“อ๋อ แบบนี้นี่เอง ป้าก็ยังคิดอยู่ว่าทำไมคล่องกันจัง แล้วนี่จะข้ามไปเกาะกันเหรอ” ป้าใจดีชวนคุย เมื่อเห็นเด็กสาวเริ่มอารมณ์ดีขึ้นแล้ว
“ใช่ค่ะป้า รอเรือข้ามไปเกาะ แต่คงอีกนานค่ะ เรือถูกเหมาไปแล้ว” หน้ามุ่ยตอบด้วยความเสียดาย
“อยากไปเร็ว ๆ ไหมล่ะ”
“ได้เหรอคะ” น้ำเสียงแสดงความดีใจเอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้น เมื่อเห็นหนทางที่พวกเธอจะได้ไปนอนพักผ่อนบนเกาะแสนสวยโดยไม่ต้องรอนานมากนัก
ร่างบางผุดลุกขึ้นนั่งคุกเข่า ยื่นหน้าเข้ามาถามด้วยประกายตาเปี่ยมความหวัง
“รอเดี๋ยวนะ” คุณป้าใจดีพูดทิ้งท้ายไว้แล้วลุกขึ้นเดินออกไปทันที ไม่สนใจ
สีหน้างุนงงของเด็กสาวสักนิด
อะไรกันนะ อยู่ดี ๆ ก็เดินออกไป จะอธิบายอะไร ๆ ให้มันชัดเจนหน่อยก็ไม่ได้ แต่คุณป้าแกบอกว่าให้รอนี่เนอะ ไหน ๆ ก็ต้องรอเรืออยู่แล้ว รอคุณป้าแกอีกนิด มันก็คงไม่ต่างกันหรอกนะอิง
คิดแล้วก็เอนกายลงนั่งกับพื้นตามเดิม สองมือยกขึ้นประสานรองศีรษะทุย สองขาเรียวเหยียดออกจนสุด เท้าขวายกขึ้นไขว้เท้าซ้าย พลางกระดิกเบา ๆ อย่างลืมตัว หลับตาพริ้มอารมณ์ดี เพราะกำลังนั่งนึกภาพอาหารหลากชนิดที่วางขายกันอยู่บนรถเข็นสีสันน่ากินทั้งนั้น ตลอดเส้นทางเดินก่อนเข้ามายังอาคารแห่งนี้
“เบน เรือของเราเป็นยังไงบ้าง คนของเราไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เสียงทุ้มกังวานเอ่ยถามคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ห่าง
“เรียบร้อยดีครับ ไม่มีอะไรน่าห่วง ต้องขออภัยครับนายที่ทำให้ล่าช้า” รายงานด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด เมื่อการเดินทางมาท่องเที่ยวพักผ่อนของเจ้านายต้องเกิดเหตุขัดข้องอย่างไม่น่าให้อภัย
“อืม” ส่งเสียงรับรู้ในลำคอเบา ๆ สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ แววตาภายใต้สีดำของเลนส์คุณภาพชั้นนำ ยังคงจับจ้องอยู่บนใบหน้านวลของเด็กสาวที่กำลังนั่งเอนกายสบายอารมณ์ไม่สนใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอย่างไม่วางตา มุมปากหยักแตะแต้มด้วยรอยยิ้มบางเมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสอุ่น ๆที่กำลังไหลวนไปตามเส้นประสาทรับรู้ทั่วสรรพางค์กาย
“เฮ้ย! ไอ้ราฟ” แมทธิว หนุ่มผมทองกระซิบเรียกเพื่อน พลางใช้ปลายเท้าสะกิดเบา ๆ ที่ท่อนขาแกร่งของคนนั่งข้างให้หันไปดูภาพหายากที่น้อยคนนักจะได้เห็น แม้จะเป็นเพื่อนกันมานานหลายสิบปีก็ตามยังแทบนับครั้งได้ที่จะเห็น และไม่แปลกใจเลยที่บุคคลภายนอกจะไม่มีโอกาสได้เห็น
“โอ๊ะ! เดี๋ยวนะ แกนิ่ง ๆ ไว้นะ อย่าให้เหยื่อไหวตัว” ราฟกระซิบเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน เมื่อหันมองตามสายตาของแมทธิวก็ต้องเบิกตากว้างกับภาพตรงหน้า จนต้องค่อย ๆ กดตัดสายโทรศัพท์ที่กำลังคุยออดอ้อนเสียงหวานอย่างกะทันหัน เพื่อเก็บหลักฐานสำคัญ
หนุ่มอารมณ์ดีนามว่าราฟ นึกกระหยิ่มในใจพลางค่อย ๆ ยกมือถือราคาแพงขึ้นเก็บภาพตรงหน้า ด้วยความระมัดระวังเกรงจะเกิดเสียงดังจน “เหยื่อ” รู้ตัวซะก่อน
แม้ภาพในจอจะไม่สามารถเห็นดวงตาคมของเจ้าของร่างสูง ที่นั่งหันหน้าไปยังกองสัมภาระและร่างเหยียดยาวของเด็กสาวร่างเล็ก ที่กำลังเอนกายกระดิกเท้าอย่างอารมณ์ดี แต่รอยยิ้มมุมปากและสีหน้าผ่อนคลายของฟรานเชสโกนั้น บ่งบอกได้ดีว่าชายหนุ่มกำลังให้ความสนใจกับเด็กสาวมากเป็นพิเศษ โดยเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัว ขนาดตกเป็นนายแบบจำเป็นให้กับเพื่อน ๆ ทั้งสอง ก็ยังนั่งเฉยจับจ้องกิริยาอาการของร่างบางตรงหน้าอย่างจริงจัง
“มุมกล้องใช้ได้ว่ะราฟ ถ้าเอาไปขายคงได้หลายตังค์ หึ หึ” แมทธิวก้มลงมองบนหน้าจอ พร้อมกับเอ่ยชมปาปารัสซี่จำเป็นด้วยสีหน้าถูกอกถูกใจ เหมือนเด็ก ๆ แอบทำผิดลับหลังผู้ใหญ่ได้สำเร็จ
“เป็นอะไร?” ดาราจำเป็นเมื่อเห็นอาการหลบ ๆ ซ่อน ๆ พร้อมหัวเราะคิกคักอารมณ์ดีของเพื่อนที่นั่งอยู่ไม่ห่าง ก็อดหันมาถามไม่ได้
“เปล๊า! ไม่มีอะไร” ราฟรีบตอบเสียงสูง เก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง แล้วเอ่ยชวนคุย แต่ก็แอบเห็นแมทธิวยักคิ้วหลิ่วตา ส่งสัญญาณให้ส่งภาพมาให้ด้วยเป็นอันรู้กัน
การมาเที่ยวของพวกเขาครั้งนี้ นอกจากจะมีอะไรสนุก ๆ รออยู่ที่เกาะแล้ว ระหว่างทางก็ยังมีเรื่องให้สนุกได้อย่างไม่น่าเชื่อ นี่ถ้าพวกเขาตัดสินใจให้เอาเครื่องบินส่วนตัวมารับ หลังจากทราบเรื่องอุบัติเหตุก็คงไม่มีโอกาสได้เจอเรื่องสนุกและเหตุการณ์ชวนระทึกแบบนี้ ชายหนุ่มคิดพลางอมยิ้มอารมณ์ดี และหันมาร่วมวงสนทนากับอีกสองหนุ่มที่กำลังเริ่มเปิดประเด็นข่าวสารด้านธุรกิจที่น่าปวดหัวขึ้นมาอีกแล้ว
“เฮ้ย! พวกแกหยุดเรื่องปวดหัวนี่ก่อนได้ไหมวะ นี่เรามาเที่ยวนะโว้ย หยุดเรื่องงานไปเลย แค่ได้ยินฉันก็จะอ้วกแล้ว” ราฟเอ่ยตัดบทโวยวายไม่สบอารมณ์ ด้วยความเอาแต่ใจ เพราะเป็นรุ่นน้องอายุน้อยที่สุดในกลุ่ม และยังเป็นน้องสุดท้องของบ้านซึ่งมีแต่พี่สาวถึงสามคน
“เออ ๆ ก็ไม่ได้จริงจังอะไร แค่เห็นข่าวพวกฉันก็เลยอดไม่ได้ว่ะ” แมทธิวส่ายหน้าด้วยความระอาในอาการแบบเด็ก ๆ ของเพื่อนรุ่นน้อง แต่เขาก็เข้าใจเพราะพวกเขาตกลงกันก่อนมาที่นี่แล้ว ว่าจะงดพูดเรื่องธุรกิจและเรื่องน่าปวดหัวตลอดระยะเวลาที่พักผ่อนอยู่บนเกาะ
“เฮ้ย! ดูเด็ก ๆ พวกนั้นสิ มันอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอวะแมท” ราฟยกมือขึ้นกอดอก พยักหน้าไปทางกลุ่มเด็กสาวที่กำลังนั่งล้อมวงหันหน้าเข้าหากัน ในมือของ แต่ละคนมีอะไรบางอย่าง ดูแล้วน่าจะเป็นเนื้อสัตว์ชิ้นเล็กเสียบอยู่บนไม้แหลม ๆ คล้ายบาร์บิคิวที่เขารู้จัก แต่ดูจากสีสันแล้วคงไม่ใช่
อีกมือหนึ่งก็มีห่อพลาสติกใส บรรจุอะไรสีขาว ๆ ซึ่งราฟเข้าใจว่าน่าจะเป็นข้าว แต่ก็ไม่แน่ใจนักเพราะข้าวที่เขาเคยเห็นคนไทยกินกัน มักจะร่วน ๆ ไม่เกาะกันเป็นก้อนแบบนี้ แต่อาการกัดกินอย่างเอร็ดอร่อยของเด็กสาวทั้งสาม เคี้ยวตุ้ย ๆ สีหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้ม ก็ชวนให้ราฟต้องแอบกลืนน้ำลายด้วยความหิวได้เหมือนกัน
“เออนั่นสิ แล้วดูนั่น นี่พวกหล่อนจะรู้ไหมนะว่ากำลังสร้างความทรมานให้กับกระเพาะพวกเราน่ะ” แมทธิวเอ่ยตัดพ้อเสียงระโหย เมื่อมองภาพตรงหน้าแล้วก็ต้องอ้าปากค้าง เห็นเด็กสาวชื่ออิง หันไปหยิบกล่องโฟมบรรจุอาหารที่อยู่ในถุงพลาสติกขึ้นมาส่งให้เพื่อน ๆ คนละกล่อง หลังจากจัดการกับเมนูแรกเสร็จแล้ว
“พวกหล่อนเป็นผู้หญิงจริง ๆ ใช่ไหมวะ เห็นตัวบาง ๆ ทำไมกินเยอะขนาดนั้นได้วะ” ราฟเผลอกลืนน้ำลายเอื๊อก เมื่อเห็นปริมาณอาหารที่กำลังถูกลำเลียงผ่านริมฝีปากบาง ๆ ของแต่ละคนลงไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อนเหมือนครั้งแรกที่เห็น เด็ก ๆ สมัยนี้ไม่นิยมอดอาหารเพื่อหุ่นเพรียวบางเหมือนนางแบบกันแล้วใช่ไหม
“เด็กกำลังกินกำลังนอนมั้ง คงไม่เหมือนพวกสาว ๆ ที่เราคุ้นเคยกันหรอก พวกนั้นจะกินแต่ละที คำนวณแคลอรี่กันซะแทบทุกมื้อ เห็นแล้วก็น่าเบื่อชิบ!” แมทธิวพูดเสียงเรียบเรื่อย นัยน์ตาสีฟ้าหม่นจดจ้องอยู่บนเรียวปากบางที่อ้าออกกว้าง ของสาวเปรี้ยวจี๊ดผมซอยสั้นด้วยความรู้สึกเอ็นดู เมื่อสาวผมยาวยื่นของกินมาให้
“หนูไปพร้อมฝรั่งกลุ่มนั้นได้เลยนะ คุณ ๆ เขาอนุญาตแล้ว เดี๋ยวจะมีคนมาเรียกนะ” คุณป้าใจดีคนเดิม เดินกลับเข้ามาบอกพวกเธอที่นั่งล้อมวงกินสารพัดสิ่งที่หาซื้อได้จากรถเข็นข้างทางบริเวณนั้น แล้วเดินออกไปอย่างสบายใจ พร้อมกับส่งยิ้มเป็นมิตรให้ทั้งสามสาว
“ป้าแกพูดอะไร อิง!” แพงหันมาถามเป็นคนแรกด้วยความสงสัย เมื่อคุณป้าเดินออกไปไกลแล้ว
“นั่นสิ ไปกับฝรั่งพวกนั้น ยังไง?” ผิงยิ่งสงสัยหนักเข้าไปอีกเมื่อได้ยินว่าต้องไปกับฝรั่งร่างยักษ์พวกนั้น ถึงเธอจะรู้สึกชื่นชอบหนุ่ม ๆ กลุ่มนั้น เพราะแต่ละคนหุ่นทรมานใจเหลือเกิน อีกอย่างหนึ่งที่เพื่อน ๆ ในกลุ่มจะรู้กันดีว่า สาวผิงเป็นสมาชิกคนหนึ่งในกลุ่ม “สมาคมนิยมสามีฝรั่ง” ไม่เหมือนกับอิงและแพงที่บอกว่าขอบายสามีฝรั่งเพราะไม่ชอบคนตัวใหญ่ เคราเยอะ สู้หนุ่ม ๆ เอเชียไม่ได้ ขาว ๆ ตี๋ ๆ หน้าตาเนื้อตัวเนียนเรียบไม่มีเครา ไม่มีขนรกรุงรังให้สากมือ
“ใจเย็น ๆ สิ กำลังจะบอกอยู่เนี่ย คืออย่างนี้นะ...”
“อืม/อ๋อ” เสียงพึมพำตอบรับด้วยความพอใจ ทำให้อิงค่อยโล่งอกขึ้นมา เนื่องจากทั้งสองสาวเพื่อนสนิทของตนนั้น คนหนึ่งก็เรียบร้อยขี้เกรงใจ อีกคนก็ขี้ระแวงไม่ค่อยไว้ใจคน เห็นเปรี้ยวจี๊ดแบบนั้น ผิงก็ยังไม่เคยมีแฟนเป็นเรื่องเป็นราว ที่ป่าวประกาศว่าคนนั้นแฟนฉันนะ คนนี้สามีเค้านะ อิงฟ้าก็เห็นว่าหนุ่ม ๆ พวกนั้นมีแต่ดาราหรือไม่ก็นักแสดงฮอลลีวูดดัง ๆ ที่ใคร ๆ ต่างก็ชื่นชอบด้วยกันทั้งนั้น
การขึ้นเรือไปพร้อมกับคนแปลกหน้าที่ดูหน้าตาน่ากลัวพวกนั้น จึงถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเพื่อน ๆ ของเธอ และอิงฟ้าเองก็ไม่ต่างกัน แววตาหวาดระแวงหลุบลงต่ำอย่างไม่รู้ตัวเมื่อนึกถึงการเดินทางที่รออยู่ข้างหน้า
แต่ไม่รู้ว่าสาเหตุใด อิงฟ้าถึงต้องมาแบกรับ กับเรื่องใหญ่ที่ว่าเพียงลำพังคนเดียวนี่สิ!!!