บทที่ 1 (1)
“สัญญาแล้วนะ ว่าถ้าพี่กลับมาเมื่อไหร่ เราจะแต่งงานกัน”
“อื้ม รุ่นพี่เองก็เหมือนกันนะ ไปอยู่ที่นั่นสี่ปีอย่าลืมกันนะ”
“ฮ่าฮ่า ไม่มีทางหรอก พี่ไม่มีทางลืมเพนแน่นอน”
“พูดแล้วนะครับ”
“ก็เพนเป็นคู่แห่งโชคชะตาของพี่นี่”
คู่แห่งโชคชะตาคืออะไรงั้นเหรอ? บ้างก็นิยามสิ่งสิ่งนั้นว่ามันมีพลังพลานุภาพอันน่าอัศจรรย์ รักบริสุทธิ์แค่เพียงได้สบตากับใครคนหนึ่งร่างกายก็จะตอบสนองทั้งที่ไม่ได้อยู่ใกล้กัน หรือไม่ก็เพียงสัมผัสเล็กน้อยความรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วร่างก็บังเกิดขึ้น บ้างก็ว่า...ถึงขนาดทำให้คู่กัดบางคนที่เกลียดขี้หน้ากันสุด ๆ จู่ ๆ ก็ตกหลุมรักกันเองโดยไม่ตั้งใจ หรือบางทีก็อาจเป็นเพียงการคิดไปเองฝ่ายเดียว...
ไม่มีใครอาจรู้ว่าคู่แห่งโชคชะตามีจริงหรือไม่ มันจะเป็นรักแท้อันแสนบริสุทธิ์จริง ๆ น่ะเหรอ? แล้วถ้าหาก... ว่ารักแท้ที่เกิดขึ้นจากคู่แห่งโชคชะตาอยู่ ๆ ก็หมดรักไปแล้วล่ะ?
[ตอนนี้เก็บของหมดแล้วล่ะ อีกประมาณสิบนาทีก็นั่งรถไปที่สนามบินแล้ว]
“พรุ่งนี้ผมจะได้เจอรุ่นพี่ตัวเป็น ๆ แล้วสินะครับ”
[นั่นสินะ พรุ่งนี้จะได้เจอเพนตัวเป็น ๆ แล้ว คิดถึงจัง...อยากกอดเยอะ ๆ เลย อยากหอมแก้มทั้งสองข้างแล้วก็..อยากแต่งงานกับเพนเร็ว ๆ ด้วย]
ชายหนุ่มร่างสันทัดนอนเล่นอยู่บนเตียงนอนภายในห้องของเขาระหว่างวิดีโอคอลกับคู่หมั้นหนุ่มที่ต้องจากกันนานถึงสี่ปี เนื่องจากอีกฝ่ายต้องไปเรียนต่อ ณ ต่างประเทศ แต่ถึงแบบนั้นทั้งสองก็ยังติดต่อหากันตลอด และยังไม่มีทีท่าว่าใครคนใดคนหนึ่งจะหมดรักไปในตัวของอีกฝ่าย ราวกับพวกเขาเป็นคู่รักที่ยึดมั่นในรักหรือเรียกได้ว่าเป็นคู่แห่งโชคชะตาที่ปรากฏตัวและพบเจอกันในเวลาที่เหมาะสม
ถามว่าทั้งสองคนนั้นเจอกันได้ยังไงน่ะเหรอ? ก็คงต้องย้อนกลับไปถึงช่วงที่เพนนั้นเรียนมหาลัยปีหนึ่งเลยล่ะนะ เพนเป็นลูกชายคนรองของตระกูลเศรษฐีที่ร่ำรวย แม้เขาจะเป็นโอเมก้าก็ตาม แต่เขาก็ได้รับความรักอันเต็มเปี่ยมจากครอบครัวไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่หรือแม้แต่พี่ชายและน้องสาว และครอบครัวของเขาก็ยังเป็นที่พูดถึงในเรื่องของชาติตระกูลที่ขึ้นตรงจากเชื้อพระวงศ์ นัยน์ตาสีฟ้าใสดุจอัญมณีที่ไม่ว่าใครเมื่อได้สบตาก็เป็นต้องตกหลุมรักกันทั้งนั้น ยิ่งเมื่อได้มาซึ่งใบหน้าอันสะสวยจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากกระจับกับเรือนผมสีดำเข้มนั่นแล้ว เพนถือเป็นโอเมก้าหนุ่มผู้เป็นที่จับตามองไม่ว่าชายหรือหญิง อัลฟ่าเบต้า หรือแม้แต่โอเมก้าก็ต่างพากันตกหลุมรักเขาทั้งนั้น เรียกได้ว่าเขาเหมือนกับเทวดาที่ลงสถิตบนโลกเลยล่ะ
จนกระทั่งการปรากฏตัวของเขา ณ มหาลัยแห่งหนึ่งเป็นที่พูดถึงกันปากต่อปาก เพนตัดสินใจเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำภายในประเทศ แทนที่จะเลือกเรียนต่างประเทศตามที่คุณพ่อเสนอเพราะอยากให้ลูกชายนั้นได้เปิดหูเปิดตากับโลกภายนอกให้มาก
แต่การตัดสินใจของเพนในครั้งนั้นจะนับว่าเป็นเพราะโชคชะตานำพาหรือเปล่า? หลังจากเข้าเรียนในปีแรกกับการรับน้องสุดหรรษาได้ไม่นาน เขาก็ได้พบกับ “ฟิลิปส์” รุ่นพี่ในคณะผู้เป็นที่พูดถึงของเหล่าสาว ๆ หรือหนุ่ม ๆ ไม่ต่างจากเพน เขาคืออัลฟ่ายีนเด่นร่างสูงไหล่กว้าง จมูกโด่งคิ้วเข้มเรือนผมสีน้ำตาลคาราเมล และที่น่าหลงใหลยิ่งกว่าใบหน้าอันทรงเสน่ห์ก็คงจะเป็นนัยน์ตาสองสีของเขาอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือน ด้านซ้ายเป็นสีเหลืองราวกับสีของดอกทานตะวันขณะด้านขวากลับเป็นสีน้ำเงินคราม แถมเขายังเป็นว่าที่ผู้สืบทอดธุรกิจค้าอัญมณีและเครื่องประดับชั้นนำของโลกอีกต่างหาก
ทั้งสองคนพบกันครั้งแรกในช่วงรับน้องและสนิทสนมอย่างรวดเร็วเมื่อต่างฝ่ายต่างมีรสนิยามที่คล้ายกันและพูดคุยถูกคอ เพียงเมื่อรู้ตัวอีกครั้งก็กลายเป็นต่างชอบพอกันเข้า จนกระทั่งมารู้ความจริงว่าเพนกับฟิลิปส์ต่างก็เป็นคู่หมั้นของกันและกันที่ทั้งสองครอบครัวจับคู่มาให้ มันดูจะเป็นรักดี ๆ แสนลงตัวเมื่อคู่หมั้นทั้งสองต่างชอบพอและรักกันมาตั้งแต่แรกเห็น
ฟิลิปส์ที่ใจดีคอยดูแลเอาใจใส่เพนไม่เคยห่างเมื่ออยู่ด้วยกัน ในขณะเดียวกัน เพนก็คอยผลักดันให้อีกฝ่ายได้ทำในสิ่งที่ชอบแล้วคอยให้กำลังใจมาโดยตลอดแม้ผลลัพธ์ที่ได้อาจทำให้ทั้งสองต้องห่างไกลกันถึงสี่ปีหลังจากนั้น เมื่อแฟนหนุ่มต้องไปเรียนต่างประเทศตามอย่างที่เคยใฝ่ฝันเอาไว้ และในวันนี้ก็จะเป็นวันที่ฟิลิปส์ได้กลับมาหาเขาสักที
“แมรี คุณว่าผมแต่งตัวแบบนี้ดูเป็นยังไงบ้างครับ รุ่นพี่เขาจะชอบหรือเปล่า?”
“ตายจริงคุณหนูดูดีมากเลยล่ะค่ะ ฉันมั่นใจว่าถ้าคุณฟิลิปส์ได้เห็นจะต้องตกหลุมรักคุณหนูของฉันซ้ำอีกรอบแน่ ๆ เชียว”
“ฮ่าฮ่า พูดเกินไปแล้วครับ”
วันถัดมาหลังติดต่อกับคู่หมั้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนอีกฝ่ายจะขึ้นเครื่อง ชายหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าอัญมณีก็เดินออกมาจากห้องของตัวเองด้วยชุดสบาย ๆ สีครีม พร้อมกับอวดโฉมให้คุณแม่บ้านผู้คอยดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก ๆ อย่างแมรีด้วยท่าทีมีความสุข
“อะ..แย่ล่ะ ผมว่าผมไปรับฟิลิปส์สายแน่ ๆ เลย ถ้างั้นผมไปก่อนนะครับแมรี”
“ค่ะ~ ขับรถระวังด้วยนะคะคุณหนู”
“อื้ม! งั้นผมไป...”
เมื่อจ้องมองนาฬิกาข้อมือที่กำลังบอกว่าเวลาในตอนนี้ใกล้จะสายมากแล้ว ชายหนุ่มก็รีบวิ่งไปที่ประตูหน้าบ้านแล้วเปิดมันออกอย่างรวดเร็ว ทว่าในตอนนั้นก็ดันมีใครคนหนึ่งมายืนขวางเอาไว้
“รีบร้อนขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
“...โจเซฟ?”
เพียงเอ่ยชื่อของคนตรงหน้าออกมา ชายร่างสูงผู้มีผมสีทองกับใบหน้าอันหล่อเหลาแต่แฝงไปด้วยความไม่เป็นมิตรก็ผุดยิ้มขึ้นมาภายใต้นัยน์ตาสีเทาอ่อน
“ทำไม? เห็นหน้าฉันแล้วมันจะอกแตกตายนักหรือไง อยากรู้?”
“...มาทำอะไรที่นี่”
“มาทำอะไรที่นี่? ฮ่าฮ่า ฉันก็มาทำหน้าที่ให้เพื่อนรักของฉันน่ะสิ ฟิลิปส์บอกให้ฉันมารับนายไปที่สนามบิน ให้ตายเถอะ มีมือมีเท้าแต่ขับรถไม่เป็นหรือไง? ถ้าแบบนั้นก็พิการไปเถอะ”
ด้วยคำพูดที่ออกมาจากปากก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าดูจะไม่ชอบเพนเอามาก ๆ ถึงกับต้องพูดด้วยคำหยาบคายแบบนี้ แต่ถึงแบบนั้นชายหนุ่มก็เลือกที่จะไม่โต้แย้งใด ๆ เพราะรู้ว่ายิ่งอารมณ์เสียทะเลาะกันมากเท่าไหร่ โจเซฟจะได้ใจมากขึ้นเท่านั้น
“คุณไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ ผมขับรถเองเป็นครับ และผมก็จะขับไปเอ-”
“อย่ามาทำเป็นพูดดีไปหน่อยเลยน่ะ!”
แม้พูดดีด้วยแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลยสักนิด โจเซฟตะโกนด้วยความหงุดหงิด เขาถือวิสาสะใช้มือบีบไปที่คางของเพนเต็มแรง
“อึก! โจ..เซฟ ทำไมคุณต้องทำแบบนี้ด้วย..ผมยังไม่ได้ไปทำอะไรให้คุณ”
“ไม่ทำเหรอ? ถ้างั้นแกก็ลองไปถามพ่อแม่ของแกดูสิว่าทำอะไรไว้บ้าง!” ท่าทางของโจเซฟเต็มไปด้วยความโกรธที่แม้แต่เพนก็ไม่อาจเข้าใจว่าเพราะอะไรเขาถึงได้เป็นคนแบบนี้ ตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรกเขาก็ไม่เคยปฏิบัติตัวดีกับเพนเลยสักนิดเมื่ออยู่ลับหลังฟิลิปส์ และบ่อยครั้งก็มักจะขู่เพนอยู่ตลอดว่าถ้าเอาเรื่องนี้ไปฟ้องฟิลิปส์เขาจะทำให้ครอบครัวของเพนต้องป่นปี้
“ผมไม่รู้ว่าคุณพูดถึงเรื่องอะไร”
“ใช่สิ..เป็นลูกนกในกรงทองที่พ่อแม่คอยเลี้ยงดูมาอย่างดีจะไปเข้าใจอะไร? ไม่อยากให้ฉันขับรถไปส่งสินะ งั้นก็ตามใจ”
มือหนาผละออกจากคางของชายหนุ่มเมื่อหมดธุระ มันเผยให้เห็นรอยแดงจากการถูกบีบอย่างแรงบริเวณคาง ก่อนกุญแจรถจะถูกอีกฝ่ายปาลงบนพื้นแล้วเหยียบซ้ำทิ้งท้ายและจากไป
“คุณหนูคะ! เกิดอะไรขึ้น?!”
แมรีที่ได้ยินเสียงเอะอะก็วิ่งเข้ามา เธอเห็นท่าทีของเพนไม่ค่อยดีเท่าไหร่จึงรีบดึงตัวของชายหนุ่มเข้ามาดูด้วยความกังวล
“ทำไมหน้าถึงเป็นแบบนั้นล่ะคะ มีรอยแดง ๆ ที่คาง”
“...ขอโทษครับแมรี ไม่มีอะไรหรอก” ร่างสันทัดฉีกยิ้มกว้าง เขาทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วก้มลงไปหยิบกุญแจรถที่อยู่บนพื้นขึ้นมาปัดฝุ่นก่อนเดินไปยังรถที่จอดทิ้งไว้หน้าบ้าน
“Rrrrrrr~”
ระหว่างขึ้นไปนั่งบนรถเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เพนนั่งปรับอารมณ์อยู่บนเบาะฝั่งคนขับสักพักจึงจะรับสายโทรศัพท์ซึ่งเป็นวิดีโอคอลแบบเห็นหน้า แล้วกล่าวทักกับเพื่อนสนิทของเขาผู้โทรมาแสดงความยินดีด้วยความตื่นเต้น
[เพน~ ถึงสนามบินแล้วหรือยัง?]
เสียงของชายหนุ่มท่าทางสดใสกล่าวขึ้นมาในทันทีเมื่อเพนรับสาย
“จิน... ฉันพึ่งจะก้าวขึ้นมานั่งบนรถเอง”
[อ้าวจริงเหรอ? ฉันโทรมาเร็วไปสินะ งั้นฉันวางสายก่อนดีกว่า ไว้ถึงสนามบินแล้วโทรมาบอกด้วยนะ]
“อื้ม...”
[ดีใจจัง เพื่อนรักจะได้แต่งงานเร็ว ๆ นี้แล้ว สงสัยต้องไปหาชุดเพื่อนเจ้าสาวมาใส่รอแล้วล่ะ]
“ฮ่าฮ่า พูดเกินไปแล้วเจ้าบ้า ถ้างั้นวางสายก่อนนะ ไปถึงสนามบินแล้วเดี๋ยวจะโทรมาใหม่”
[อื้ม โอเคเลย]