ให้ตาย ความคิดฉันมีเสียงอีกแล้ว... เรี่ยวแรงฉันอ่อนกำลังลงพร้อมๆกับน้ำตาที่หยดแหมะลงบนลำแขนของคนตรงหน้าที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ร่างสูงขยี้หัวฉันหนึ่งทีก่อนจะถอนหายใจยาวๆ
“เลิกเพ้อแล้วกลับบ้านนะคะ”
“นายจะไปรู้อะไร ลองเจอแบบที่ฉันเจอก่อนมั้ย ลองมาเจอแบบฉันดูสิ!” ฉันพูดเสียงลอดไรฟันพร้อมกับสบตาเขา ก่อนจะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนไม่รู้จักอีกครั้ง...
แหมะ
นั่นไง น้ำตาไหลอีกแล้ว…
“ไม่เอา ไม่งอแงนะคะ ไม่น่ารัก” อยู่ๆร่างสูงก็ดึงฉันเข้าไปซุกที่ไหล่กว้าง เขาเป็นใครไม่รู้ ฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำให้ฉันพยายามดีดดิ้นแล้วโวยวายแต่หมอนั่นก็ไม่ลดละความพยายามในการใช้แรงดึงดันฉันให้ซุกกับหน้าอกเขาอยู่แบบนั้น
“อย่ามายุ่งกับฉัน!”
“...”
“อย่ายุ่ง” เสียงฉันหดหายก่อนจะคลายกำลังทุกอย่างลงเมื่อเห็นว่าสู้ไม่ได้ กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆนั่นทำให้ฉันสงบลง มันเป็นกลิ่นที่คุ้นเคยราวกับว่าฉันรู้จัก แต่ฉันก็จำไม่ได้
“ไม่เป็นไรนะคะ”
แหมะ
เสียงน้ำตาดังปฏิเสธคำถามของเขาในทันที แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยินแต่ฉันกลับรู้สึกชัดเจน เสียงดนตรีหนักๆตอนนี้กำลังถูกกลบด้วยเสียงน้ำตาของฉัน ลมหายใจแผ่วๆราวกับจะขาดใจทำให้ฉันคิดว่าบางทีฉันอาจจะตายไปซะก็ได้...
“ไม่เป็นไร”
…ไม่เป็นไรงั้นเหรอ? ฉันเองก็อยากจะรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน อยากจะเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วไม่ใส่ใจกับความเลวร้ายที่ฉันเห็น บอกลาพวกเขาแล้วจากไปอย่างเรียบง่าย
“ทีรักเก้านะ”
ฉันแค่นหัวเราะทั้งน้ำตาเมื่อนึกถึงน้ำเสียงเรียบง่ายที่ทีสิตเคยพูด ฉันเคยเชื่อมันมาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ก่อนจะพบว่ามันไม่มีความจริงอยู่ในนั้นสักนิด
แต่เพราะฉันรักทีสิตมากเกินไป... ในขณะเดียวกันฉันก็เกลียดเขามากด้วย
ฉันจึงไม่สามารถให้อภัยพวกเขาได้ ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม ฉันจะทำลายพวกเขาเหมือนกับที่พวกเขาทำลายฉันอยู่ตอนนี้...
พวกเขากำลังฆ่าฉันให้ตายทั้งเป็น!
แหมะ
ขอบตาฉันร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง มันกำลังหยดลงบนเสื้อเชิ้ตสีทะมึนของคนตรงหน้าและดูไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ความรู้สึกแสบร้อนและเจ็บแปล๊บแล่นจากปลายเท้าเข้าตรงที่หัวใจ ยิ่งน้ำตาฉันไหลออกมามากเท่าไหร่ ภาพความทรงจำฉันก็ชัดมากขึ้นเท่านั้น ทั้งเรื่องที่ฉันเห็นที่หอและภาพเฟสบุ๊คบนหน้าจอโทรศัพท์ของฉัน...
เพียงแค่ภาพหน้าจอสีฟ้าขาวกับข้อความที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนจะตาย...
‘Thesis and Lulna were in relationship’
ทีสิตกับลัลนากำลังคบหาดูใจกันอยู่
และมันเป็นภาพสุดท้ายก่อนที่หัวใจและนัยน์ตาสีอำพันไม่สามารถรับรู้อะไรอีก...
หรือบางทีฉันอาจจะไม่อยากรู้อะไรอีกแล้วก็ได้...
ไม่อยากรู้อะไรอีกเลย...
ตุบ!
“เก้า!!”
-TANGUY PART-
เวร... ผมสบถในใจเมื่อเห็นร่างสาวเจ้าที่จู่ๆก็ล้มลงไปอีกทาง เพียงเพราะเธอทำท่าเหมือนทำใจได้แล้ว ผมเลยผ่อนแรงแล้วค่อยๆปล่อยให้เธอเป็นอิสระแต่ทว่าจู่ๆเธอก็ล้มตึงลงไปกองกับพื้น เรื่องนี้คงพูดอะไรไม่ได้มากนอกจาก...
กรรมกู๊ (-_-;)
ผมเกาหัวแกรกๆแล้วสาวเท้าเดินไปพยุงร่างบางขึ้นท่ามกลางสายตาสงสัยจากใครหลายๆคน คือตอนแรกที่ผมเห็นเธอก็ไม่ค่อยจะแน่ใจเอาเท่าไหร่ว่าใช่เพื่อนสมัยมอปลายรึเปล่า จนกระทั่งเข้ามาทักและเจอประโยคทิ่มแทงเท่านั้นแหละ ชัดเลยจ้า
ผมใช้สัญชาตญาณส่วนตัวของผมรับรู้ได้ในทันทีว่าเธอกำลังเศร้า เลยพยายามจะเข้ามาถามไถ่ เรียกง่ายๆว่าผอเผือก แหม ก็ไม่เจอกันตั้งนานไง ต้องถามบ้างอะไรบ้าง นี่ไม่ได้อยากสาระแนนะ บอกเลย (-,,-) สิ่งที่ล่อลวงผมมายืนอยู่ตรงนี้คงหนีไม่พ้น คัพบีสามสิบสี่ กับความเซ็กซี่หลบในนั่น แม้ไม่ได้แต่งตัวโป๊ แต่ก็ดูพลิ้วในชุดเดรสบางๆนั่นฝุดๆ
ตอนมอปลายไม่เห็นน่ารักขนาดนี้ ผมพลาดไปได้ไง แย่จุง
“หนูเก้าขา~” ผมจิ้มจึกๆไปที่หน้าเธอสองทีในขณะที่คว้าแขนมาโอบรอบคอตัวเองเพื่อพยุงเธอเดินออกไปข้างนอก หนีจากสถานที่คนมากมายแย่งอากาศหายใจนี่ซะก่อน อ่า เค้าว่ากันว่าคนเป็นลมมักต้องการอากาศหายใจมากๆ
ผมช่วยผายปอดให้ดีป่ะ (^O^)
ก็ว่าไปนั่น...
ผมรู้ว่าผู้หญิงคนนี้นิสัยเป็นยังไง ดีไม่ดีผมอาจตายก่อนแก่ก็เป็นได้ ผมคงไม่เอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับมหันตภัยร้ายอย่างเธออ่ะ (–O-;;)
ไม่นานผมก็ลากเธอออกมาอยู่หน้าผับ Craze จนได้ ไม่รู้ไปมีปัญหาอะไรมาแต่ดูเหมือนว่าคงจะหนักเอาเรื่อง ผมเคยเห็นคนตรงหน้าร้องไห้ไม่กี่ครั้งตอนที่เป็นเพื่อนกัน แต่มันก็ไม่เคยหนักถึงขนาดนี้... คงไม่ได้ร้องไห้เพราะเจอผมหรอกใช่ป่ะ? (- -;;) ความหล่อมันทิ่มแทงจนรับไม่ไหวอะไรงี้
โอเค ผมเพ้อเจ้อ (‘ ‘)
“หนูเกรียนขา~” ผมพูดขึ้นอีกครั้งพยายามสะกิดเธอให้ตื่นแต่ก็ไม่แสดงท่าทีตอบรับใดๆ
“ฮัลโหล ไม่ตื่นกายหิ้วกลับห้องน้า~” ผมว่าแล้วจิ้มหน้าเธออีกสองจึกแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ
หวี่ หวี่ หวี่~ (จงจินตนาการให้เป็นเสียงแมลงวัน)
ครับ ตามนั้น เมื่อผมถามแล้วเธอไม่ตอบก็ได้ข้อสรุปว่าสมยอมให้ผมหิ้วในทันที และจะเป็นการดีที่สุดสำหรับสถานการณ์นี้ เพราะผมไม่รู้ว่าคนขี้เมาพักอยู่ที่ไหนแห่งหนตำบลใดในโลก
ไม่ใช่ว่าผมฉวยโอกาสหรอก จริงๆนะ เปล๊าเปล่าเลย (-.,-)
เป็นความจริงที่คอนโดผมอยู่ใกล้กับผับมากจึงเดินไปมาได้ และที่เป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่อะไร เพราะไอ้ผับที่ว่าครึ่งนึงมันเป็นของผมเอง ผมแค่ถือหุ้นเฉยๆไม่ได้เข้าไปบริหารจัดการอะไรมากมายเพราะผมขี้เกียจ คนอย่างผมเหมาะสมจะยืนหล่อๆรอกินเงินปันผลมากกว่า
ไม่เกินสิบห้านาทีผมก็ลากสังขารมาถึงหน้าคอนโด KNK ห้อง 1112 จนได้ ผมชั่งใจอยู่หน้าห้องว่าจะเข้าไปดีไม่ดี เพราะพวกเพื่อนเวร รูมเมทของผมแต่ละคนมันไม่น่าคบเลยไง คนนึงก็ติสต์แตก อีกคนก็แต๋วแตก มีผมคนเดียวที่ปกติ
ผมถอนหายใจยาวๆก่อนจะพยายามใช้มือที่ว่างกดรหัสห้องเข้าไป พอเปิดประตูได้เท่านั้นแหละ ไอ้เพื่อนตัวร้ายที่ผมหมั่นไส้ที่สุดก็กระโจนเข้ามาทันที!
“เฮียกายยย >O<~” ร่างเล็กร้องเสียงแจ๋นก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าผมไม่ได้มาคนเดียว “อะไรเนี่ย หิ้วหญิงกลับมา นอกใจเราเหรอ งอนอ่า =.,=”