง
“เรื่องนี้เอาไว้ให้พี่สะดวกดีกว่า อีกอย่างหนุ่มๆ ตำหนักอื่นต่างนิยมในตัวเจ้า เพียงแค่เจ้าเอ่ยปากขี้คร้านจะกระดิกหางตอบรับคำเชิญทันที”
“ร้ายกาจ วาจาท่านอาจทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน” พานซู่ลี่นึกเคืองใจบุรุษผู้นี้อยู่หลายส่วน แต่นางยังนิยมในใบหน้าและความสามารถของเขา ซึ่งนางมองออกว่าเติ้งไห่หลงสมควรดำรงตำแหน่งหวงไท่จื่อมากกว่าพี่ชายคนโตที่ชำนาญเพียงด้านบุ๋น และยังเป็นคนเถรตรงไม่มีหัวการค้า
“หากเป็นเช่นนี้ เจ้ายังอยากให้พี่ไปร่วมวงสุราและนางรำหรือไม่”
“เอาละ ซู่ลี่ไม่อยากรบเร้าท่าน แต่ขออย่างหนึ่ง เมื่อถึงวันงานน้องหญิงคงได้พบหน้าองค์ชาย มิใช่แอบลอบออกจากตำหนักแล้วป้วนเปี้ยนที่หอคณิกา มิอย่างนั้นพานซู่ลี่จะสั่งปิดตำหนักอันโดดเดี่ยวของท่าน โทษฐานที่ทำตัวเหลวไหลและเอาใจออกหากน้อง” นางขู่เสียงแหลมสูง
“โอ้...องค์หญิง อย่าถึงขั้นปิดตำหนักพี่เลย อย่างไรเสียที่นี่ก็ยังพอมีความอภิรมย์ให้พี่อยู่บ้าง”
พานซู่ลี่ส่ายหน้าด้วยระอาคนเจ้าคารม
“น้องหญิงดีต่อท่านเสมอ หวังว่าองค์ชายจะรับรู้ถึงไมตรี และปิ่นหงส์ประดับมุกประจำตัวนี้ ซู่ลี่ไม่คิดมอบให้ใคร ด้วยเป็นตัวแทน เป็นความไว้วางใจของน้อง...” องค์หญิงกล่าว นางหมายจะดึงปิ่นออกจากเรือนผมที่เกล้ามวยสูง แต่เติ้งไห่หลงรีบยกมือห้าม
“ช้าก่อนน้องหญิง ของสำคัญเช่นนั้นพี่มิอาจรับ” เขากล่าวเสียงเรียบ หากมันสะเทือนใจหญิงสาว และยามนั้นน้ำตานางคลอหน่วย
“อ๋องแปด ทะ ท่านหมายความเยี่ยงไร” น้ำเสียงพานซู่ลี่สั่น หัวใจก็ร้าวไหว นางเป็นถึงองค์หญิงเผ่าเฟยเทียน ยิ่งใหญ่ปานใดผู้คนทั้งใต้หล้าต่างรู้ดีและยำเกรง
“ดั่งคำที่เอ่ย ของบางสิ่งเหมาะจะอยู่ในที่ทางของมัน พี่เป็นเพียงชายเสเพล ไฉนจะกล้ารับปิ่นหงส์ฝังมุกมาเก็บไว้กับตัว”
“วันนี้ท่านไม่รับ แต่วันข้างหน้า...ซู่ลี่จะทำให้ท่านมิอาจปฏิเสธ!”
หญิงงามเผ่าเฟยเทียนเอ่ยจบก็สะบัดค้อนวงโตให้เติ้งไห่หลง ก่อนสืบเท้าก้าวเดินจากไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
[1] ไท่จื่อ คือ องค์รัชทายาท